ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

ดื่ม "นม" เพิ่มพลังสมอง

ปฏิเสธไม่ได้ว่า "นมสด" เป็นอาหารที่มีประโยชน์และอุดมไปด้วยแร่ธาตุและสารอาหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่ร่างกายของเราควรจะได้รับ บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้เผยคุณค่าของนมหนึ่งแก้วว่าแน่นไปด้วยคุณค่าถึง 55 ประการ

นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งเมน ร่วมกับนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งเซาท์ออสเตรเลีย ได้ทำการศึกษาวิจัย โดยทดลองกับกลุ่มตัวอย่างชายหญิงอายุตั้งแต่ 23 ถึง 98 ปี จำนวน 972 คน จากการให้กลุ่มตัวอย่างดื่มนมอย่างน้อยวันละหนึ่งแก้วแล้วทดสอบ พบว่า คนที่ดื่มนมจะทำคะแนนได้ดีกว่ากลุ่มตัวอย่างที่ดื่มนมน้อยหรือไม่ดื่มนมเลย เพราะสารอาหารสำคัญในนมอย่างเช่น แมกนีเซียม สามารถลดอาการเสื่อมของความทรงจำ และมีความเป็นไปได้ว่า ผลิตภัณฑ์จากนมจะช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับหัวใจ และความดันเลือด ทั้งยังช่วยให้สมองมีสุขภาพแข็งแรงอีกด้วย จึงควรดื่มนมตอนเช้าหนึ่งแก้ว และตอนเย็นหนึ่งแก้ว เพื่อเพิ่มพลังสมองให้กับตัวเอง

มาดื่มนมกันเถอะ

หน้า 18,มติชนรายวัน ฉบับวันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม 2556




 

Create Date : 06 สิงหาคม 2556    
Last Update : 6 สิงหาคม 2556 7:41:13 น.
Counter : 1746 Pageviews.  

งานอาร์ตหลอนๆ วาดเงาใน ร.พ. จิตเวชที่ถูกทิ้งร้าง

 อาร์ตหลอน,วาดเงา,จิตเวช,ทิ้งร้าง















//webboard.sanook.com/forum/?topic=3748517




 

Create Date : 05 สิงหาคม 2556    
Last Update : 5 สิงหาคม 2556 7:54:32 น.
Counter : 1599 Pageviews.  

"ไม่ปวด" ถ้ารู้จักใช้ร่างกาย



หนุ่มสาวออฟฟิศที่นั่งโต๊ะทำงานวันละ 8 ชั่วโมง วุ่นวายอยู่กับเอกสารกองโตหรือคร่ำเคร่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ส่วนใหญ่ล้วนถูกความอ่อนเพลียและเมื่อยล้าคุกคาม และหากคุณถูกความปวดเล่นงานแล้ว เรามีวิธีรับมือง่ายแต่ได้ผลมหาศาลมาบอก

    ความอ่อนล้าและอาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและร่างกาย เป็นเรื่องธรรมดาของคนทำงานก็จริง แต่อาการปวดหลังปวดบ่าชนิดเรื้อรัง นั้นจำเป็นที่หนุ่มสาวออฟฟิศต้องหันมาเอาใจใส่กันอย่างจริงจังมากขึ้น

    เกี่ยวกับเรื่องนี้ โรงพยาบาลเวชธานี เผยว่าคนทำงานที่มีช่วงอายุ 25-45 ปี มักประสบปัญหาอาหารปวดบ่าและปวดหลัง ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการนั่งที่ผิดวิธี เช่น นั่งหลังงอ หรือนั่งไขว้ห้าง ซึ่งน้ำหนักจะเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งจนทำให้กระดูกสันหลังคดการทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์หรือพิมพ์งานนานๆ กล้ามเนื้อบริเวณไหล่และคอจะเกร็ง จึงปวดเมื่อยบริเวณบ่าและคอ หากสะสมนานๆ อาจกลายเป็นโรคหลังเรื้อรังได้ ในบางรายที่มีอาการศรีษะตามมา เนื่องจากกล้ามเนื้อที่หดตัวนั้นไปกดทับเส้นเลือด ทำให้เลือดมาเลี้ยงสมองไม่เพียงพอเพิ่มมากขึ้น

