ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

รำลึกความหลัง กับของเล่นแสดงความไฮโซในวัยประถม

ความไฮโซในวัยประถม

เห็นเด็กๆ สมัยนี้นั่งจิ้มแท็บเล็ต กดเกมส์ในโทรศัพท์มือถือ ทำให้ย้อนนึกไปถึงสมัยก่อน ตอนที่วิวัฒนาการยังไม่ก้าวไกลขนาดนี้ ในสมัยนั้นจึงเป็นอะไรที่ดูธรรมดามาก เด็กผู้ชายก็จะดีดลูกแก้ว เล่นรถแข่งทามิย่า ถ้าไฮโซก็ต้องมีเกมส์บอยเป็นของตัวเอง ด้านสาวๆ ก็จะเล่นกระโดดยาง เล่นตุ๊กตากระดาษ แต่ถ้าคนไหนพอมีเงินก็ต้องมีเจ้าทามาก็อตจิ สัตวเลี้ยงที่แสนไฮโซสุดในยุคนั้นไว้ในครอบครอง

จะว่าไปความไฮโซในวัยประถม สมัยก่อนสามารถแบ่งแยกได้เหมือนกันนะ อย่างของเล่นเหล่านี้ถือว่าไฮโซมากๆ


ของ เล่นของลูกคุณหนูสมัยก่อน ทามาก็อตจิ เมื่อครั้งอดีตเป็นของเล่นที่เหล่าไฮโซ หรือลูกคุณหนูประจำโรงเรียนต้องมี ถ้าคุณมีคุณรวยมาก 555
ภาพจาก @yume_hime_no

รถแข่งทามิย่า ถ้าจะให้เท่ ต้องโม ต้องแต่ง สมัยก่อนเลิกเรียนปุ๊บก็ต้องไปตามสนามแข่งปั๊บ


นี่ ก็กล่องดินสอไฮโซ มีออฟชั่นเสริมเยอะ เพราะนอกจากจะใส่ดินสอได้แล้ว ยังมีกบเหลาดินสอและเข็มทิศอยู่ในตัว แถมบางรุ่นมีสองชั้นสามารถแบ่งใส่ดินสอได้มากมาย
ภาพจาก @ouoummie_

พูดเลยเกมส์บอยสมัยก่อนฮิตมาก ไฮโซในวัยประถม ต้องมีไว้ครอบครอง

เชื่อว่าเด็กๆ สมัยก่อนหลายคน อยากมีไว้ในครอบครอง


เกิด ทันกันหรือเปล่ามียุคหนึ่งที่เกมส์นี้ฮิตมากๆ อดหลับ อดนอน หยุดเรียนกันเลย จะว่าไปเกมส์ Ragnarok Online ปัจจุบันก็ยังมีคนเล่นอยู่ แต่น้อยลงกว่าเมื่อก่อนมากๆ
ภาพจาก @PAKKAWATKEYTAR

มาที่ของเล่นโลโซในวัยประถม กันบ้าง 5555

ต้นคริสต์มาสใส่น้ำ นั่งรอมันโต แล้วหิมะก็ออกมาเต็มต้น จนทุกวันนี้หลายคนก็ยังนึกไม่ออก ว่าเจ้าหิมะออกมาจากกระดาษได้ยังไง ^^
ภาพจาก @monanazz


ต้องบอกก่อนว่าสมัยก่อนวิธีการเล่นดีดลูกแก้ว คือดีดให้ลงหลุมดินที่ขุดไว้ หรือดีดให้ลูกแก้วให้ไปกระทบลูกแก้วของคู่แข่ง ถ้าชนอีกฝั่งก็จะชนะและได้ลูกแก้วมาครอบครอง
ภาพจาก @LilBabyvoice

ของเล่นชิ้นนี้ก็เล่นง่ายมากๆ หาเชือกยาวพอประมาณมาผูกปม จากนั้นก็ดึงเข้า ดึงออก ใครดึงต่อไม่ได้ก็แพ้ไป ง่ายมั้ยล่ะ ^^
ภาพจาก @apichartto

สมัยก่อนต้นต้อยติ่งหรือต้นเปาะแปะมักจะขึ้นอยู่ตามโรงเรียน เด็กๆ จึงเอามาใส่น้ำเล่น เมื่อเม็ดต้อยติ่งโดนน้ำก็จะแตกออกดังเปาะแปะ (ใช้น้ำลายแทนน้ำก็ได้นะ)
ภาพจาก @tideza

