ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

แค่นอน ก็ผอมได้



อีกหนึ่งเคล็ดลับการลดน้ำหนักที่ดี นั่นคือการเข้านอน และตื่นนอน ในเวลาเดียวกันทุกวัน
         เอ๊ะ หลายคนสงสัยเข้านอนช่วยได้ด้วยเหรอ ฟังทางนี้!! หากคุณต้องการลดน้ำหนัก แต่ไม่อยากเข้ายิม ทาง "เว็บไซต์เดลิเมล์ของอังกฤษ" ได้ผลการศึกษาใหม่ นำเสนออีกหนึ่งทางเลือกในการลดน้ำหนักที่ทำได้ง่าย ๆ ว่าผู้ที่ตื่นนอนและเข้านอนในเวลาเดียวกันทุกวัน
จะผอมกว่าผู้ที่นอนผิดปกติไม่เป็นเวลา
        นักวิจัยได้ทำการศึกษากับผู้หญิงมากกว่า 300 คน ที่มีอายุระหว่าง 17-26 ปี อยู่หลายสัปดาห์ พบว่านิสัยการนอนหลับส่งผลต่อไขมันในร่างกาย ซึ่งมีการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารส่งเสริมสุขภาพอเมริกัน พบว่าผู้ที่นอนน้อยกว่า 6.5 ชั่วโมงหรือมากกว่า 8.5 ชั่วโมงมีการเชื่อมโยงกับระดับที่สูงขึ้นของไขมันในร่างกาย และในผู้หญิงที่เปลี่ยนเวลานอนและตื่นไปกว่า 90 ใน 1 สัปดาห์ มีระดับไขมันในร่างกายสูงกว่าผู้ที่เปลี่ยนเวลานอน และตื่นน้อยกว่า 60 นาที ดังนั้นหากเข้านอนและตื่นนอนเป็นเวลาเดียวกัน ก็จะยิ่งส่งผลดีต่อระดับไขมันในร่างกาย
"บรูซ เบลีย์" อาจารย์วิทยาศาสตร์ด้านการออกกำลังกาย กล่าวว่า คุณภาพการนอนหลับที่ไม่ดีจะส่งผลให้ไขมันในร่างกายสูงขึ้นโดยมีผล กระทบต่อฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความอยากอาหาร วิธีการที่จะปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับ ทำได้หลายอย่าง เช่น ออกกำลังกายเป็นประจำ หรือการจัดห้องนอนให้ดูสงบ มีเพียงแค่เตียงนอน และนำสิ่งเร้าต่าง ๆ ออกจากห้องนอน

การนอนหลับเป็นเวลาและเพียงพอกับที่ร่างกายต้องการนั้น ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ หากต้องการลดน้ำหนัก


ข้อมูลจาก : trueplookpanya.com
รูปภาพจาก : //www.dhamdee.com




 

Create Date : 01 ธันวาคม 2556    
Last Update : 1 ธันวาคม 2556 11:02:39 น.
Counter : 1175 Pageviews.  

ทำความรู้จักกับกาแฟ




กินกาแฟ ให้เป็น
                 เมื่อพูดถึงกาแฟ อาจไม่มีใครไม่รู้จัก ดื่มกาแฟแล้วจะทำให้สมองสดใสขึ้น ไม่ง่วงนอนผู้คนส่วนมากจะคิดว่าช่วงเวลาการดื่มกาแฟที่ดีที่สุดคือช่วงเช้าตรู่ หากแต่ที่จริงแล้วคาเฟอีนในกาแฟจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดถ้าบริโภคเวลา 10.30 น. การดื่มกาแฟจะได้ผลดีที่สุด เมื่อระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลในร่างกายต่ำ ในช่วง 09.30-11.30 น. ซึ่งคาเฟอีนในกาแฟจะเข้ากับฮอร์โมนดังกล่าวได้ดี ส่วนระดับของคอร์ติซอลจะสูงในช่วง08.00-09.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาเหมาะสมในการตื่นนอน และจะค่อยๆลดลงใน 1 ชั่วโมงหลังจากนั้น
                ดังนั้น หากตื่นนอนในช่วง 9โมงเช้า ทิ้งระยะให้คอร์ติซอลลดระดับลงราว 1 ชั่วโมง ช่วงเวลาการดื่มกาแฟ นั่นคือเวลา 10โมงครึ่งพอดี นอกจากนี้ระดับคอร์ติซอลจะสูงสุดในเวลาอาหารกลางวัน และเวลา 17.30-18.30 น. หมายความว่า ช่วงเวลาเหล่านี้ไม่เหมาะที่จะดื่มกาแฟ ถ้าดื่มเข้าไปประสิทธิภาพของคาเฟอีนจะไม่ช่วยให้ตื่นตัวเท่าใดนัก เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่แปลกที่ว่า บางทีเมื่อดื่มกาแฟตอนเช้าตรู่แล้ว จะรู้สึกว่าต้องการกาแฟอีก หรือต้องการเพิ่มความเข้มของกาแฟ

