ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

ชี้สังคมชาวญี่ปุ่นรำคาญเสียงเด็กเพราะรู้สึกไม่คุ้นเคย




 ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลเด็กชี้ว่า การที่ญี่ปุ่นมีเด็กเกิดใหม่น้อยลง ส่งผลให้คนในสังคมเริ่มอดทนกับเสียงเด็กได้น้อยลง เพราะเป็นเสียงแปลกปลอมที่ไม่คุ้นเคยในชีวิตประจำวัน

ขณะที่ร้านสะดวกซื้อในญี่ปุ่นแข่งกันเปิดเทปเสียงเรียกลูกค้าเข้าร้าน และนักการเมืองตะโกนหาเสียงผ่านลำโพงตามสถานีรถไฟ ศูนย์รับดูแลเด็กรายวันกลับต้องติดตั้งแผ่นซับเสียงร้องกระจองอแงของเด็กเล็ก และสนามกีฬาต่างๆ ต้องจำกัดเวลาเล่นกีฬากลางแจ้งของวัยรุ่น เพื่อไม่ให้รบกวนผู้อื่น

ผู้เชี่ยวชาญด้านประชากร มหาวิทยาลัยโคนันในญี่ปุ่น ชี้ว่า มีคนร้องเรียนเรื่องรำคาญเสียงเด็กทุกวัน ยิ่งสังคมมีเด็กน้อยลง คนจะไม่คุ้นเคยกับเสียงเด็กมากขึ้น และจะกลายเป็นวงจรชั่วร้าย เพราะคู่สมรสจะไม่อยากมีลูกให้รบกวนคนอื่น ส่งผลให้มีเด็กเกิดใหม่ลดลงเรื่อยๆ คนทนเสียงเด็กไม่ได้มากขึ้นเรื่อยๆ ด้านนายกเทศบาลเขตเซะตะงะยะ ในกรุงโตเกียว เผยว่า โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งถูกเพื่อนบ้านร้องเรียนเรื่องเด็กส่งเสียงดังขณะซ้อมวิ่ง ทำให้เด็กต้องซ้อมแบบไม่มีเสียง คนเหล่านี้ไม่ตระหนักเลยว่า เด็กๆ คือคนที่จะทำงานแล้วจ่ายภาษีให้รัฐ เพื่อเป็นเงินบำนาญให้พวกเขาไว้ใช้ยามชรา

ญี่ปุ่นมีประชากร 128 ล้านคน 1 ใน 4 มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ขณะที่เด็กอายุไม่เกิน 14 ปี มีเพียงร้อยละ 13.2 ต่ำที่สุดในโลก และไม่ถึงครึ่งของเกณฑ์เฉลี่ยทั่วโลกที่ร้อยละ 26.8 ส่วนอัตราเด็กเกิดใหม่มีเพียง 1.39 ต่อสตรี 1 คน

นอกจากญี่ปุ่นแล้ว ไต้หวันก็มีปัญหาคนร้องเรียนเสียงเด็กเช่นกัน เพราะมีเด็กเกิดใหม่ต่ำและประชากรเข้าสู่วัยชรามากขึ้น ทางการออกระเบียบเมื่อปี 2554 อนุญาตให้ปรับผู้รบกวนความเงียบสงบของเพื่อนบ้านได้สูงสุด 15,000 ดอลลาร์ไต้หวัน (ราว 15,000 บาท)

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:"ข่าวเข้ม ฉับไว เป็นกลาง"




 

Create Date : 03 มิถุนายน 2556    
Last Update : 3 มิถุนายน 2556 7:37:48 น.
Counter : 1333 Pageviews.  

ฉลากโภชนาการ อ่านเป็น ได้ประโยชน์



ในยุคเราต้องพึ่งพาอาหารสำเร็จรูปมากขึ้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้บริโภคต้องใส่ใจกับฉลากโภชนาการที่ระบุไว้บนผลิตภัณฑ์ ซึ่งการอ่านฉลากก่อนซื้อก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เราได้รับสารอาหารตรงตามความต้องการ เนื่องจากฉลากอาหารเป็นแหล่งข้อมูลพื้นฐานที่จะบอกว่าอาหารนั้นผลิตที่ใด รวมถึงส่วนประกอบ การปรุง การเก็บรักษา วันผลิตและ/หรือหมดอายุ การใช้สารหรือวัตถุเจือปน ตลอดจนคำเตือน และการได้รับอนุญาตหรือผ่านการตรวจสอบจาก อย.หรือไม่

