ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

ถ้าน้ำแข็งขั่วโลกละลายหมด กรุงเทพฯน้ำจะขึ้นขนาดไหน

เห็นน้ำท่วมหนัก ผมเลยลองหาข้อมูลดูก็ทราบว่า ถ้าน้ำแข็งขั่วโลกทั้งหมดละลายระดับน้ำจะเพิ่มขึ้นจากเดิม 60-75 เมตร เลยลองใส่เลเยอร์สีฟ้าใน google earth ให้สูงขึ้นจากระดับน้ำทะเล 100 เมตร (ประมาณ) ผลที่ได้ 

ตึกใบหยก 1 และ 2

เซ็นทรัลเวิลด์

สวนลุม สาทรใต้

สีสม

หลังสวน ออซีซั่น

รัชโยธิน ตึกช้างกับ scb ยังโผล่

สะพานพุทธ  วังบูรพา

ตึกธ.กสิกร  สะพานพระราม9 เหลือแต่ยอด  

สะพานวงแหวนอุตสาหกรรม


ขอขอบคุณ

เนื้อหาทั้งหมด จากเว็บ //www.gun.in.th/

เนื้อหาโดย คุณ Lightsaber




 

Create Date : 05 กรกฎาคม 2557    
Last Update : 5 กรกฎาคม 2557 11:29:15 น.
Counter : 1401 Pageviews.  

ทำไมพม่า จึงเปลี่ยนชื่อเป็น เมียนมาร์ ?

ทำไมพม่า จึงเปลี่ยนชื่อเป็น เมียนมาร์ ?

ทำไมพม่า จึงเปลี่ยนชื่อเ

ปัจจุบันพม่าชื่อเมียนมาร์มาโดยมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ (Republic of the Union of Myanmar) โดยรัฐบาลทหารพม่าได้เปลี่ยนชื่อประเทศตั้งแต่ปี 1989 คำว่าเมียนมาร์มาจากภาษาพม่าแปลว่า "เข็มแข็งขึ้นอย่างรวดเร็ว" โดยเป็นการประสมคำระหว่าง 'เมียน' (Myan) ที่แปลว่า 'รวดเร็ว' กับ 'มา' (Ma) ที่แปลว่า 'เข็มแข็ง'

รัฐบาลทหารพม่าในขณะนั้น ให้เหตุผลในการเปลี่ยนชื่อว่า ต้องการแสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกภาพของประเทศ เนื่องจาก 'เบอร์มา' หมายถึงชนชาติเดียวคือชนชาติพม่า (Bamar) ที่เป็นชนกลุ่มใหญ่ของประเทศเพียงกลุ่มเดียว ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงในพม่ามีชนกลุ่มน้อยอีกหลายชาติพันธุ์ (ไทยใหญ่, มอญ, ชิน, ฯลฯ) อาศัยรวมอยู่ด้วย นอกจากนี้ เบอร์มา ยังเป็นสัญญาลักษณ์ของการเป็นอดีตประเทศอาณานิคม เนื่องจากเป็นชื่อที่อดีตเจ้าอาณานิคมใช้เรียกประเทศแห่งนี้

ไม่เพียงแต่ชื่อประเทศเท่า แม้แต่เมืองสำคัญหลายแห่ง อาทิ อดีตเมืองหลวง กรุงร่างกุ้ง (Rangoon) ก็ได้รับการเปลี่ยนชื่อโดยรัฐบาลทหารเป็น ยางโกง (Yangon) เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม หลังรัฐบาลทหารพม่าประกาศเปลี่ยนชื่อประเทศอย่างเป็นทางการ ปรากฏว่าองค์กรระหว่างประเทศหลายแห่ง รวมถึงรัฐบาลของเหล่าประเทศตะวันตกกลับไม่ให้ยอมรับการเปลี่ยนชื่อดังกล่าว นัยว่าไม่ให้การยอมรับรัฐบาลทหารพม่า และเรียกประเทศนี้ว่าเบอร์มาเช่นเดิม

กรณีที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นคือแม้แต่ ออง ซาน ซูจีผู้นำฝ่ายค้านพม่า ปฏิเสธที่เรียกพม่าด้วยชื่อใหม่เช่นเดียวกัน โดยให้เหตุผลว่า รัฐบาลทหารเปลี่ยนชื่อโดยไม่สอบถามความเห็นของประชาชนก่อน