กาแฟมีคุณหลายอย่าง อาทิ
1. กาแฟมีคาเฟอิน ซึ่งสามารถกระตุ้นประสาทส่วนกลางและกล้ามเนื้อ ทำให้ผู้ดื่มรู้สึกสมองสดชื่น ตื่นเต้น และช่วยแก้ความอ่อนเพลียของกล้ามเนื้อ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้สูงขึ้น
2. กาแฟเป็นผลดีต่อผิวพรรณ เพราะว่ากาแฟสามารถทำให้เลือดไหลเวียนได้คล่อง ช่วยให้อวัยวะย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ช่วยแก้ปัญหาท้องผูก และเวลาอาบน้ำ ผสมผงกาแฟลงไปด้วย จะมีบทบาทช่วยลดไขมัน
3. กาแฟช่วยแก้เมา เพราะคาเฟอินจะไปเสริมสมรรถนะของตับและไต หลังดื่มเหล้าแล้ว จะช่วยละลายแอลกอฮอร์ให้เป็นน้ำและไคบอนไดออกไซต์ ขับออกจากร่างกาย
4. ดื่มกาแฟวันละ 3 ถ้วย จะป้องกันนิ่วในถุงน้ำดีได้ เพราะว่าคาเฟอินสามารถกระตุ้นให้ถุงน้ำดีหดตัว ลดคอเลสเตอรอลในถุงน้ำดี ซึ่งเป็นสารที่จะทำให้เกิดนิ่วในถุงน้ำดี ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาเวิร์ด สหรัฐฯ ปรากฎว่า ผู้ชายที่ดื่มกาแฟ2-3 ถ้วยต่อวัน จะเป็นนิ่วในถุงน้ำดีต่ำกว่าผู้ไม่ดื่มกาแฟ 40%
5. กาแฟมีผลป้องกันหัวใจ ทำให้เจริญอาหาร ขจัดไขมัน ขจัดความชื้นออกจากร่างกาย
6. กาแฟสามารถขจัดกลิ่นปาก เมื่อรับประทานกระเทียมหรืออาหารที่มีกลิ่นแรง สามารถดื่มกาแฟสักถ้วยหนึ่งเพื่อช่วยขจัดกลิ่นปาก
7. กาแฟช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งตับ
8. เมื่อรับประทานอาหารประเภทเนื้อมากแล้ว ดื่มกาแฟจะทำให้กระเพาะอาหารมีน้ำย่อยออกมามากขึ้น ช่วยละลายไขมัน แต่สำหรับผู้ป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหาร ไม่ดื่มกาแฟดีกว่า
9. กาแฟดำมีผลช่วยลดความอ้วนได้ หลังอาหารเที่ยงครึ่งชั่วโมงถึง 1 ชั่วโมง และก่อนเลิกงานดื่มกาแฟดำข้นที่ไม่ใส่น้ำตาล และเดินเล่นอีกสักพัก จะได้ช่วยเผาผลาญไขมัน จนลดความอ้วน
10. กาแฟดำสามารถช่วยแก้อาการความดันโลหิตต่ำ
               แม้ว่ากาแฟมีคุณประโยชน์หลายประการ แต่ถ้าดื่มกาแฟมากเกินไป จะทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูงขึ้น ปวดหัว นอนไม่หลับ มีอาการเหล่านี้เป็นเวลานานจะส่งผลกระทบต่อระบบประสาท จนทำให้เกิดผลแทรกซ้อน เช่นความจำเสื่อม ปฏิกิริยาช้าลง

