ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

แสงสีน้ำเงินทำให้คนมีความสุขและกระตือรื้อร้นได้

แสงสีน้ำเงินทำให้คนมีความสุขและกระตือรื้อร้นได้

นักวิจัยของอังกฤษพบแสงสีน้ำเงิน สามารถเพิ่มความสุขให้แก่ผู้พบเห็นและช่วยเสริมสร้างความกระตือรื้อร้นได้อีกด้วย

นักวิจัยในประเทศอังกฤษได้ทดลองเปิดแสงที่อยู่ในช่วงคลื่นความถี่ต่ำอย่าง แสงสีน้ำเงิน เขียว และม่วงกับอาสาสมัคร พบว่าอาสาสมัครที่เป็นชายมีผลตอบสนองกับแสงสีน้ำเงินและเขียว ทำให้พวกเขารู้สึกมีความสุขและกระตือรื้อร้นเพิ่มมากขึ้นจากเดิม ในขณะที่แสงมีน้ำเงิน ม่วง และส้ม มีผลกับอาสาสมัครที่เป็นผู้หญิง

ผลของการใช้แสงสีน้ำเงินยังสามารถทำให้อาสาสมัครทำการทดสอบด้านจิตใจเร็วขึ้น 25 เปอร์เซ็นต์ การตอบสนองต่อสิ่งรอบตัวไวขึ้น 12 เปอร์เซ็นต์ สามารถใช้ตาและมือได้พร้อมเพรียงกัน และยังสามารถจดจำคำศัพท์ได้ดีขึ้นอีกด้วย 

จึงแนะนำว่า หากต้องการสร้างบรรยากาศภายในบ้านหรือตัวอาคารให้รู้สึกถึงความคึกคัก สนุกสนาน แลดูมีพลังควรตกแต่งบ้านและตัวอาคารด้วยไฟสีน้ำเงิน 

ที่มา : telegraph




 

Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2557    
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2557 23:31:34 น.
Counter : 927 Pageviews.  

5 อันดับสินค้าแพงไร้เหตุผล

5 อันดับสินค้าแพงไร้เหตุผล

และบริการ 5 อย่างในตลาดสหรัฐที่มีราคาแพงอย่างไร้เหตุผล เกือบทุกอย่างสามารถเทียบเคียงได้กับผลิตภัณฑ์ที่มีวางจำหน่ายในประเทศไทย

1. ป๊อปคอร์นหน้าโรงภาพยนตร์

ค่าเฉลี่ยราคาป๊อปคอร์นหน้าโรงหนังสูงกว่าป๊อปคอร์นที่วางขายทั่วไปถึง 8 เท่า แต่คนรักหนังหลายรายก็ยินดีที่จะยืนเข้าคิวเพื่อแลกกับความหอมมันเข้ากับบรรยากาศในราคาแสนแพงป๊อปคอร์นในถังขนาดกลาง ให้พลังงานระหว่าง 800-1,200 แคลอรี (แล้วแต่รสชาติ) หรือเท่ากับการกินเบคอนทาเนย 30 ชิ้น มีไขมันอิ่มตัว 60 กรัม และโซเดียม 500 มิลลิกรัม

2. ตำราเรียนระดับอุดมศึกษา

ผลการศึกษาโดยองค์กร Public Interest Research Groups (PIRGs) พบว่าในรอบ 10 ปี ราคาตำราเรียนระดับอุดมศึกษาเพิ่มขึ้นร้อยละ 82 หรือคิดเป็นสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาร้อยละ 26 ของค่าใช้จ่ายด้านการเรียนทั้งหมดแต่ละปี นักศึกษาต้องจ่ายค่าอุปกรณ์การเรียน โดยเฉพาะตำรา เป็นเงิน 1,100 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี จากปัญหาภาระด้านค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ เป็นที่มาของโครงการ ‘Open textbooks’ ซึ่งเขียนโดยผู้เชี่ยวชาญจากคณะหรือสาขาวิชานั้นๆ แต่จัดพิมพ์ภายใต้ลิขสิทธิ์เสรี ซึ่งสามารถดาวน์โหลดฉบับออนไลน์ได้ฟรี ขณะที่ฉบับสำหรับการพิมพ์ออกมาเป็นเล่มอยู่ที่ไม่เกิน 20 ดอลลาร์ หรือจะสามารถช่วยนักศึกษาประหยัดค่าตำราไปได้ถึง 100 ดอลลาร์ต่อวิชาขณะนี้ Open textbooks มีนักศึกษาลงทะเบียนใช้บริการใน 360 มหาวิทยาลัยหรือมากกว่า 50,000 ราย แต่ยังถือว่าเป็นเพียง 1 ใน 10 ของนักศึกษาและสถาบันการศึกษาทั่วสหรัฐ