    โดยผู้หญิงที่ยืนหรือเดินบนรองเท้าส้นสูงนานๆ เป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอาการปวดกล้ามเนื้อตั้งแต่บริเวณน่อง ไล่มาทั้งขา สะโพก เอว จนทำให้กระดูกสันหลังช่วงเอวแอ่นตัวไปข้างหน้า กล้ามเนื้อหน้าท้องอ่อนกำลัง ไขมันจึงสะสมได้ง่าย หากกล้ามเนื้อไม่ได้ออกกำลัง อาจทำให้หมอนรองกระดูกที่เคลื่อนไปตามการแอ่นของกระดูกสันหลัง มากดทับเส้นประสาทขา จนกลายเป็นอัมพาตช่วงขาในที่สุด

    เพราะฉะนั้น เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงต่อการเกิดอาการปวดบ่าและหลังผู้เชี่ยวชาญแนะว่า เราสามารถเริ่มฝึกด้วยตัวเองง่ายๆ ให้รู้จักใช้ร่างกายอย่างถูกวิธีนั่นคือ นั่งตัวตรงถ่ายเทน้ำหนักไปที่ก้นทั้งสองข้างเท่าๆ กัน แนวขาทำมุม 90 องศากับแนวสะโพไก เพื่อกระจายแรงที่จะไปกดทับกระดูกสันหลัง ควรเปลี่ยนท่าทางอิริยาบถ จากนั่งเป็นยืนหรือเดินเสียบ้าง เพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัว เปิดการไหลเวียนของเลือดได้ จากนั้นจึงหมุนคอและบิดลำตัวอย่างช้าๆ เพื่อให้มัดกล้ามเนื้อทุกเส้นใยได้ออกแรงซึ่งการทำอย่างช้าๆ เพื่อป้องกันไม่ให้กระทบกระเทือนต่อข้อกระดูกที่อาจเคลื่อนตัว และส่งผลถึงเส้นประสาทและการทำงานงของร่างกาย

    พร้อมกับการฝึกการหายใจเข้า-ออกในลักษณะแขม่วท้อง เพื่อให้แรงดันจากกล้ามเนื้อช่วยปรับกระดูกสันหลังช่วงเอวให้เข้าที่ ช่วยให้ช่วงช่วงอกยืดตัว หลังจะได้ไม่ค่อมส่วนปัญญาการปวดบ่าและหลังที่เกิดขึ้นกับร่างกายเป็นประจำทุกวัน อาจทำให้บางคนเกิดความเคยชินและมองว่าอาการดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบร้ายแรงมากมาย แต่ในความจริงแล้วอาการปวดเรื้อรัง ก่อทั้งความรำคาญและทำลายความสุขในการใช้ชีวิต หรืออาจถึงขั้นทำให้โครงสร้างร่างกายเสียสมดุล ส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานต่างๆ กล้ามเนื้ออ่อนล้าและร่างกายอ่อนแรงในที่สุด

สำหรับหนุ่มสาวทำงานที่ยังมีอาการปวดไม่รุนแรง หากใส่ใจดูแลรักษาตั้งแต่เริ่มต้นด้วยตัวเอง จะสามารถป้องกันการการปวดเรื้อรังได้ แต่บางรายที่มีอาการปวดเข้าชั้นเรื้อรังจนไม่สามารถออกกำลังหรือดูแลรักษาได้ด้วยตัวเอง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับคำแนะนำจากนักกายภาพบำบัด และแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกและข้อจะดีที่สุด

แหล่งที่มา : //www.vcharkarn.com/varticle/43719




 

Create Date : 03 สิงหาคม 2556    
Last Update : 3 สิงหาคม 2556 10:26:02 น.
Counter : 1055 Pageviews.  