นอกจากนี้ ฉลากโภชนาการ ก็จำเป็นต้องอ่าน เนื่องจากเป็นส่วนที่แสดงข้อมูลโภชนาการของอาหารนั้นอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยม หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Nutrition Information” ที่ระบุรายละเอียดของชนิดและปริมาณสารอาหารที่มีในอาหารนั้นไว้ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่รักและใส่ใจสุขภาพ หรือผู้สูงวัยที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นต้น เพราะจะช่วยให้ทราบถึงชนิดและปริมาณสารอาหารที่จะได้รับจากการบริโภคอาหารนั้น ๆ ทำให้เลือกบริโภคอาหารได้ตรงตามภาวะโภชนาการของแต่ละบุคคล และสามารถนำมาเปรียบเทียบ เพื่อเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารยี่ห้อที่ให้ประโยชน์มากที่สุด

การแสดงฉลากโภชนาการ มี 2 รูปแบบ คือ 

1.ฉลากโภชนาการแบบเต็ม เป็นฉลากที่แสดงชนิดและปริมาณสารอาหารที่สำคัญที่ควรทราบ 15 รายการ (ดังภาพตัวอย่าง) สำหรับฉลากที่มีความสูงจำกัด สามารถแสดงฉลากโภชนาการเต็มรูปในลักษณะแบบแนวนอนหรือแบบขวางตามที่ประกาศกระทรวงสาธารณสุขกำหนดไว้ได้

2.ฉลากโภชนาการแบบย่อ ใช้ในกรณีที่สารอาหารตั้งแต่ 8 รายการ จากจำนวนที่กำหนดไว้ 15 รายการนั้นมีปริมาณน้อยมากจนถือว่าเป็นศูนย์ จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องแสดงให้เต็มรูปแบบฉลากโภชนาการ

สำหรับวิธีอ่านฉลากโภชนาการนั้น ขอแนะหลักง่ายๆ ดังนี้...ดู "หนึ่งหน่วยบริโภค" คือ ปริมาณการกินต่อครั้งที่ผู้ผลิต แนะนำให้ผู้บริโภคกิน ซึ่งได้มาจากค่าเฉลี่ยการกินของคนไทย หนึ่งหน่วยบริโภคจะแสดงให้เห็นทั้งปริมาณที่เป็นหน่วยครัวเรือน เช่นกระป๋อง ชิ้น ถ้วย แก้ว เป็นต้น ตามด้วยน้ำหนัก …กรัมหรือ ปริมาตร…มิลลิลิตร ในระบบเมตริก ตัวอย่างเช่น ลิ้นจี่ในน้ำเชื่อมเข้มข้น บรรจุกระป๋อง จะต้องระบุปริมาณ ที่เห็นง่าย และน้ำหนัก หรือปริมาตร ดังนี้ “หนึ่งหน่วยบริโภค : 4 ลูก (140 กรัม รวมน้ำเชื่อม)”

ดู "จำนวนหน่วยบริโภคต่อภาชนะบรรจุ" หมายถึง อาหารในบรรจุภัณฑ์นั้น กินได้กี่ครั้ง เช่น นมพร้อมดื่ม หากหนึ่งหน่วยบริโภคคือ 1 กล่อง หรือ 250 มิลลิลิตร จำนวนครั้งที่กินได้ก็คือ 1 แต่หากเป็นขวดลิตร ควรแบ่งกิน (ตามหนึ่งหน่วยบริโภคอ้างอิง) ครั้งละ 200 มิลลิลิตรซึ่งจะกินได้ถึง 5 ครั้ง

ดู "คุณค่าทางโภชนาการต่อหนึ่งหน่วยบริโภค" เป็นการอธิบายว่า เมื่อกินตามปริมาณที่ระบุในหนึ่งหน่วยบริโภคแล้ว จะได้พลังงานเท่าใด สารอาหารอะไรบ้าง ในปริมาณเท่าใดและปริมาณนี้ คิดเป็นร้อยละเท่าไรของปริมาณที่เราควรได้รับต่อวัน