เด็กๆ สมัยก่อนไม่ต้องพกกระเป๋าตังนะจ๊ะ เพราะแฟชั่นสมัยนั้นคือเอาหนังยางรัดเหรียญไว้ที่ปลายเสื้อ จะได้ไม่ต้องกังวลว่าสตางค์จะหายนั่นเอง
ภาพจาก @YongGikwang



กระดาษใบนี้ไม่ได้มาบอกใบ้ให้หวยแต่อย่างใด มันคือกระดาษทำนายอนาคต จะจน จะรวย จะดำ จะขาว กระดาษใบนี้สามารถบอกเราได้ทุกอย่าง 555

เงิน 1 บาท สมัยก่อนก็สร้างความสุขให้กับนักเรียนหญิงยุคนั้นได้

ภาพจากคุณ ลูกกวาดมอมแมม

มาที่ของกินกันบ้าง จำได้มั้ย ขนมแบบนี้ที่หลายคนชอบทานกันมากๆ ตอนนี้ก็ยังมีขายอยู่นะจ๊ะ
ภาพจาก @rosewrozka

เป็นยังไงกันบ้างกับของเล่นและข้าวของเครื่องใช้ของเด็กๆ สมัยก่อน จะว่าไปวิวัฒนาการของของเล่นก็มีการพัฒนาอยู่เสมอ ของเล่นที่ฮิตๆ ในปัจจุบันอีกไม่นานก็จะกลายเป็นของเคยฮิตในที่สุด

ว่าแต่ช่วยกันนึกหน่อยสิ ว่ายังมีของเล่นฮิตอะไรอีกบ้าง ^^




 

Create Date : 05 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2557 14:21:23 น.
Counter : 3970 Pageviews.  

ผลไม้ไทย 30 ชนิด มีฤทธิ์ทำลายตัวก่อโรคมะเร็ง

บทความ ผลไม้ไทย 30 ชนิด มีฤทธิ์ทำลายตัวก่อโรคมะเร็ง


        กระทรวงสาธารณสุข เผยว่า ขณะนี้คนไทยกำลังเผชิญกับปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับสารอนุมูล อิสระ เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดการอักเสบ การทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด 


        ทั้งนี้ สารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี และเบต้าแคโรทีน ซึ่งสามารถกำจัดอนุมูลอิสระได้ โดยวิตามินซี ซึ่งละลายน้ำได้ ทำหน้าที่จับอนุมูลอิสระในเซลล์ที่เป็นของเหลว ป้องกันการถูกอนุมูลอิสระทำลาย ส่วนวิตามินอี เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน จะช่วยยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้ และวิตามินเอ เป็นวิตามินที่ละลายในไขมันที่อยู่ในรูปของเบต้าแคโรทีน หรือแคโรทีนอยด์ ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก และมีความเกี่ยวข้องกับสุขภาพด้านอื่นๆ ได้แก่ ลดความเสี่ยงเกี่ยวกับการเสื่อมของตา เนื่องจากสูงอายุ และต้อกระจก รวมทั้งลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งบางชนิดและโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ อย่างดี 

         ทั้งนี้กรมอนามัยได้ศึกษาแหล่งอาหารไทยที่มีสารต้านอนุมูลอิสระทั้ง 3 ชนิด พบว่า

ผลไม้ที่พบสารเบต้าแคโรทีนมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ 

   มะม่วงน้ำดอกไม้สุกมี 873 ไมโครกรัม 
   มะเขือเทศราชินีมี 639 ไมโครกรัม  
   มะละกอสุก 532 ไมโครกรัม 
   แคนตาลูป 217 ไมโครกรัม 
   มะปรางหวาน 230 ไมโครกรัม 
   มะยงชิด 207 ไมโครกรัม 
   สับปะรดภูเก็ต 150 ไมโครกรัม 
   แตงโม 122 ไมโครกรัม 
   ส้มสายน้ำผึ้ง 101 ไมโครกรัม  
   ลูกพลับ 93 ไมโครกรัม 