ไม้ที่ไม่นิยมปลูกในบ้าน



โศก โบราณว่าหมายถึงความโศกเศร้า
มะเฟือง ท่านว่าไม่ดี คนมีวิชาอาคม หรือถูกลงยันต์ห้ามลอดกิ่งมะเฟือง
มะรุม ผู้คนจะมารุมข่มเหงเอา
ตะเคียน เป็นไม้ยืนต้นที่เชื่อกันว่า มีผีนางไม้สิงอยู่
ชวนชม เป็นไม้ประดับสวยงาม ที่มีความหมายในทางชักชวนให้เชยชม บ้านที่มีลูกสาวจะไม่ยอมปลูกต้นไม้ชนิดนี้เด็ดขาด
เต่าร้าง ชื่อออกไปในทางหย่าร้าง
นางแย้มป่า คนโบราณเชื่อว่าเป็นต้นไม้ผีสิง วันดีคืนดีจะกลายเป็นผีเอาก้อนอิฐขว้างปาบ้าน
ชบา ในอินเดียตอนใต้ ใช้ดอกชบา ร้อยเป็นพวงมาลัย สวมคอนักโทษที่กำลังจะถูกประหารชีวิตจึงเชื่อว่าเป็นดอกไม้อัปมงคล
มะกอก เชื่อว่าจะทำให้เจ้าของบ้านกลายเป็นคนกลับกลอก เชื่อถือไม่ได้
รักเร่ ใครปลูกจะเป็นคนหลายใจ เร่ขายรัก
ต้นสน เชื่อว่าถ้าปลูกแล้วจะขัดสนไปตลอดชีวิต
พุดตาน เนื่องจากดอกพุดตานเปลี่ยนสีได้ตลอดวัน จากขาวเป็นชมพูอ่อน และเข้มขึ้นในตอนบ่าย ทำให้เจ้าของเป็นคนสับปลับ

                   จะเห็นได้ว่าทั้งหมดทั้งสิ้น ล้วนแต่เป็นเรื่องของความเชื่อ เนื่องมาจากชื่อของต้นไม้มีความหมายไปในทางไม่ดี ยกเว้นต้นไม้บางชนิด เช่น ต้นโพธิ์ ไม่ควรปลูกในบ้าน เพราะเป็นต้นไม้ใหญ่ มีการเจริญเติบโตค่อนข้างเร็ว จึงควรปลูกไว้ในวัด หรือในเขตธรณีสงฆ์เท่านั้น บางท่านก็อธิบายต่อไปว่าเนื่องจาก ต้นโพธิ์ เป็นต้นไม้ที่เกี่ยวข้องกับพุทธประวัติ เช่น พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ คนทั่วไปเลยถือว่า ไม่ควรนำมาปลูกในบ้านเพราะ รุกขเทวดาที่สถิตอยู่ จะแรงกว่าปกติ
ที่มา “จันคำ” เขียนไว้ในเรื่อง “ต้นไม้.. ความเชื่อ” ในนิตยสารสมุนไพรเพื่อสุขภาพ ปีที่ 2 ฉบับที่ 4 เดือนกรกฎาคม 2545




 

Create Date : 02 สิงหาคม 2556    
Last Update : 2 สิงหาคม 2556 7:23:02 น.
Counter : 1181 Pageviews.  

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับวิตามินซี






        เมื่อพูดถึงวิตามินซี  หลายคนคงนึกถึงผลไม้รสเปรี้ยว อย่างเช่น  ส้ม มะนาว ฝรั่ง มะขามหวาน  มะขามป้อมและอีกมากมาย ขอเพียงแต่เป็นผักผลไม้สดๆ  เป็นใช้ได้  หรือบางคนอาจนึกถึงยาเม็ดสีส้ม สีเหลือง ที่มีรสชาติออกเปรี้ยวๆ หวานๆ ไว้กินเวลามีเลือดออกตามไรฟัน ในความเป็นจริงแล้ววิตามินซีมีประโยชน์มากมายกว่านั้น 

          วิตามินซี  มีประวัติการค้นพบตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 มีการสังเกตว่าทหารเรือออกเดินเรือเป็นระยะเวลานานๆ ไม่ได้รับประทานผักและผลไม้สด จึงมักป่วยเป็นโรคลักปิดลักเปิด และสุขภาพไม่ค่อยดี แต่ก็มีคนสังเกตเห็นว่าไม่พบอาการดังกล่าวในทหารเรือที่รับประทานมะนาวเป็นประจำ ต่อมาจึงได้หาสารอาหารที่เป็นต้นเหตุได้ คือ กรดแอสคอร์บิก (Ascorbicacid) หรือวิตามินซีนั่นเอง