และดู "ร้อยละของปริมาณที่แนะนำต่อวัน" คือ ร้อยละของปริมาณที่แนะนำต่อวัน หมายถึง ร้อยละของปริมาณสารอาหารที่มีในหนึ่งหน่วยบริโภค เมื่อเทียบกับปริมาณสารอาหารที่แนะนำต่อวัน เช่น ถ้าอาหารนี้ให้คาร์โบไฮเดรตร้อยละ 8 ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน หมายความว่าเรากินอาหารนี้ปริมาณหนึ่งหน่วยบริโภคเราจะได้รับคาร์โบไฮเดรต ร้อยละ 8 และเราต้องกินอาหารที่ให้คาร์โบไฮเดรตจากอาหารอื่นอีก ร้อยละ 92

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของการดูร้อยละของปริมาณที่แนะนำต่อวันนั้น ยังต้องเข้าใจด้วยว่า โปรตีน น้ำตาล วิตามินและเกลือแร่ จะแสดงเป็นร้อยละของปริมาณที่แนะนำต่อวันเท่านั้น เพราะโปรตีนมีหลากหลายชนิดและ คุณภาพแตกต่างกัน การระบุเป็นร้อยละจะทำให้เข้าใจผิดได้ ส่วนน้ำตาลนั้นปริมาณร้อยละเป็นส่วนหนึ่งของคาร์โบไฮเดรตทั้งหมดอยู่แล้ว ขณะที่วิตามินและเกลือแร่ ปริมาณความต้องการของร่างกายมีค่าน้อยมาก การแสดงปริมาณของวิตามินและเกลือแร่ที่มีอยู่จริงอาจทำให้ผู้บริโภคสับสนได้

อีกหลักเช็คฉลากโภชนาการ เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพ แนะเช็ค 4 อย่าง เช็คที่ 1 เช็คว่าปริมาณพลังงานต่อ 1 หน่วยบริโภคเท่าไหร่ เช็คที่ 2 เช็คปริมาณไขมันและไขมันอิ่มตัวมีเท่าไหร่ ในหนึ่งวันเราควรได้รับไขมันอิ่มตัวไม่เกิน 20 กรัมต่อวัน เพราะไขมันอิ่มตัวเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้คอเรสตอรอลในร่างกายสูงขึ้นและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ

เช็คที่ 3 เช็คว่ามีปริมาณน้ำตาลเท่าไหร่ แต่ละวันเราควรบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 24 กรัม หรือประมาณ 6 ช้อนชา น้ำตาลที่ได้รับเกินกว่าที่ต้องการ จะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมทำให้เป็นโรคอ้วน และส่งผลให้เกิดโรคอื่นๆ ตามมา  และเช็คที่ 4เช็คปริมาณเกลือ(โซเดียม)เท่าไหร่ ในหนึ่งวัน เราควรได้รับโซเดียมไม่เกิน 2,300 มิลลิกรัม การได้เกินจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคไตและความดันโลหิตสูง

ครั้งต่อไป อย่าลืมสละเวลาอ่านฉลากโภชนาการกันสักหน่อยนะคะ เราจะได้กินให้เหมาะสม พอดี และมีสุขภาพดีกันค่ะ.



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์




 

Create Date : 02 มิถุนายน 2556    
Last Update : 2 มิถุนายน 2556 10:50:28 น.
Counter : 1644 Pageviews.  

"สะพานซิดนีย์ฮาร์เบอร์" ของออสเตรเลียเตรียมปรับปรุงทาสีใหม่ครั้งแรกในรอบ 81 ปี



สะพานซิดนีย์ฮาร์เบอร์ในนครซิดนีย์ของออสเตรเลียเตรียมปรุงทาสีใหม่ครั้งแรกในรอบ 81 ปี หรือตั้งแต่ปี 1932 โดยรัฐบาลของรัฐนิว เซาท์ เวล เปิดเผยว่า ทางการจะใช้เวลาทาสีดังกล่าวประมาณ 2 ปี


นายดันแคน เกย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมออสเตรเลียเปิดเผยว่า สะพานได้ผ่านการใช้งานมาหลายทศวรรษแล้วมีทั้งสนิม และถูกกัดกร่อน ดังนั้นจำเป็นที่ต้องมีการทาสีใหม่ โดยสีใหม่ของสะพานนั้นจะเรียกว่า ฮาร์เบอร์ บริดซ์เกย์ ซึ่งคาดจะสามารถอยู่ได้นาน 30 ปี