ผลไม้ที่มีวิตามินอีสูงสุด 10 อันดับแรก คือ 

 ขนุนหนัง 2.38 มิลลิกรัม 
   มะขามเทศ 2.29 มิลลิกรัม 
   มะม่วงเขียวเสวยดิบ 1.52 มิลลิกรัม 
   มะเขือเทศราชินี 1.34 มิลลิกรัม 
   มะม่วงเขียวเสวยสุก 1.23 มิลลิกรัม 
   มะม่วงน้ำดอกไม้สุก 1.1 มิลลิกรัม 
   มะม่วงยายกล่ำสุก 0.97 มิลลิกรัม 
   กล้วยไข่ 0.47 มิลลิกรัม 
   แก้วมังกรเนื้อสีชมพู 0.59 มิลลิกรัม 
   สตรอเบอรี่ 0.54 มิลลิกรัม 

ส่วนผลไม้ที่มีวิตามินซีมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ 

ฝรั่งกลมสาลี่ 187 มิลลิกรัม 
   ฝรั่งไร้เมล็ด 151 มิลลิกรัม 
   มะขามป้อม 111 มิลลิกรัม 
   มะขามเทศ 97 มิลลิกรัม 
   เงาะโรงเรียน 76 มิลลิกรัม 
   ลูกพลับ 73 มิลลิกรัม 
   สตรอเบอรี่ 66 มิลลิกรัม 
   มะละกอแขกดำสุก 55 มิลลิกรัม 
   พุทธาแอปเปิล 47 มิลลิกรัม    
   ส้มโอขาวแตงกวา 48 มิลลิกรัม

ข้อมูลจาก : //apilosonmd.igetweb.com/




 

Create Date : 04 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2557 8:33:50 น.
Counter : 977 Pageviews.  

แนะเคล็ดไม่ลับ ฉบับรู้เค้ารู้เรา สัมภาษณ์งานผ่านฉลุย!!

"แมนพาวเวอร์กรุ๊ป" แนะเคล็ดไม่ลับ ฉบับรู้เค้ารู้เรา ผ่านฉลุย!!

รู้เขารู้เรา... รบร้อยครั้งชนะ ร้อยครั้ง ไม่ใช่แค่ คำเก่าโบราณ ที่ไม่สามารถปฏิบัติจริงได้ รู้หรือไม่ว่า ในยุคที่การแข่งขันสูง และมีการแย่งชิงพื้นที่งานกันอย่างเข้มข้นใน พ.ศ. นี้ หากเราเดาใจผู้สัมภาษณ์ได้อย่างตรงจุด คงเป็นหลักสำคัญที่ช่วยให้เราได้งานที่ใฝ่ฝันมาครอบครองได้อย่างไม่ยาก

วัตถุประสงค์ของผู้สัมภาษณ์ในการสัมภาษณ์ผู้สมัคร คือการหาคนที่มีความสามารถและทักษะให้ตรงกับงาน หาคนที่เหมาะสมมาทำงาน ดังนั้นจากวัตถุประสงค์ดังกล่าว มักจะนำมาซึ่งความคาดหวัง เมื่อเจอผู้สมัครที่ตรงกับความคาดหวังมากที่สุด ผู้สมัครท่านนั้นก็จะชนะในการสัมภาษณ์ และได้งานในที่สุด

ประทับใจเมื่อแรกเห็น (First Impression)

เรามาดูกันว่าความต้องการหรือความคาดหวังของผู้สัมภาษณ์ส่วนใหญ่เป็นอย่างไร เริ่มต้นคือ ความประทับใจเมื่อแรกเห็น ไม่จำเป็นต้องสวยต้องหล่อ แต่ต้องดูดีมีบุคลิกภาพที่น่าสนใจและประทับใจต่อผู้พบเห็น การแต่งกายถูกกาละเทศะ

ผู้สมัครควรเตรียมพร้อมทั้งเสื้อผ้า หน้าผม และที่สำคัญคือลมหายใจ กลิ่นกาย ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้สัมภาษณ์จะรับรู้ได้เป็นด่านแรก ผู้หญิงไม่ใส่กระโปรงสั้น เสื้อผ่าอกลึกเกินไป หรือฉีดน้ำหอมฉุน ผู้ชายก็ดูแลเรื่องผม หนวดเครา ไม่รกรุงรัง เสื้อผ้าความเรียบร้อย รองเท้าสุภาพ

ภาษากายเป็นมิตร (Body Language)