ความขัดแย้งดังกล่าว ส่งผลให้แม้แต่ ประธานาธิบดี บารัก โอบามา ของสหรัฐต้องใช้คำว่าเมียนมาร์เมื่อพบปะกับประธานาธิบดี เต็ง เส่ง และใช้คำว่าเบอร์มาในการพบปะกับ ออง ซาน ซูจี

ทำไมพม่า จึงเปลี่ยนชื่อเ

แต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมามีข่าวความเคลื่อนไหวออกมาว่า สหรัฐตัดสินใจเรียกประเทศพม่าด้วยชื่อทางการว่า เมียนมาร์(Myanmar) แทนชื่อเดิม เบอร์มา (Burma) ด้วยเหตุผล ด้านมารยาททางการทูต

การยอมรับชื่อ "เมียนมาร์" จึงนับเป็นความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญเลยทีเดียว โดยมีนัยว่าสหรัฐให้การยอมรับรัฐบาลพม่าชุดปัจจุบัน

สำหรับประเทศไทยนั้น ในระดับทางการได้เปลี่ยนได้ให้การยอมรับชื่อเมียนมาร์เรียบร้อยแล้ว แต่สำหรับคนไทยโดยทั่วไปยังติดปากเรียกประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้ว่าพม่าอยู่เช่นเดิม เช่นเดียวกับชาวพม่าก็ยังคงคุ้นชินกับการเรียกประเทศไทยว่า 'โยเดีย' หรือ 'อยุธยา' ไม่ยอมเปลี่ยนมาเรียกประเทศไทย หรือ ไทยแลนด์



ข้อมูล : โพสต์ทูเดย์
photo : travellerdane.blogspot.com




 

Create Date : 29 มิถุนายน 2557    
Last Update : 29 มิถุนายน 2557 18:29:23 น.
Counter : 1422 Pageviews.  

6 เรื่อง สำหรับคนขึ้นเครื่องบิน ที่หลายคนอาจยังไม่รู้

1.การจำกัดของเหลวขึ้นเครื่อง

อย่างที่ทราบกันนะครับว่าทุกสายการบินนั้นจะจำกัดการนำของเหลวขึ้นเครื่อง มันเป็นกฎของสนามบิน โดยจะจำกัดแค่คนละไม่เกิน 100 มล ซึ่งส่วนมากคนที่จะโดนจะเป็นบรรดาสาวๆที่ชอบพก น้ำหอม ครีมต่างๆนะครับ

2. อากาศบนเครื่อง

อากาศบนเครื่องบินนั้นถือว่าแห้งมากๆนะครับ แห้งยังกะทะเลทรายกันเลยทีเดียว ที่แห้งขนาดเนี้ยก็เพราะเครื่องถูกปรับความดันให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและมีความชื้นน้อยที่สุด แห้งจนบนครั้งรู้สึกว่าผิวแห้ง คอแห้ง แสบจมูกและขาดน้ำเลยทีเดียว ดังนั้นจึงควรพกแฮนด์ครีมติดกระเป๋าไว้ และจิบน้ำบ่อยๆ รวมถึงถอดคอนเทคเลนส์เวลาจะนอนด้วย ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดกับไฟล์ทที่เดินทางนานๆไกลๆนะครับ

3. เวลาขึ้นเครื่อง

เวลาขึ้นเครื่องจะเป็นเวลา 40 นาทีก่อนเครื่องออกเสมอ ที่ต้องบอกเวลาล่วงหน้าก่อนเครื่องออกตั้ง 40 นาทีก็เพื่อที่จะมีเวลาในการตรวจสอบความพร้อมของเครื่องบินนะครับ ไม่ได้เผื่อให้ขาช๊อปทั้งหลายนะครับ อิอิ