          ประโยชน์ของวิตามินซีมีมากมาย นอกเหนือจากที่จะช่วยบรรเทาอาการของโรคหวัดทำให้หายเร็วขึ้นถึง 21% คือ

          วิตามินซีช่วยปกป้องเซลล์ เสริมภูมิคุ้มกันสุขภาพและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับเส้นเอ็นและคอลลาเจน

          วิตามินซีช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น เนื่องจากช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมและรักษาตัวเอง โดยการไปเสริมสร้างผนังเซลล์ ทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรงและต่อต้านการอักเสบ จึงทำให้แผลหายเร็ว

          วิตามินซีช่วยให้เหงือกมีสุขภาพแข็งแรง โดยจะไปช่วยรักษาเซลล์ที่ถูกทำลาย และช่วยให้แผลที่เหงือกหายเร็ว

          วิตามินซีช่วยเพิ่มความต้านทานต่อโรคหัวใจ  โดยการไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานร่วมกับวิตามินอี โดยจะไปลดการเกาะของไขมันที่ผนังหลอดเลือด

          วิตามินซีช่วยในการป้องกันโรคต้อกระจก  เนื่องจากวิตามินซีสามารถช่วยปกป้องเลนส์ตาจากอันตรายต่างๆ  เช่น  ควันบุหรี่ แสงอัลตราไวโอเลต ที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคต้อกระจก

          วิตามินซีช่วยป้องกันไมเกรน  เมื่อรับประทานร่วมกับ Pantothenic acid โดยวิตามินซีจะไปช่วยร่างกายในการต่อสู้กับความเครียดได้ดีขึ้น

          วิตามินซีช่วยลดความเครียด และยังเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนกรดอะมิโนให้กลายเป็นสารในสมอง ซึ่งมีความจำเป็นต่อสมองและหน้าที่ของระบบประสาทด้วย

          วิตามินซีช่วยเพิ่มความแข็งแรงของภูมิต้านทานโรค โดยเฉพาะประสิทธิภาพของเม็ดเลือดขาว

          การรับประทานวิตามินซี  ภาวะปรกติปริมาณที่แนะนำให้ทานคือ  60 มิลลิกรัมต่อวัน อย่างไรก็ตาม เพื่อสุขภาพที่ดีจะต้องรับประทานอย่างน้อย  100-200 มิลลิกรัมต่อวัน คนที่มีความเครียดควรรับประทานวันละ 500 มิลลิกรัมต่อวัน ผู้ที่นิยมรับประทานวิตามินซีไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับในปริมาณที่มากเกินไป เพราะสามารถละลายในน้ำได้ดี หากร่างกายไม่ได้ใช้ก็จะมีการขับออกมาได้ทางปัสสาวะ อีกทั้งยังไม่มีการรายงานเกี่ยวกับพิษที่เกิดจากการรับประทานวิตามินซี แม้รับประทานในปริมาณที่สูงกว่า 6,000-18,000 มิลลิกรัม

          แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก็ยังมีข้อพึงระวังในการรับประทานวิตามินซี  การรับประทานในปริมาณสูงๆ  อาจจะมีผลต่อการดูดซับแร่ธาตอื่นๆ  เช่น Copper Selenium อาจมีผลต่อความผิดพลาดของผลการตรวจระดับน้ำตาลในปัสสาวะได้ วิตามินซีทำให้การดูดซึมแร่ธาตุเหล็กได้ดี จึงอาจจะเกิดภาวะได้รับแร่ธาตุเหล็กเกิน.

ข้อมูล:นพ.ครรชิต อมาตยกุล
ที่มา //www.thaipost.net/index.asp?bk=xcite&iDate=13/Jan/2552&news_id=167944&cat_id=200100





 

Create Date : 01 สิงหาคม 2556    
Last Update : 1 สิงหาคม 2556 7:43:31 น.
Counter : 3884 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.