 3. ปริ้นเตอร์อิงค์เจ็ท

เฉพาะเครื่องพิมพ์ เดี๋ยวนี้มีราคาย่อมเยามาก มีเงิน 80 ดอลลาร์ (ในไทยเพียง 1,000 ต้นๆ) ก็สามารถซื้อได้เครื่องหนึ่งสบายๆ แต่ค่าใช้จ่ายที่แท้จริงอยู่ที่หมึกพิมพ์ โดยตลับหมึกสีราคาอยู่ที่ 28-50 ดอลลาร์ ขณะที่ตลับหมึกดำอยู่ที่ 10-20ดอลลาร์ ซึ่งหมึกสีแต่ละตลับสามารถปริ้นท์งานออกมาได้ราว 200 แผ่น การเติบโตของเอกสารข้อมูลในรูปแบบไฟล์ PDF เปิดอ่านได้สะดวกในคอมพิวเตอร์และแทบเล็ต หรือแนวคิดออฟฟิศไร้กระดาษ ทำให้เครื่องพิมพ์ลดความสำคัญลงไปไม่น้อย และหากผู้ใช้มีความต้องการอัดภาพสีจริงๆ การใช้บริการร้านอัดรูปดิจิตอลเป็นทางเลือกที่น่าสนใจทั้งแง่ราคาและคุณภาพ

4. ค่าส่ง SMS

ค่าใช้จ่ายจริงๆ ของการส่งเมสเสจสั้นแต่ละครั้งอยู่ระหว่าง 15-25 เซนต์ (ไม่เกิน 7.75 บาท) ปริมาณข้อมูลในการส่งข้อความ 500 ข้อความ เทียบเท่าการสนทนาทางโทรศัพท์เพียง 1 นาที แต่บริษัทผู้ให้บริการกลับคิดค่าส่ง SMS แพงกว่าค่าโทรศัพท์เสียอีก สำหรับในเมืองไทย ค่าโทรศัพท์ถูกกำหนดไว้ว่าไม่เกิน 0.99 สตางค์ต่อนาที ขณะที่ SMS ราคาปกติคือ 3 บาท ปัจจุบัน ผู้บริโภคที่ใช้สมาร์ทโฟน จึงสามารถเลือกใช้โซเชียลมีเดียที่มีบริการส่งข้อความสั้นและยาวได้ฟรีๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook Messenger, Line, Google Hangouts หรือแม้แต่ WhatsApp

5. วิตามินรวม

จากการคาดการณ์ พบว่าชาวอเมริกันร้อยละ 50 รับประทานวิตามินรวมและอาหารเสริมประเภทต่างๆ ซึ่งมีราคาเฉลี่ยเม็ดละ 2 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่รายงานหลายชิ้นระบุตรงกันว่าการรับประทานวิตามินหรืออาหารเสริมเหล่านี้ ไม่ต่างจากการกินยาหลอกแต่อย่างใด สำหรับผู้ที่มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงอยู่แล้วจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากการเสริมอาหารตรงนี้เลย

ขอบคุณข้อมูลจาก //waymagazine.org/movement/




 

Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2557    
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2557 11:16:24 น.
Counter : 2990 Pageviews.  

อาการก่อนมีประจำเดือน



อาการก่อนมีประจำเดือน หรือพีเอ็มเอส (premenstrual syndome: PMS) มักเกิดก่อนมีประจำเดือนราว 1-2 สัปดาห์ โดยทั่วไปคืออาการคัดตึงหน้าอก อารมณ์แปรปรวน ปวดหัว ปวดหลัง และตัวบวมน้ำ ผู้เชี่ยวชาญยังไม่รู้แน่ชัดว่าทำไมผู้หญิงบางคนเป็นหนักกว่าคนอื่นๆ คาดว่าอาการเหล่านี้น่าจะเกี่ยวข้องกับระดับฮอร์โมนที่ผิดปกติ ตัวการสำคัญคือเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน โดยระดับฮอร์โมนทั้งสองอาจพุ่งสูงขึ้นก่อนมีประจำเดือน จากนั้นจะลดฮวบลง การขึ้นลงดังกล่าวนี้ส่งผลให้ระดับเซโรโตนินซึ่งเป็นตัวควบคุมอารมณ์ผิดปกติ