4. การขอที่นั่งและรายการอาหารพิเศษ

ถ้าผู้โดยสารอยากจะกินอะไร ไม่อยากกินอะไร ต้องแจ้งตั้งแต่ตอนออกตั๋วโดยสาร ส่วนเรื่องที่นั่งก็ขอเลือกได้ แต่เฉพาะในกรณีที่ยังมีที่ว่างอยู่เท่านั้น สำหรับคนป่วย ขาหัก ไม่สบาย ตั้งครรภ์ หรือน้ำหนักเยอะหน่อย ไม่ควรเลือกที่นั่งแถวทางออกฉุกเฉิน เพราะเป็นส่วนที่ทางสายการบินมีไว้ให้คนแข็งแรงที่พอจะช่วยเหลือตัวเองได้ในภาวะฉุกเฉินเท่านั้น

5.อย่าดื่มเยอะ



ดื่มในที่นี้ไม่ใช่น้ำนะครับ แต่เป็นบรรดาเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ทั้งหลาย คือดื่มได้นะครับ แต่อย่าเยอะมาก เพราะว่าการดื่มของมึนเมา 2 – 3 แก้วบนเครื่องจะมีผลต่อร่างกายคุณเทียบเท่าการดื่ม 4-5 แก้วบนพื้นโลกเลยนะครับ เพราะว่าอากาศที่เบาบางบนเครื่องนั่นเอง

6. รองเท้าคับขึ้น

ใช่ครับ มันเกิดจากอาการเท้าบวม ซึ่งไม่ใช่เรื่องของความกดอากาศอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของการไหลเวียนเลือด ถ้าสุขภาพเราไม่ดีล่ะก็ จะเกิดอาการบวมได้ง่ายกว่าปกติ วิธีรับมือก็คือ การขยับแข้งขยับขาบ่อยๆ ลุกเดินไปนู่นนี่ ให้เลือดมันหมุนเวียนบ้าง

ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก spokedark.tv




 

Create Date : 29 มิถุนายน 2557    
Last Update : 29 มิถุนายน 2557 14:45:36 น.
Counter : 1058 Pageviews.  

เรื่องจริงของ อิคคิวซัง

“อิคคิวซัง…(ตะโกนเรียก)”  เณรน้อยอิคคิวซังตอบกลับ  “คร๊าบผม จะรีบไปไหนๆ พักเดี๋ยวนึงนะครับ“ประโยคเด็ดนี้ เพื่อนๆ จำกันได้ไหมคะ การ์ตูนยอดฮิต “เณรน้อยเจ้าปัญญา อิคคิวซัง” ของเด็กๆ และคาแรคเตอร์ที่ใครๆ ก็จดจำ ไม่ว่าจะเป็นตอนใช้ความคิด ติ๊กต๊อกๆ หรือตอนตอบคำถามปุจฉา วิสัชนา ก็ยังเป็นที่จดจำของใครหลายคน แต่เราเคยสงสัยไหมคะ ว่าการ์ตูนอิคคิวซังนี้ เป็นเรื่องแต่งขึ้นหรือเป็นเรื่องจริงกันแน่ วันนี้ทีนเอ็มไทยเรามีคำตอบมาฝากเพื่อนๆ กันค่ะ…เรื่องจริงของ อิคคิวซัง

22_1242639172

เรื่องจริงของ อิคคิวซัง

ในประเทศญี่ปุ่น พระอิคคิวซัง มีตัวตนอยู่จริงนะคะ และยังมีหลักฐานต่างๆ ที่ยืนยันว่า “อิคคิวซัง” ไม่ได้เป็นแค่การ์ตูน แต่กลับเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น เลยทีเดียว

อิคคิวซัง (อิคคิว โซจุน 一休宗純, Ikkyū Sōjun) เกิดเมื่อปี ค.ศ.1394 ที่เมืองเกียวโต เป็นราชบุตรของพระจักรพรรดิโกโคมัตสึ และเจ้าจอมอิโยะ เนื่องจากปัญหาการเมืองภายในของญี่ปุ่นในสมัยนั้น ทำให้ท่านและท่านแม่ของท่านต้องออกจากวัง เมื่ออิคคิวซังมีอายุได้ 5 ขวบ ท่านได้ถูกแยกจากแม่และส่งไปบวชที่วัดอังโคะคุจิ เมืองเกียวโต นิกายรินไซเซน เดิมจริงๆ แล้วตอนเด็ก อิคคิวซังท่านมีชื่อว่า “เซนงิคุมารุ” ต่อมาเมื่อท่านบวชเป็นเณรที่วัดอังโคะคุจิ ท่านได้รับชื่อใหม่ว่า “ชูเค็น” 