ผู้สัมภาษณ์มักมองหามารยาทและความสุภาพ รู้กาละเทศะจากผู้สมัคร เมื่อประทับใจตั้งแต่แรกพบ ต่อมาก็คาดหวังจากการพูดคุย หรือภาษากาย เช่น สบตาเมื่อพูด แสดงความสนใจ พยักหน้ารับแสดงความเห็นด้วย โต้ตอบทันท่วงที พูดจาฉะฉานชัดเจน มีความมั่นใจ ท่านั่งมั่นคง เมื่อภาษากายเป็นมิตร การสนทนาหรือสัมภาษณ์ก็จะลื่นไหล

ในขณะสนทนาผู้สัมภาษณ์ก็คาดหวังกับการตั้งใจฟังและตอบคำถามชัดเจน มีการอธิบายประกอบแต่ไม่เยิ่นเยอะ มีการโต้ตอบ ถามคำถามกลับบ้าง และต้องการความจริงและเห็นภาพจากผู้สัมภาษณ์ บางครั้งในเรื่องที่ทางผู้สัมภาษณ์ไม่ถนัดหรือมีความรู้น้อยในเรื่องนั้น ๆ ก็ต้องการคำอธิบายในเชิงบวก อธิบายวาดภาพให้เห็นเป็นลำดับขั้น มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องงาน เข้าใจลักษณะงาน และรู้จักองค์กรของผู้สัมภาษณ์เบื้องต้น

การเตรียมตัวกับความพร้อมของผู้สมัคร

และท้ายที่สุดผู้สัมภาษณ์ต้องการคือ ความพร้อมของผู้สมัคร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกายภาพที่กล่าวมาเบื้องต้น การให้เกียรติผู้สัมภาษณ์ทั้งทางด้านคำพูดและการแสดงออก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ผู้สัมภาษณ์ส่วนใหญ่คาดหวังจากว่าจะได้เห็นได้รับรู้จากการสัมภาษณ์ผู้สมัคร ดังนั้น การเตรียมตัวกับความพร้อมของผู้สมัครคือสิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้สัมภาษณ์ต้องการ

เพียงเท่านี้คุณก็สามารถนำเกร็ดความรู้ที่นำมาฝากไปปฎิบัติได้ การวางแผนและการเตรียมตัวก็จะง่ายมากขึ้น นี่เป็นแค่เกร็ดความรู้ส่วนหนึ่งในการเตรียมตัวสู่อนาคตการทำงานในโลกกว้าง หรือถ้าอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมและคำแนะนำเกี่ยวกับการสัมภาษณ์งาน สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์




 

Create Date : 03 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 3 พฤศจิกายน 2557 8:34:10 น.
Counter : 888 Pageviews.  

มังคุด สรรพคุณและประโยชน์ของมังคุด 45 ข้อ!

มังคุด ภาษาอังกฤษ Mangosteen ส่วนมังคุดชื่อวิทยาศาสตร์ Garcinia mangostana Linn. จัดอยู่ในวงศ์ CLUSIACEAE (GUTTIFERAE) เช่นเดียวกับกระทิง ติ้วเกลี้ยง ติ้วขน ชะมวง บุนนาค มะดัน มะพูด รงทอง ส้มแขก และสารภี


เชื่อว่ามีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะซุนดาและหมู่เกาะโมลุกกะ และยังเป็นผลไม้ที่นิยมอย่างมากในแถบเอเชีย โดยได้รับการขนานนามว่าเป็น “ราชินีแห่งผลไม้” (Queen of Fruits) อาจเป็นเพราะลักษณะภายนอกของผล ที่มีกลับบนหัวคล้ายๆกับมงกุฎของพระราชินี เป็นผลที่จัดว่ามีประโยชน์มากชนิดหนึ่ง โดยประโยชน์ของมังคุดไม่ได้อยู่แค่เนื้อที่เรานิยมรับประทานกันเท่านั้น ประโยชน์ของเปลือกมังคุดก็มีมากมายในการรักษาโรคได้เช่นกัน