ยืดเส้นยืดสายหน่อย
ออกกำลังกายแบบแอโรบิกทุกวัน อย่างน้อยวันละ 20-30 นาที การเดินเร็วหรือว่ายน้ำถือว่าดีที่สุด ถ้าเบื่อ ลองเล่นสเก็ต คาราเต้ คิกบอกซิ่ง แอโรบิกในน้ำ เต้นรำ ฯลฯ ควรออกกำลังจนได้เหงื่อ ถ้าทำเป็นประจำจะลดระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลงได้ การออกกำลังกายยังลดความเครียดและทำให้อารมณ์ดี เพราะร่างกายหลั่งสารเอนดอร์ฟินมากขึ้น คุณจึงรู้สึกดีและกล้ามเนื้อผ่อนคลาย ทั้งยังช่วยลดภาวะบวมน้ำด้วย

ควบคุมอาหาร
-  กินเกลือน้อยลง โดยเฉพาะสัปดาห์ก่อนมีประจำเดือน เกลือทำให้ร่างกายกักเก็บของเหลวไว้มากขึ้น คุณจึงรู้สึกตัวบวม หลีกเลี่ยงอาหารสำเร็จรูป เช่น ซุปกระป๋อง ซอสปรุงอาหาร และขนมขบเคี้ยวต่างๆ แม้แต่ขนมปังที่ขายตามซูเปอร์มาร์เกตก็มีเกลือมากเช่นกัน
-  ลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีน
-  กินอาหารที่มีเส้นใยมากขึ้น เส้นใยอาหารช่วยขับเอสโตรเจนส่วนเกินออกจากร่างกาย กินธัญพืช เช่น ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต และขนมปังโฮลวีต รวมทั้งผัก และถั่วมากๆ
-  ดื่มน้ำมากขึ้น น้ำจะช่วยขับเกลือส่วนเกินออกทางปัสสาวะและลดอาการบวม ดื่มอย่างน้อยวันละ 8 แก้วใหญ่
-  ลดขนมหวาน ช่วงก่อนมีประจำเดือนความอยากของหวานๆ จะพุ่งสูงขึ้น แต่ขนมหวานทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นด้วย เมื่อน้ำตาลในเลือดลดดิ่งลงคุณจะรู้สึกเหนื่อยและหงุดหงิด การจำกัดน้ำตาลและกินผลไม้แทน จะช่วยให้อารมณ์คงที่


แคลเซียมและอื่นๆ
-  กินแคลเซียม 500 มก. แมกนีเซียม 250 มก. ทุกวัน แคลเซียมลดอาการปวดหัว อารมณ์แปรปรวน และตะคริว อย่างไรก็ตามแคลเซียมมีผลทำให้ง่วงจึงควรกินก่อนนอน ส่วนแมกนีเซียมนั้นออกฤทธิ์ร่วมกับแคลเซียมในการควบคุมกล้ามเนื้อ ผู้หญิงที่มีอาการค่อนข้างรุนแรงเพราะมีแมกนีเซียมต่ำ การเสริมแร่ธาตุทั้ง 2 ชนิดจึงช่วยยับยั้งอาการก่อนมีประจำเดือนได้
-  กินวิตามินบี6 ขนาด 50 มก. ทุกวัน เพื่อลดอาการหงุดหงิดหดหู่ วิตามินบี6 คือ ช่วยเพิ่มเซโรโตนินซึ่งเป็นสารเคมีควบคุมอารมณ์ ช่วยลดการกักเก็บน้ำในร่างกาย อาการคัดตึงหน้าอก ความอยากของหวานและความเหนื่อยล้า อาหารที่มีวิตามินบี6 สูงได้แก่ เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ นม และถั่ว
-  บางคนกินน้ำมันอีฟนิงพริมโรสเสริม ขนาดที่ใช้คือ 1,000 มก. วันละ 3 ครั้ง



ที่มาข้อมูล : https://jeban.com
รูปภาพจาก : //www.vcharkarn.com




 

Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2557    
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2557 8:08:38 น.
Counter : 1152 Pageviews.  