รูปวาดของท่านอิคคิวซังตัวจริงยามแก่

รูปวาดของท่านอิคคิวซังตัวจริงยามแก่

เป็นวัดเล็กๆบนภูเขาเคโตคุและเป็นวัดที่ได้รับการดูแลจากโชกุนอะชิคางะทาคาอุจิ  วัดนี้อยู่ที่เกียวโต

เป็นวัดเล็กๆบนภูเขาเคโตคุและเป็นวัดที่ได้รับการดูแลจากโชกุนอะชิคางะทาคาอุจิ วัดนี้อยู่ที่เกียวโต

ต่อมาท่านได้ย้ายไปอยู่วัดไซคินจิ ซึ่งเป็นวัดเล็กๆ ยากจนอยู่กับหลวงพ่อเคนโอ (Ken’o) ที่นี่ชูเคนได้เรียนรู้เซนที่แท้จริง หลวงพ่อเคนโอได้ตั้งชื่อให้ชูเคนใหม่ว่า “โซจุน” ท่านอิคคิวอยู่ที่นี่จนอายุได้ 21 ปี หลวงพ่อเคนโอก็มรณภาพ โซจุนเสียใจเป็นอย่างมากต่อการตายของหลวงพ่อเคนโอ จนถึงขนาดฆ่าตัวตายโดยการเดินลงไปในทะเลสาบบิวะ (Biwa) แต่โชคดีมีคนมาช่วยไว้

หลังจากนั้นโซจุนได้ไปหาหลวงพ่อคะโซ (Kaso) ที่วัดเซนโกอัน (Zenko-an) ซึ่งเป็นสาขาของวัดไดทกกุ ซึ่งเป็นวัดสำคัญในสมัยนั้น วันหนึ่งหลวงพ่อคะโซได้ตั้งปริศนาธรรมให้แก่โซจุน เมื่อโซจุนแก้ปัญหาได้แล้ว หลวงพ่อคะโซพอใจมากและตั้งชื่อให้ใหม่ว่า “อิคคิว”

หลวงพ่อถามอิคคิวว่า… “รู้หรือไม่ว่าคำว่าอิคคิวมีความหมายว่าอย่างไร?”
อิคคิวตอบเป็นกลอนว่า…
“ขอพักสักครู่หนึ่ง
ระหว่างทางจากโลกียะ
ถึงโลกุตตระ
หากฝนจะตกก็ตกเถิด
หากลมจะพัดก็พัดเถิด”
(นาม “อิคคิว” แปลว่า พักสักครู่)

รูปปั้นของท่านอิคคิวซังตอนเป็นสามเณร ซึ่งสำหรับชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่แล้ว

รูปปั้นของท่านอิคคิวซังตอนเป็นสามเณร ซึ่งสำหรับชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่แล้ว

อิคคิวตัวจริง

แต่ท่านอิคคิวตัวจริงเป็นพระเซนชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งรูปปั้นของท่านในวัยผู้ใหญ่ก็แสดงให้เห็นถึงความสูงส่งและชาญฉลาดของท่าน

นิสัยจริงของท่านอิคคิว ต่างจากที่เห็นในการ์ตูนอิคคิวซังมาก ในการ์ตูนท่านอิคคิวเป็นเด็กน่ารัก เรียบร้อย แต่ตัวจริงท่านมักจะมีความคิดที่แตกต่างจากผู้คนรอบตัวท่านอยู่เสมอ ดังนั้นท่านคะโซจึงมอบตำแหน่งเจ้าอาวาสให้แก่ศิษย์รุ่นพี่ของท่านอิคคิว ส่วนท่านอิคคิวก็ออกพเนจรไปตามที่ต่างๆ ซึ่งทำให้ท่านได้มีโอกาสพบปะกับศิลปินและกวีที่มีชื่อเสียงมากมายในยุคนั้น และก็ได้พบกับคนรักของท่านที่เป็นนักร้องเพลงสาวตาบอดที่ชื่อว่า “โมริ” (Mori) ท่านอิคคิวท่องเที่ยวอยู่หลายปีจนในที่สุดเมื่อเกิดสงครามโอนิน ซึ่งทำให้วัดไดทกกุถูกทำลายจนเป็นเถ้าถ่าน ท่านอิคคิวจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดเพื่อทำการฟื้นฟู แต่ท่านอิคคิวอยู่ที่วัดไดทกกุเพียงไม่นาน ท่านก็ไปอยู่ที่วัดอิคคิวจิ ซึ่งเป็นที่สุดท้ายที่ท่านอยู่ ศพของท่านก็ฝังอยู่ที่นี่ ในปี ค.ศ.1481 ท่านอิคคิวได้ถึงแก่มรณภาพเมื่ออายุได้ 87 ปี