นอกจานี้ นายเกย์ ยังกล่าวอีกว่า ต้องการให้สภาพของสะพานใหม่ และเป็นจุดเด่นสำหรับนักท่องเที่ยวหลายพันคนจากทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มาชมอบู่เสมอ เหมือกับกับรู้สึกว่ามีการจัดกิจกรรมงานแสดงไฟประจำปี หรืองานจุดพลุในเทศกาลปีใหม่

สำหรับสะพานซิดนีย์ฮาร์เบอร์ เป็นหนึ่งในหลายสะพานที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลก ซึ่งขนาดของมันใหญ่เท่ากับสนามบอล 80 สนาม และยังเป็นสะพานเชื่อมพื้นที่ทางตอนเหนือ และทางตอนกลางของ เมืองอีกด้วย

ทั้งนี้ คาดว่าการปรับปรุงทาสีสะพานนั้นจะใช้คนประมาณ 50 คน และใช้งบประมาณ 19.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณเกือบ 600 ล้านบาท

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์มติชน




 

Create Date : 01 มิถุนายน 2556    
Last Update : 1 มิถุนายน 2556 11:13:07 น.
Counter : 1525 Pageviews.  

สาเหตุที่มนุษย์เดินสองขา



มีผู้เสนอทฤษฎีใหม่ว่าเหตุที่มนุษย์ต้องเดินสองขานั้นเนื่องมาจากภูมิประเทศบริเวณแอฟริกาตะวันออกและตอนใต้เป็นหินขรุขระ ไม่ราบเรียบ จนต้องปรับตัวให้เดินหลังตรง เพื่อเหมาะแก่การหาอาหารและสร้างกำบัง ขัดแย้งกับทฤษฎีทั่วไปที่ว่าบรรพบุรุษของเราต้องลงจากต้นไม้ เพราะภาวะโลกร้อนจนต้นไม้ไร้พืชผลและไร้ร่มใบ

นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยยอร์ก สหราชอาณาจักร ร่วมกับ Institut de Physique du Globe in Paris ฝรั่งเศส เชื่อว่าการเดินสองขาหลังตรงของมนุษย์ในปัจจุบันนั้นเกิดขึ้นครั้งแรกบนภูมิประเทศขรุขระแถบแอฟริกาตะวันออกและตอนใต้ ในมหายุคไพโลซีน ที่ภูเขาไฟและการบีบอัดของแผ่นเปลือกโลก ทำให้รูปร่างของผืนดินมีลักษณะไม่ราบเรียบ
มนุษย์โฮมินินส์ ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ในยุคแรก อาจมองว่าภูมิประเทศแบบหินยื่นและแบบช่องเขาสามารถมอบโอกาสในการดักจับเหยื่อและอยู่อาศัยได้ และลักษณะผืนโลกแบบนั้นทำให้ต้องเดินขึ้น เดินลง และปืนหินสูงอยู่อย่างสม่ำเสมอ ก่อให้เกิดการเดินสองขาในที่สุด

ผลการศึกษาดังกล่าวนี้ได้ท้าทายทฤษฎีวิวัฒนาการของมนุษย์แบบเก่าที่ว่า บรรพบุรุษยุคแรกของมนุษย์ได้ถูกบีบให้ลงจากต้นไม้เพื่อเดินสองขาด้วยสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่ทำให้ต้นไม้ไร้ผลและมีร่มใบลดลง

ดร.อิสซาเบล วินเดอร์ จากคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยยอร์ก เขียนในรายงานว่า งานวิจัยของทีมแสดงให้เห็นว่าการเดินสองขาของมนุษย์อาจเป็นการพัฒนาจากการตอบสนองต่อสภาพภูมิประเทศ มากกว่าที่จะมาจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านพืชผักที่ขับโดยสภาพอากาศ

“ภูมิประเทศที่ขรุขระ หักพัง ทำให้โฮมินินส์ได้ประโยชน์ทางด้านความปลอดภัยและอาหาร นอกจากนี้ยังนำไปสู่การพัฒนาของทักษะการเคลื่อนไหวด้วยการปีน พยุงตัว สร้างสมดุล และเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วบนพื้นดินที่ไม่ราบเรียบ ซึ่งการเคลื่อนไหวลักษณะเหล่านี้ได้พัฒนาไปสู่การเดินหลังตรงในที่สุด” ดร.วินเดอร์กล่าว