ผู้เชี่ยวชาญสรุปว่า โทษของกาแฟมีดังนี้
1. ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ผลการวิจัยปรากฎว่า ดื่มกาแฟแก้วหนึ่งแล้ว ความดันโลหิตจะสูงขึ้นนานถึง 12 ชั่วโมง ดังนั้น กลุ่มคนที่เป็นความดันโลหิตสูง ไม่ควรดื่มกาแฟขณะรู้สึกเครียด หรือมีแรงกดดันมากจากการทำงาน
2. กาแฟจะส่งผลกระทบต่อการดูดซึมแร่ธาตุ คาเฟอินจะส่งผลกระทบต่อการดูดซึมแร่ธาตุของลำไส้ เช่นแคลเซียม เหล็กและสังกะสี ดังนั้น เด็กไม่ควรดื่มกาแฟ
3. กาแฟจะทำให้ผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารเป็นแผลร้ายแรงขึ้น เนื่องจากกาแฟจะทำให้กระเพาะอาหารมีน้ำย่อยออกมามากขึ้น จนทำให้เป็นแผลมากขึ้น ดังนั้น ผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารที่เป็นแผลในกระเพาะไม่ควรดื่มกาแฟมาก โดยเฉพาะในช่วงท้องว่าง
4. กาแฟจะทำให้กระดูกพรุน เนื่องจากคาเฟอินมีคุณประโยชน์ทำให้ขับปัสสาวะมากขึ้น ถ้าดื่มกาแฟเป็นเวลานาน จะทำให้สูญเสีแคลเซียมยไปกับปัสสาวะมาก จนกระดูกพรุน โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงหลังวัยทอง ไม่ควรดื่มกาแฟมากเกินควร
5. หญิงตั้งครรภ์ถ้าดื่มกาแฟมาก จะทำให้ทารกที่อยู่ในครรภ์เติบโตไม่เป็นปกติ หรืออาจแท้งได้
6. กาแฟจะทำลายวิตามิน B1 ซึ่งเป็นวิตามินที่รักษาความสมดุลและความมั่นคงของระบบประสาท ดังนั้น ผู้ที่ขาดวิตามิน B1 ไม่ควรดื่มกาแฟ


//guru.sanook.com/




 

Create Date : 30 พฤศจิกายน 2556    
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2556 10:08:17 น.
Counter : 1288 Pageviews.  

เรื่องน่ารู้ วันเอดส์โลก



วันเอดส์โลก 1 ธันวาคม
          วันเอดส์โลก (World AIDS Day) วันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี ได้ถูกตั้งขึ้นเพื่อรณรงค์ยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อเอดส์ ซึ่งได้คร่าชีวิตของผู้ป่วยโรคนี้ไปกว่า 25 ล้านคนแล้วทั่วโลกHIV ย่อมาจาก human Immunodeficiency Virus เชื้อไวรัสนี้เป็นสาเหตุของโรคเอดส์ โดยเชื้อเอชไอวีจะเข้าทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันโรค ให้ต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆที่เข้ามาในร่างกายเวลาที่เราเจ็บป่วย AIDS ย่อมาจาก Acquired Immunodeficiency Syndrome (โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง) โรคเอดส์จะเกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายถูกเชื้อเอชไอวีบั่นทอนให้อ่อนแอลง จนถึงขั้นที่ร่างกายไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคต่างๆได้อีก จนเริ่มติดเชื้อ หรือเกิดเป็นโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง เป็นต้น 

การค้นพบครั้งแรก
โรคเอดส์พบครั้งแรกในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2524 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ป่วยเป็นชายรักร่วมเพศป่วยเป็นปอดบวมจากเชื้อ นิวโมซีสตีส แครินิอาย (Pneumocystis Carinii) ทั้งที่เป็นคนแข็งแรงมากมาก่อน และไม่เคยใช้ยากดภูมิต้านทาน ผลการตรวจทางห้องปฎิบัติ พบว่าเซลล์ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง กับภูมิต้านทานไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติจากการศึกษาย้อนหลัง พบว่าโรคนี้มีต้นกำเนิด มาจากประเทศแถบอัฟริกาตะวันตกในปี พ.ศ. 2503 และต่อมาได้แพร่ไปยังเกาะไฮติ ทวีปอเมริกา ยุโรปและเอเซียรวมทั้งประเทศไทยด้วย 