หลุมฝังศพของท่านอิคคิวซึ่งท่านสร้างด้วยตัวเองในวัย 82 ปี เมื่อปี ค.ศ. 1475

หลุมฝังศพของท่านอิคคิวซึ่งท่านสร้างด้วยตัวเองในวัย 82 ปี เมื่อปี ค.ศ. 1475

เรื่องที่เป็นที่รู้จักกันดีเรื่องหนึ่งของท่านอิคคิวก็คือป้ายที่หน้าสะพานซึ่งเขียนไว้ว่า “ห้ามข้ามสะพาน” ท่านอิคคิวเมื่อได้เห็นป้ายดังกล่าวแล้ว ท่านก็เดินข้ามสะพานไปตรงกลางทางเดินของสะพานโดยไม่มีการลังเลใจ ท่านจึงถูกจับ แต่ท่านก็ได้อธิบายว่าท่านไม่ได้เดินข้ามที่ขอบสะพานแต่ท่านเดินข้ามที่กลางสะพาน ในภาษาญี่ปุ่นนั้นคำว่า “ฮาชิ” มีสองความหมายคือ สะพานและขอบ

สะพานจำลองเหตุการณ์ปริศนาเรื่องสะพาน

สะพานจำลองเหตุการณ์ปริศนาเรื่องสะพาน

ป้ายหินซึ่งมีอักษรที่เขียนโดยท่านอิคคิวปรากฏอยู่

ป้ายหินซึ่งมีอักษรที่เขียนโดยท่านอิคคิวปรากฏอยู่

ภาพแสดงถึงท่านอิคคิวเดินถือไม้เท้าที่มีหัวกะโหลกเพื่อแสดงปริศนาธรรมแก่ผู้คนทั่วไป

ภาพแสดงถึงท่านอิคคิวเดินถือไม้เท้าที่มีหัวกะโหลกเพื่อแสดงปริศนาธรรมแก่ผู้คนทั่วไป วาดโดย โยชิโตชิ สึกิโอกะ (YOSHITOSHI TSUKIOKA) ปี ค.ศ. 1886

บางส่วนของบทกวีที่แต่งโดยท่านอิคคิว

ผลงานบางส่วนของบทกวีที่แต่งโดยท่านอิคคิว

หากเพื่อนคนไหนสนใจสามารถ หาหนังสือ “อิกคิวซัง ตัวจริง” ถูกแปลเป็นไทยโดย คุณพรอนงค์

หนังสือเรื่องอิคคิวซังตัวจริง เขียนโดยมาซาโอะ โคงุเร (แปลโดย พรอนงค์ นิยมค้า)

หนังสือเรื่องอิคคิวซังตัวจริง เขียนโดยมาซาโอะ โคงุเร (แปลโดย พรอนงค์ นิยมค้า)

นอกจากนี้เพื่อนๆ หลายคนทราบไหมคะว่า เพลงช้าๆ ตอนจบของการ์ตูน อิคคิวซัง ที่มีภาพตุ๊กตาไล่ฝน และเราก็คงฟังแค่ผ่านๆ ไม่ได้สนใจอะไร นั้น แท้จริงแล้วมันคือคำพูดที่ถูกถ่ายทอดลงจดหมายของอิคคิวซังถึงแม่ และเชื่อว่าคำแปลเพลงจบของการ์ตูนอิคคิวซังครั้งนี้ จะไม่เหมือนทุกครั้งที่เราฟัง เพราะมันจะทำให้เพื่อนๆ น้ำตาไหลและทราบซึ้งสุดๆ




 

Create Date : 25 มิถุนายน 2557    
Last Update : 25 มิถุนายน 2557 0:16:03 น.
Counter : 1474 Pageviews.  