เคี้ยวหมากฝรั่ง ทำให้แก่เร็ว



ข่าวนี้อาจจะไม่ดีสักหน่อยสำหรับคุณสาวๆ ที่ชอบเคี้ยวหมากฝรั่ง
เพราะจากการลงความเห็นของคุณหมอด้านศัลยกรรมที่ต่างประเทศ วินิจฉัยออกมาแล้วว่า คนที่เคี้ยวหมากฝรั่ง จะมีรอยย่นบริเวณรอบริมฝีปาก
ดร.โจเอล ซเกลซิงเกอร์ คุณหมอด้านศัลยกรรม เปิดเผยว่า เขาสังเกตลูกค้าหรือคนไข้ที่มา "ยกกระชับหน้า" ส่วนใหญ่มีนิสัยชอบเคี้ยวหมากฝรั่งเป็นชีวิตจิตใจ และสาวๆ เหล่านี้มีรอยย่นที่ชัดเจนบริเวณรอบริมฝีปาก ดังนั้นเขาแนะนำว่า การเคี้ยวหมากฝรั่งติดต่อกันตั้งแต่ 5-20 นาทีทุกวัน จะเป็นอันตรายต่อความสวยงามและความเต่งตึงบนใบหน้าอย่างยิ่ง "เขาไม่พูดถึงคนที่เคี้ยวหมากฝรั่งเป็นบางโอกาสหรือเคี้ยวเพื่อดับกลิ่นปาก แต่เขาพูดถึงคนที่ตื่นก็ต้องมีหมากฝรั่งในปากและเคี้ยวตลอดเวลาไม่ว่าสถานที่ไหน เมื่อไหร่ก็ตาม ระวังนะค่ะว่าจะต้องเสียสตางค์เพื่อรักษาความเหี่ยวย่นหรือตีนกามากกว่าคนปกติทั่วไป" ดร.โจเอลกล่าว 

อย่างไรก็ตามมีผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพส่วนหนึ่งออกมาคัดค้านแนวคิดเกี่ยวกับโทษของหมากฝรั่งต่อความสวย ความงามว่า หากเปรียบเทียบแล้วหมากฝรั่งจะมีประโยชน์สำหรับหลายคนทีเดียว เช่น ทำให้ลมหายใจสะอาด ทำให้สุขภาพปากดี เพราะช่วยขจัดเศษอาหารตามซอกฟัน ช่วยคนที่กำลังลดความอ้วนให้กินอาหารน้อยลง ช่วยลดความตื่นเต้น และช่วยให้เกิดสมาธิสำหรับนักกีฬา เป็นต้น


สรุปว่า อะไรมากไปก็ไม่ดี เคี้ยวหมากฝรั่งบางโอกาสโอเค แต่ถ้าเคี้ยวแบบสาวก๋ากั่นอยากโชว์ความเก๋าล่ะก็ เตรียมแก่ก่อนวัยได้เลยงานนี้เห็นทีคุณสาวๆ ต้องโบกมือลาหมากฝรั่งกันซะแล้ว ใครติดติดหมากฝรั่ง ถ้าไม่อยากมีรอยเหี่ยวย่นรอบริมฝีปาก ก็พยายามเลิกที่จะเคี้ยวหมากฝรั่งกันนะคะ เพราะไม่อย่างนั้น คุณมีสิทธิ์แก่ก่อนวัยอันควรแน่นอนค่ะ



ที่มาข้อมูล : 108health.com
รูปภาพจาก : //www.vcharkarn.com




 

Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2557    
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2557 8:21:19 น.
Counter : 1618 Pageviews.  

ช่างภาพชาวญี่ปุ่นไปยืนข้างๆตัวเองในอดีต!

เมื่อช่างภาพสาวชาวญี่ปุ่น "Chino Otsuka" เกิดไอเดียเจ๋งๆตัดต่อภาพตัวเองปัจจุบันให้ไปอยู่ในภาพวัยเด็ก ขอบอกว่าเก๋มากๆ! ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปเลยทีเดียว

1982 & 2005 (France)

1986 & 2005 (Japan)

1979 & 2006 (Japan)

1975 & 2005 (Spain)

1975 & 2009 (France)

1981 & 2006 (Japan)

1985 & 2006 (UK)

1982 & 2006 (Japan)

1985 & 2005 (China)

1984 & 2005 (France)

1977 & 2009 (France)

1980 & 2009 (Japan)

ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก //www.viralnova.com/time-traveling-photographer/ 




 

Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2557    
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2557 23:48:55 น.
Counter : 1258 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.