งานวิจัยชิ้นนี้ยังบอกอีกว่า เมื่อเดินหลังตรงก็ทำให้มือและแขนของโฮมินินส์เป็นอิสระมากขึ้น นำไปสู่การพัฒนาความคล่องแคล่วและใช้เครื่องมืออย่างชำนาญ อันสนับสนุนวิวัฒนาการขั้นสำคัญในเวลาต่อมา นอกจากนี้ การเดินทางในระยะใกล้ๆ บนพื้นที่ราบเพื่อหาอาหารและอาณาบริเวณสำหรับอยู่อาศัยส่งผลให้มีการพัฒนาในการวิ่ง ทำให้มีการปรับเปลี่ยนของลักษณะกระดูกและเท้า

“ลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลายทำให้มนุษย์พัฒนาทักษะและกระบวนการคิด การรับรู้ อาทิ การนำทาง การสื่อสาร นำไปสู่วิวัฒนาการของสมองและการทำหน้าที่ทางสังคม เช่น การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และการทำงานเป็นทีม” ดร.วินเดอร์เขียนในรายงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร Antiquity ชื่อเรื่อง Complex Topography and Human Evolution : the Missing Link.


ขอบคุณ : thaipost




 

Create Date : 31 พฤษภาคม 2556    
Last Update : 31 พฤษภาคม 2556 7:02:41 น.
Counter : 1853 Pageviews.  

เพื่อสุขภาพดี ควรหลีกเลี่ยงรองเท้าแตะ


เชื่อเลยว่าสาวๆ ยังไงก็ต้องมี "รองเท้าแตะ" กันอย่างน้อยคนละ 1 คู่ เพราะว่าเป็นไอเทมที่ใส่ง่าย ใส่สบาย ไม่ทำให้เท้าอึดอัด แต่บางคนก็สวมรองเท้าแตะแฟชั่นไปเรียน หรือบางคนสวมใส่รองเท้าแตะฟองน้ำไปไหนมาไหนเป็นประจำ รู้กันรึเปล่าว่า! เจ้ารองเท้าแตะนี้เป็นเหมือนดาบสองคม ความคิดที่ว่า รองเท้าแตะ มันสวมง่ายใส่สบายอาจจะไม่ถูกซะทีเดียว เพราะการสวมใส่รองเท้าแตะเป็นประจำ และใส่ติดต่อกันยาวนานเกินไปก็สามารถเกิดโทษได้

พื้นรองเท้าแตะมักจะแบนราบ ซึ่งไม่เข้ากับสรีระตามธรรมชาติของฝ่าเท้า มันจึงไม่สามารถรองรับฝ่าเท้าได้ดีเพียงพอ ทั้งวัสดุส่วนใหญ่ที่ใช้ยังทำมาจากยางที่ไม่เอื้อให้เกิดความรู้สึกสบายเท้ามากนัก จึงส่งผลให้เกิดอาการปวดฝ่าเท้า และส้นเท้าตามมาได้ และเมื่อเกิดแรงกดมากที่ฝ่าเท้าและส้นเท้า นอกจากทำให้ปวดฝ่าเท้าและรู้สึกร้าวที่ส้นแล้ว ยังทำให้เกิดอาการปวดน่องได้ด้วย และเมื่อทำติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็ก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บของข้อเท้าและสะโพกได้ นอกจากนี้ยังอาจประสบปัญหาปวดหลังอีกด้วย

อันที่จริงเราไม่ได้ห้าม แค่จะบอกว่า ถ้าเป็นคนชอบใส่รองเท้าแตะตลอดเวลา ก็ควรเลือกรองเท้าที่ส้นไม่บาง ไม่นิ่มหรือแข็งเกินไป มีพื้นรองเท้าที่นูนกระชับเข้ากับสรีระของฝ่าเท้าเพื่อรับแรงกดของฝ่าเท้าได้ดี และก็ควรจะหมั่นดูแลเท้าให้มากขึ้น อย่างเช่น แช่เท้าในน้ำเกลืออุ่นๆ การทาโลชั่น การสครับช่วยขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพออก เป็นการช่วยทำความสะอาดฆ่าเชื้่อโรคที่หมักหมมออกให้หมดจด



//variety.teenee.com/foodforbrain/53018.html




 

Create Date : 30 พฤษภาคม 2556    
Last Update : 30 พฤษภาคม 2556 7:32:00 น.
Counter : 2111 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.