กระเจี๊ยบเขียว แหล่งกลูตาไทโอน ราชาสารต้านอนุมูลอิสระ

กระเจี๊ยบเขียว

ชวนมารู้จักกระเจี๊ยบเขียว พืชที่อุดมไปด้วยกลูตาไทโอน ราชาสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นตำรับยารักษาอาการได้หลายโรค

                กระเจี๊ยบเขียว มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Abelmoschus esculentus (L.) Moench. อยู่ในวงศ์ Malvaceae มีชื่ออื่น ๆ ว่า กระเจี๊ยบขาว มะเขือมอญ มะเขือพม่า มะเขือทวาย มะเขือละโว้ ถั่วส่าย เป็นต้น



                กระเจี๊ยบเขียวเป็นพืชพื้นเมืองของประเทศเอทิโอเปีย แถบศูนย์สูตรของทวีปแอฟริกา อียิปต์ หมู่เกาะอินเดียตะวันตก และเอเชียใต้ นิยมปลูกมากทั้งในเขตร้อนและเขตอบอุ่น โดยเฉพาะในประเทศไทยที่สามารถปลูกได้ทุกภาค



กระเจี๊ยบเขียวอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น คาร์โบไฮเดรต เส้นใย โปรตีน โฟเลต แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม เหล็ก วิตามินเอ วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และวิตามินซี อยู่ในปริมาณพอสมควร 

                ที่สำคัญกระเจี๊ยบเขียวมีกลูตาไทโอน (glutathione) มีบทบาทสำคัญควบคุมสารอนุมูลอิสระในร่างกาย การสร้างสารซ่อมแซมเซลล์ และทำปฏิกิริยาขจัดสารพิษที่เกิดในร่างกายช่วยต้านมะเร็งได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันนิยมใช้สารนี้เพื่อให้ผิวขาวขึ้น เพราะกลูตาไทโอนสามารถกดการทำงานของเอนไซม์ที่ผลิตเม็ดสีได้ชั่วคราว



                นอกจากนี้ กระเจี๊ยบเขียวยังเต็มไปด้วยเส้นใยอาหารชนิดไม่ละลายน้ำ ซึ่งเป็นส่วนของพืชผักที่ร่างกายย่อยไม่ได้ และเส้นใยที่ละลายน้ำได้ เช่น เพ็กทิน (pectin) และเมือก (mucilage) ซึ่งเกิดจากสารประกอบ acetyated acidic polysaccharide และกรดกาแล็กทูโลนิก (galactulonic caid)




กระเจี๊ยบมอญ



สารเมือกหรือเส้นใยที่ละลายน้ำได้ของกระเจี๊ยบเขียว เมื่อลงสู่ลำไส้ใหญ่ จะช่วยในการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ (พรีไบโอติกแบคทีเรีย) ซึ่งจะช่วยลดปราณพิษที่ผลิตจากแบคทีเรียที่มี่ประโยชน์ที่อาศัยอยู่บริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย กระเจี๊ยบเขียวจึงจัดเป็นผักสุขภาพสำหรับผู้ป่วยมะเร็งอีกชนิดหนึ่ง

เส้นใยที่ไม่ละลายน้ำและละลายน้ำของกระเจี๊ยบเขียว มีคุณสมบัติช่วยการขับถ่ายได้เป็นอย่างดี โดยเส้นใยที่ละลายน้ำได้มีคุณสมบัติในการดูดซับสารพิษและขับถ่ายออกทางอุจจาระ จึงไม่มีสารพิษตกค้างในลำไส้ 

      และสำหรับผู้ที่ป่วยโรคเบาหวานและคอเลสเตอรอลสูง เส้นใยที่ละลายน้ำในกระเจี๊ยบเขียวจะช่วยลดการดูดซึมของคอเลสเตอรอลและน้ำตาลเข้าสู่ร่างกาย ช่วยในการขับถ่าย ซึ่งเป็นการช่วยกำจัดไขมันปริมาณสูงที่จับอยู่กับน้ำดีได้



