ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

พระวินัยห้ามไม่ให้สงฆ์ประจบพระราชา

วันหนึ่งมีข่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรโครงการอ่างเก็บน้ำบ้านนาต้อง ซึ่งอยู่ใกล้กับภูทอก และจะเสด็จมาที่ภูทอกด้วย ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ จึงเตรียมจะเลี่ยง แต่เมื่อทุกคนยืนยันว่าไม่ถูกต้อง

...ท่านก็เรียกผู้เขียน (คุณหญิงสุรีพันธ์ มณีวัต) ไปปรึกษาว่าจะทำอย่างไร ท่านเป็นพระป่าไม่เคยรับเสด็จเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ไม่รู้จักราชาศัพท์เกรงว่าจะผิดพลาด

...ใกล้จะถึงกำหนด ทราบว่าทางการขอนิมนต์ให้ท่านไปนั่งในปะรำรับเสด็จ เพราะจะไม่เสด็จที่วัด ท่านอาจารย์บ่นว่า เอ เขาจะให้ไปทำอะไร เขาจะว่าเป็นพระไปประจบพระราชา...

“พระเจ้าอยู่หัวท่านไม่ทราบเรื่อง ถ้าเสด็จมา ผ่านไป ไม่ทราบว่าพระอะไรมานั่งทำไม อาตมาก็เสีย พระวินัยมีไม่ให้ประจบพระราชา ท่านก็จะเสีย ว่าไม่เคารพพระ ไม่ดีด้วยกันทั้งนั้น”

ท่านรองผู้ว่าฯ กราบเรียนชี้แจงว่าที่ไม่ได้เสด็จที่วัดนั้น เพราะเวลามีจำกัด จะต้องเสด็จไปเรื่องโครงการชลประทานถึง ๒ ตำบล ทางการจึงนิมนต์ให้ท่านอาจารย์ไปที่ประรำรับเสด็จ เรื่องที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะไม่ทรงทราบเรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้

เพราะทางกรุงเทพฯ แจ้งมาว่า มีพระราชประสงค์จะทรงกราบนมัสการท่านอาจารย์จวน นี่เมื่อครู่นี้ก็มีวิทยุมา ผมเพิ่งรับข่าวรับสั่งถามเรื่องเครื่องไทยทาน ที่จะถวายพระอาจารย์เรียบร้อยไหม ถ้าท่านไม่ออกไปพวกผมตายแน่

เมื่อทราบความแน่นอนว่าจะไม่ผิดพระวินัยแล้ว ท่านก็รับว่าจะไปอยู่ในประรำ แต่ก็เกิดปัญหาใหม่ขึ้น ซึ่งทำให้ทุกคนในที่นั้นอดอุทานไม่ได้ ผู้เขียนนั้นต้องร้องอีกครั้งหนึ่ง “โธ่ ท่านอาจารย์ !”

ปัญหาของท่านคือ ถ้าเสด็จมาจะรู้ได้อย่างไรว่าคนไหนคือในหลวง...!

ท่านยิ้มอายๆ เมื่อเห็นทุกคนหัวเราะขึ้นพร้อมๆ กัน

“ก็ไม่ทราบจริงๆ”

เป็นอันตกลงว่าเวลาเสด็จพระราชดำเนิน ท่านรองผู้ว่าจะต้องคอยอยู่ใกล้ชิดท่านอาจารย์ เพื่อคอยบอกให้ท่านทราบ คงไม่มีปัญหา แต่ปัญหาก็ยังคงมีจนได้...!

กล่าวคือ เมื่อเสด็จพระราชดำเนินมาถึงปะรำ พวกเราที่เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่ไม่ไกลนัก เห็นถนัดว่าท่านอาจารย์มีการสะดุ้ง เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกราบท่าน ทรงคุกพระชานุ มีพระราชปฏิสันถารกับท่านอาจารย์เป็นเวลานาน และตลอดเวลาท่านอาจารย์ก็กราบทูลอย่างยิ้มแย้ม ไม่ติดขัด จริงแท้ ราชาศัพท์ไม่มีความจำเป็นเลย

ต่อเมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับแล้ว เราจึงทราบสาเหตุของอาการสะดุ้งของท่าน เพราะท่านต่อว่าท่านรองผู้ว่าฯ

“ไหนว่าจะคอยบอกว่าคนไหนเป็นในหลวงไง เราเกือบแย่เลย”