ในมังคุดมีสารแซนโทน (Xanthone) ในปริมาณมาก แม้จะมีส่วนช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการอักเสบ ลดความดันโลหิต ช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง และอาการแพ้ต่างๆ แต่ก็ยังขาดข้อมูลในการสนับสนุนว่ามังคุดจะสามารถรักษาอาการต่างๆเหล่านี้ได้จริง ถึงแม้ยังไม่มีรายงานการศึกษาความเป็นพิษในมนุษย์ แต่ก็พบอาการไม่พึงประสงค์หลายอย่างในแต่ละบุคคล เช่น มีอาการผิวหนังบวมแดง เป็นผื่นคันขึ้นตามตัว ปวดศีรษะ ปวดบริเวณข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ท้องเสีย ถ่ายเหลว ลำไส้แปรปรวน เป็นต้น

นอกจากนี้มังคุดยังมีสารแทนนิน (Tannin) ที่อยู่ในเปลือกของมังคุด หากบริโภคมากเกินไปและต่อเนื่อง อาจจะทำให้เกิดเป็นพิษต่อตับ ไต การเกิดมะเร็งในร่องแก้ม ในทางเดินอาหารส่วนบน และยังไปลดจำนวนของเม็ดเลือดขาวจนทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดต่ำลงจากปกติ (ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา หัวหน้าคณะนักวิจัยศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทย) ดังนั้นการรับประทานที่ดีที่สุดคือการรับประทานอย่างมีสติ ด้วยการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เลือกรับประทานผลไม้ให้หลากหลาย ไม่ซ้ำกัน ไม่อย่างนั้นผลไม้ที่มีประโยชน์มากมายมันอาจจะกลายเป็นโทษต่อร่างกายเสียเอง

ล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว (สิงหาคม พ.ศ.2555) ได้มีการเปิดตัวผลงานวิจัย “สูตรสารธรรมชาติ ต้านมะเร็งจากมังคุด” โดย ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา เผยว่างานวิจัยดังกล่าวเป็นกาต่อยอดยำเอาคุณประโยชน์ของสารสกัดจีเอ็ม-1 ที่ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อยาปฏิชีวนะราคาแพง ลดการอักเสบได้เป็น 3 เท่าของแอสไพริน และสามารถกำจัดเซลล์มะเร็งในหลอดทดลองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสกัดมาจากเปลือกมังคุดสูตรธรรมชาติที่ผสมกับสารสกัดจากงาดำ ฝรั่ง ถั่วเหลือง ใบบัวบก จนได้เป็นอาหารเสริมชนิดดีที่ช่วยปรับระดับภูมิคุ้มกันให้สมดุล โดยมีผลช่วยเพิ่มการผลิตเม็ดเลือดขาวทีเอช 1 ที่ช่วยในการกำจัดเซลล์มะเร็ง เชื้อรา เชื้อไวรัส และแบคทีเรีย และเม็ดเลือดขาวชนิดทีเอช 17 ที่ช่วยป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง อย่างไม่มีผลข้างเคียงใดๆ

ขณะที่ ศ.พญ.สุมิตรา ทองประเสริฐ อาจารย์ประจำภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ กล่าวถึงผลงานวิจัยด้วยการทดสอบผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ซึ่งไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยเคมีบำบัด 20 ราย ในระยะเวลา 6 เดือน หลังจากที่ผู้ป่วยรับประทานอาหารสูตรธรรมชาติร่วมกับน้ำมังคุดสกัดร้อยละ 80 เห็นได้ชัดถึงความเปลี่ยนแปลงว่าคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น หลายคนกินข้าวได้ อาการเจ็บปวดบรรเทาลง ผู้ป่วยบางรายสามารถกลับไปทำงานได้ปกติ โดยทุกรายมีภูมิคุมกันที่ดีขึ้นแม้จะไม่หายจากโรคมะเร็ง จึงช่วยเป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ และเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการใช้ยารักษาที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ

ประโยชน์ของมังคุด

1.รับประทานสดเป็นผลไม้ หรือทำเป็นน้ำผลไม้ อย่าง น้ำมังคุด และน้ำเปลือกมังคุด
2.มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งมีส่วนช่วยในการชะลอวัยและการเกิดริ้วรอย
3.มีฤทธิ์ในการจับอนุมูลอิสระต่างๆได้มากกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ
4.ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส แข็งแรง
5.ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิต้านทานให้แข็งแรง
6.มีส่วนช่วยป้องกันอาการไข้ (ไข้ระดับต่ำ)
7.ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง
8.ช่วยเพิ่มพลังงานแก่ร่างกาย เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า
9.มังคุดรักษาสิว เปลือกมังคุดมีคุณสมบัติในการยัยยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว และยังออกฤทธิ์ต้านสิวอักเสบได้ดีอีกด้วย
10.มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคซึมเศร้า ลดความเครียด
11.ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน โรคเกี่ยวกับระบบประสาท
12.การรับประทานมังคุดเป็นประจำจะช่วยส่งเสริมให้มีสุขภาพจิตดี อารมณ์ดีอยู่เสมอ
13.สารสกัดจากมังคุดช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดขาวชนิด ทีเอช 1 และ ทีเอช 17 มีฤทธิ์ช่วยกำจัดและป้องกันการก่อเกิดเซลล์มะเร็งเกือบทุกชนิดได้
14.ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งชนิดต่างๆ อย่าง เซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะอาหาร
15.ช่วยในการขยายตัวของหลอดเลือด ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
16.ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและโรคเกี่ยวกับทางเดินหัวใจ
17.ช่วยลดความดันโลหิต
18.ช่วยรักษาไทรอยด์เป็นพิษ
19.ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย และลดไขมันที่ไม่ดีในเส้นเลือด
20.มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดเนื้องอกในร่างกาย
21.มีสวนช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน ด้วยคุณสมบัติในการลดและควบคุมระดับน้ำตาล
22.ช่วยป้องกันการเกิดโรคภูมิแพ้
23.มีส่วนช่วยในการบรรเทาอาการของโรคหอบหืด
24.มีส่วนช่วยบำรุงและรักษาสายตา
25.ช่วยบำรุงสุขภาพช่องปากและเหงือกให้แข็งแรง
26.ช่วยลดกลิ่นปากอันไม่พึงประสงค์
27.ช่วยรักษาและสมานแผลในช่องปากหรือปากแตกให้หายเร็วยิ่งขึ้น
28.ไฟเบอร์จากมุงคุดช่วยในการย่อยอาหาร ป้องกันอาการท้องผูก
29.ช่วยบำรุงและฟื้นฟูความสมดุลภายในกระเพาะอาหาร ด้วยการยับยั้งการเจริญเติบโตเชื้อแบคทีเรียซึ่งเป็นสาเหตุของอาการท้องร่วง จุกเสียด เกิดแก๊สในกระเพาะและการดูดซึมอาหารบกพร่อง
30.สรรพคุณมังคุด ในทางสมุนไพรจะช่วยแก้อาการท้องเสีย ด้วยการใช้เปลือกมังคุดตากแห้งต้มกับน้ำหรือย่างไฟ นำมาฝนกับน้ำปูนใส
31.ช่วยแก้อาการท้องร่วงเรื้อรัง อาการถ่ายเป็นมูกเลือด ด้วยการใช้เปลือกสดหรือแห้งฝนกับน้ำรับประทาน หรือจะใช้เปลือกแห้งนำมาต้มกับน้ำดื่มก็ได้ผลเหมือนกัน
32.ช่วยให้ระบบทางเดินปัสสาวะอยู่ในสภาวะปกติ
33.ช่วยป้องกันการเกิดโรคนิ่วในไต
34.มีส่วนช่วยป้องกันอาการตับเสื่อม ไตวาย
35.ช่วยรักษาอาการข้อเข่าอักเสบ
36.เปลือกของมังคุดมีสารแทนนินที่มีฤทธิ์ฝาดสมาน ทำให้แผลหายเร็ว
37.ช่วยต่อต้านและป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เชื้อรา เชื้อจุลินทรีย์ และไวรัสต่างๆ อย่างเชื้อวัณโรค เชื้อ HIV เป็นต้น
38.ช่วยลดอาการอักเสบและมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง (เปลือก)
39.ช่วยยับยั้งการเกิดและใช้รักษาโรคผิวหนังต่างๆ อย่าง กลากเกลื้อน ผดผื่นคันต่างๆ ด้วยการใช้เปลือกมังคุดแห้งต้มน้ำอาบ หรือใช้น้ำต้มเปลือกมาทาบริเวณที่เป็น
40.มังคุดสรรพคุณ ทางยาสมุนไพรใช้เพื่อรักอาการน้ำกัดเท้า แผลเปื่อย ด้วยการใช้เปลือกแห้งฝนกับน้ำปูนใส
41.เปลือกมังคุดมีสารช่วยป้องกันเชื้อราจึงเหมาะแก่การหมักปุ๋ย
42.นำมาประกอบอาหารทั้งคาวและหวาน เช่น แกง ยำ มังคุดลอยแก้ว ซอสมังคุด เป็นต้น
43.นำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ อย่าง มังคุดกวน แยมมังคุด มังคุดแช่อิ่ม ท๊อฟฟี่มังคุด
44.มังคุดมีสารจีเอ็ม-1 ซึ่งใช้เป็นประกอบในเครื่องสำอาง สำหรับผู้มีปัญหาสภาพผิวเรื้อรังจากสิวและอาการแพ้
45.นำมาแปรรูปเป็นสบู่เปลือกมังคุด ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยดับกลิ่นเต่า รักษาสิวฝ้า บรรเทาอาการของโรคผิวหนัง