                ในประเทศไทย มีรายงานการทดลองเกี่ยวกับการรักษาโรคพยาธิตัวจี๊ด พบสารสกัดจากกระเจี๊ยบเขียวด้วยแอลกอฮอล์สามารถลดจำนวนพยาธิตัวจี๊ดในหนูถีบจักรได้ ดังนั้น ผู้ป่วยที่เป็นโรคพยาธิตัวจี๊ดควรไปพบแพทย์และกินกระเจี๊ยบเขียวเป็นผักติดต่อกันประมาณ 2 สัปดาห์



สรรพคุณเด่นที่สำคัญในการใช้เป็นยารักษาโรคของกระเจี๊ยบเขียว คือ การใช้เป็นยารักษาโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบ ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้เกิดอาการท้องผูกและท้องเสียสลับกัน และยังช่วยรักษาอาหารปวดท้อง จากแผลในกระเพาะอาหารและแผลจากลำไส้เล็กส่วนต้น

                ในปี 2547 มีรายงานการศึกษาพบว่าสารประกอบไกลโคไซเลต (glycosylated compounds ซึ่งประกอบด้วย โพลีแซ็กคาไรด์ (polysaccharides) และไกลโคโพรตีน (glycoproteins) ในกระเจี๊ยบเขียว มีฤทธิ์ยับยั้งความสามารถของเชื้อแบคทีเรีย เฮลิโคแบ็กเตอร์ ไพโลริ (helicobacter pylori) ในการเกาะเยื่อบุผิวของกระเพาะอาหาร ซึ่งแบคทีเรียตัวนี้เอง เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร แต่สารไกลโคไซเลต จะมีฤทธิ์ลดลงเมื่อถูกความร้อน



ยางจากผลสดของกระเจี๊ยบเขียวช่วยรักษาแผลสด เมื่อถูกของมีคนบาดให้ใช้ยางจากฝักกระเจี๊ยบทาแผล แผลจะหายไว และไม่เป็นแผลเป็น

ส่วนผลอ่อนมีเมือกลื่นทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น ชาวบ้านบางพื้นที่นิยมนำมาพอกผิวหนังที่รู้สึกแสบร้อน


กระเจี๊ยบเขียว



ตำรับยาแก้พยาธิตัวจี๊ด

                - ตำรับที่ 1 นำผลกระเจี๊ยบเขียวที่ยังอ่อนมาปรุงเป็นอาหาร เช่น ต้มหรือย่างไฟให้สุก จิ้มกับน้ำพริก หรือทำแกงส้ม แกงเลียง กินวันละ 3 เวลาทุกวัน โดยจะกินเท่าไหร่ก็ได้ แต่อย่างน้อยวันละ 4-5 ผล ติดต่อกัน 15 วัน หรือบางคนต้องกินเป็นเดือนจึงจะหาย



                - ตำรับที่ 2 ใช้รากกระเจี๊ยบแดง กระเจี๊ยบเขียว ต้มกิน




ตำรับยารักษาโรคกระเพาะ

                ใช้ฝักอ่อนกะเจี๊ยบเขียวหั่นตากแดดบดให้ละเอียด กินครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ โดยนำมาละลายในน้ำ นม น้ำผลไม้ หรืออาหารอ่อน ๆ กินวันละ 3-4 ครั้ง หลังอาหาร (เวลาละลายจะได้น้ำยาเหนียว ๆ)




ตำรับยาบำรุงข้อกระดูก

                นำผลกระเจี๊ยบเขียว 3 ผล กินสดหรือต้มกับหอมแดงขนาดใหญ่ 1 หัว เพื่อบำรุงร่างกายและเพิ่มความยืดหยุ่นในกระดูก โดยเชื่อว่าเมือกในกระเจี๊ยบจะช่วยได้




ตำรับยาแก้ปวดท้อง

                ใช้รากกระเจี๊ยบเขียวฝนกับน้ำธรรมดากิน



การกินกระเจี๊ยบเขียวนอกจากจะได้ความอร่อยแล้วยังเป็นการช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย ระบบดูดซึมสารอาหาร ลดความเสี่ยงโรคแผลในกระเพาะอาหารมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ และยังช่วยลดน้ำหนักและไขมันในเลือดได้ดีอีกด้วย



ที่มา: //www.doctor.or.th/




 

Create Date : 24 มิถุนายน 2557    
Last Update : 24 มิถุนายน 2557 0:25:58 น.
Counter : 1358 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.