ผู้คนพบเชื้อไวรัสคนแรก
ในปี พ.ศ. 2526 Luc Montagnier ชาวฝรั่งเศส สามารถแยกเชื้อจากต่อมน้ำเหลืองของผู้ป่วย และตั้งชื่อว่า Lymphadenopathy Assoiciated Virus หรือ LAV และในเวลาใกล้เคียงกัน Robert Gallo นายแพทย์ชาวอเมริกันก็สามารถแยกเชื้อจากเม็ดเลือดขาวของผู้ป่วย และตั้งชื่อว่า Human T cell Lymphotropic Virus Type III หรือ HTL V III ต่อมา Levy นายแพทย์ชาวอเมริกัน สามารถแยกเชื้อชนิดเดียวกันนี้และตั้งชื่อว่า AIDS related virus จากการศึกษาในเวลาต่อมา พบว่าเชื้อทั้ง 3 ตัวนี้น่าจะเป็นเชื้อตัวเดียวกันจึงตกลงตั้งชื่อให้เป็นสากลว่า Human Immounodeficiency Virus หรือ HIV

ประวัติในไทย
           สำหรับผู้ป่วยเอดส์รายแรกในประเทศไทยนั้นเป็นชายอายุ 28 ปี เดินทางไปศึกษาต่อที่อเมริกาและมีพฤติกรรมรักร่วมเพศ เริ่มมีอาการในปี พ.ศ.2526ได้รับการตรวจและรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในอเมริกา พบว่าปอดอักเสบจากเชื้อ Pneumocystis Carinii แพทย์ลงความเห็นว่าเป็นโรคเอดส์ จึงกลับมารักษาตัวที่ประเทศไทยในปี พ.ศ.2527 และเสียชีวิตในเวลาต่อมา



ที่มาข้อมูลและรูปภาพ : aidsthai.org




 

Create Date : 29 พฤศจิกายน 2556    
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2556 7:59:34 น.
Counter : 965 Pageviews.  

ปลูกข้าวบนดาดฟ้า เป็นอะไรที่นาศึกษาดีนะ

 คนจีน ก็มีความคิดสร้างสรรค์นะ ใช้หลังคาของอพาร์ทเมนท์ ปลูกข้าวสาลี จนเจริญเติบโตสามารถเก็บเกี่ยวได้  สร้างรายได้ในครอบครัว q*071













//webboard.sanook.com/forum/?topic=3784704




 

Create Date : 28 พฤศจิกายน 2556    
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2556 8:22:13 น.
Counter : 1205 Pageviews.  

สารพัดประโยชน์จากหัวไช้เท้า

ตำรายาพื้นบ้านของอินเดีย ระบุว่า การกินหัวไช้เท้าช่วยให้นอนหลับและแก้โรคประสาทได้ ด้านชุดตำรายาล้ำค่าของหมอโฮจุน ที่องค์การยูเนสโกคัดเลือกให้เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก ระบุว่า หัวไช้เท้า ส่วนที่นำมาทำเป็นยาได้ ก็คือส่วนหัว มีรสชาติหวานและเผ็ด มีฤทธิ์เย็นเล็กน้อย ดีต่อลมปราณปอดและลมปราณกระเพาะอาหาร ช่วยย่อยอาหาร ลดความดัน ละลายเสมหะ และถอนพิษ

186105512

สารสกัดจากหัวไช้เท้าช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย บรรเทาโรคบิด เลือดกำเดาไหล ปวดศีรษะ มีเสมหะ ไอ อาหารไม่ย่อย ส่วนการดื่มน้ำหัวไช้เท้าสกัดสดๆ วันละ 30-90 มก. หรือจะต้มแล้วดื่มน้ำก็ได้ หรือนำหัวไช้เท้าตากแห้งมาต้มดื่มวันละ 10-30 กรัม ก็จะได้ผลดีเช่นกัน

สำหรับในผู้สูงอายุที่มีอาการหลอดลมอักเสบเรื้อรัง แน่นหน้าอก ไอ และมีเสมหะเยอะ ก็กินได้เหมือนกัน โดยหัวไช้เท้าจะช่วยแก้อาการจุกและแน่นหน้าอก ความอยากอาหารลดลง แม้ยังไม่ได้กินอะไร รวมทั้งบรรเทาโรคเบาหวานในผู้สูงอายุด้วย


refer สนับสนุนเนื้อหา




 

Create Date : 26 พฤศจิกายน 2556    
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2556 8:22:49 น.
Counter : 2024 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.