ที่มาข้อมูล //www.frynn.com

ที่มารูปภาพ //www.gettyimages.com




 

Create Date : 02 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2557 17:31:22 น.
Counter : 1116 Pageviews.  

รู้ไหม? จานสีอะไร? ทำให้อยากกินอาหารน้อยลง

โรงพยาบาลในอังกฤษหลายแห่งใช้ถาดสีแดงในการเสิร์ฟอาหาร เพื่อให้พยาบาลรู้ว่าผู้ป่วยคนไหนที่ต้องการความช่วยเหลือในการกินอาหาร แต่ดูเหมือนโรงพยาบาลเหล่านั้นจะเลือกสีผิด เพราะทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด ได้เปิดเผยข้อมูลงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า สี ขนาด น้ำหนักและรูปร่างของจานชาม แก้วและช้อนส้อมมีผลกระทบต่อความอยากอาหารของมนุษย์ โดยเฉพาะสีแดงที่ทำให้ความอยากอาหารลดน้อยลง






ทีมวิจัยทำการทดลองโดยจัดอาหารที่เหมือนกันให้อาสาสมัครหลายสิบคนรับประทานด้วยช้อนส้อมที่มีสีรูปร่างและน้ำหนักแตกต่างกันเพื่อวัดความแตกต่างทางรสชาติ ผลปรากฏว่าอาสาสมัครที่รับประทานอาหารด้วยมีดรู้สึกว่าอาหารเค็มมากกว่ารับประทานด้วยช้อน ส้อม หรือไม้จิ้มฟัน และรู้สึกว่าอาหารหรูและแพงกว่าเมื่อรับประทานด้วยช้อนพลาสติกที่มีน้ำหนักเบา
เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมานักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโพลีเทคนิควาเลนเซียและมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ดเปิดเผยว่าอาสาสมัครบอกว่ารสชาติช็อกโกแลตร้อนที่ดื่มจากแก้วสีส้มหรือสีครีม มีรสชาติอร่อยกว่าดื่มจากแก้วสีขาวหรือแดง
นอกจากนี้ผลการวิจัยที่ผ่านมายังพบว่าน้ำอัดลมในภาชนะสีเหลืองช่วยเพิ่มการรับรู้รสชาติของมะนาวได้มากกว่าในขณะที่เครื่องดื่มในภาชนะที่มีสีเย็นๆเช่นน้ำเงิน ช่วยดับกระหายได้ดีกว่า ส่วนภาชนะสีแดงหรือสีชมพูทำให้รับรู้รสหวานได้มากขึ้น


ผลการทดลองชี้ให้เห็นว่าทำไมโฆษณาหรือหีบห่อบรรจุภัณฑ์จึงมีบทบาทอย่างมากต่อผู้บริโภคเพราะก่อนที่เราจะเอาอาหารเข้าปากสมองของคนเราก็ตัดสินไปแล้วว่าอาหารนั้นจะมีรสชาติอย่างไร ซึ่งความรู้จากงานวิจัยชิ้นนี้สามารถนำไปปรับใช้เพื่อช่วยคนที่มีปัญหาเรื่องการรับประทานมากไปหรือน้อยไปได้




 

Create Date : 30 ตุลาคม 2557    
Last Update : 30 ตุลาคม 2557 9:10:21 น.
Counter : 3425 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.