คราวนี้ทุกคนหัวเราะกันครืนใหญ่

ได้ความว่า เวลาขบวนเสด็จใกล้จะมาถึงปะรำ ท่านก็ถามท่านรองผู้ว่าฯ ซ้ำอีก ท่านรองผู้ว่าฯ อธิบายว่า คนแรกนั้นแหละในหลวง ไม่มีใครกล้าเดินก่อนหน้าในหลวงหรอก และที่จะสังเกตได้อีกประการหนึ่ง คือท่านจะทรงถือวิทยุในพระหัตถ์ด้วย ท่านอาจารย์ก็เชื่อ คอยรออยู่ เหตุนี้เมื่อ พล.ต.อ.วสิษฐ์ เดชกุญชร เดินนำมาในฐานะที่เป็นตำรวจประจำพระราชสำนักขณะนั้น ก็ต้องนำเสด็จเป็นปกติ เดินมาเป็นคนแรก แถมในมือถือวิทยุ...! ตรงตามข้อสรุปแนะของท่านรองผู้ว่าฯ พอดี 

ท่านอาจารย์จึงสงสัยเมื่อเห็นคุณวสิษฐ์เดินเลยผ่านท่านไป ซึ่งก็เป็นธรรมดาของท่านผู้มีหน้าที่ถวายอารักขาจะนำเสด็จ และไปหยุดรอข้างหน้า ส่วนท่านอาจารย์ก็คิดรำพึงว่า “เอ...ทำไมในหลวงเสด็จผ่านเลยไป...”

ดังนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จมาประทับเบื้องหน้าท่าน ทรงกราบนมัสการใกล้จนแทบจะถูกตักท่านอาจารย์ ซึ่งกำลังมองตามคุณวสิษฐ์ จึงสะดุ้งอย่างไม่คาดคิด ท่านยิ้มอย่างเขิน เมื่ออธิบายว่า “คิดว่าท่านจะแต่งเครื่องแบบ”

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงฉลองพระองค์แบบเสื้อเบลเซอร์ ในขณะที่คุณวสิษฐ์แต่งเครื่องแบบ

เป็นเรื่องขบขันที่เราแอบนำมาเล่ากันอยู่นานทีเดียว แต่ความจริงลึกๆ ลงไปในใจ เราก็อดคิดไม่ได้ว่า นี่แหละ...พระป่า ท่านอยู่แต่ในป่าในเขา...ไม่สนใจเรื่องภายนอกกันจริงๆ

หลังจากเสด็จพระราชดำเนินครั้งนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สำนักพระราชวังมีฏีกานิมนต์ให้ท่านอาจารย์ไปในงานพิธีโอกาสต่างๆ อยู่เป็นปกติ

รูปภาพ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมนมัสการพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ 
วาระแรก เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๒๐

พระคุณเจ้าที่นั่งถัดจากพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ
คือ พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่ทองพูล สิริกาโม)
วัดสามัคคีอุปถัมภ์ (วัดภูกระแต) ต.วิศิษฐ์ อ.เมือง จ.บึงกาฬ

ช่วยกันแชร์เป็นธรรมทานนะครับ




 

Create Date : 05 มิถุนายน 2557    
Last Update : 5 มิถุนายน 2557 8:42:07 น.
Counter : 942 Pageviews.  

การอัญเชิญพระมหามงกุฎ สามพระจอมเกล้าฯ

การอัญเชิญพระมหามงกุฎและฉัตรปริวาร ของทั้งสามพระจอมเกล้าฯ

     สามพระจอมเกล้าฯ จะประกอบไปด้วย 1.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี KMUTT, 2.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ KMUTNB, 3.สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง KMITL

พระนาม  “พระจอมเกล้า” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้มีพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระบรมราชลัญจกร  “พระมหาพิชัยมงกุฎ” ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ เป็นตราสัญลักษณ์ประจำสถาบันฯ ทั้งสามสถาบัน ซึ่งมีนามภาษาอังกฤษว่า   “ King Mongkut's Institute of Technology ”

      การอัญเชิญพระมหามงกุฎและฉัตรปริวาร ของทั้งสามพระจอมเกล้าฯ จะมีในงานพิธีสำคัญต่างๆ อาทิ พิธีพระราชทานปริญญาบัตร,งานฟุตบอลประเพณีและกีฬาประเพณีสามพระจอมเกล้าฯ,พิธีผูกไทด์ติดเข็มพระมหาภิชัยมงกุฏ/พิธีประดับเนคไทด์และเข็มพระมหามงกุฏ,และงานพิธีสำคัญต่างๆอันสมควรอัญเชิญพระมหามงกุฎและฉัตรปริวาร เป็นต้น พิธีการของทั้งสามสถาบันจะมีการจัดงานพิธีได้ยิ่งใหญ่แค่ไหนต้องลองมาดูกัน

1.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี

2.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ

3.สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

ถ้าหากข้อมูลผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ ด้วย

เนื้อหาโดย: kingpower




 

Create Date : 05 มิถุนายน 2557    
Last Update : 5 มิถุนายน 2557 8:38:43 น.
Counter : 3580 Pageviews.  

พบดาวเคราะห์จำพวกใหม่ เปรียบเป็น 'ก็อดซิลลา'

พบดาวเคราะห์ 'ก็อดซิลลา'

นักวิทยาศาสตร์จัดดาวเคราะห์ยักษ์เข้าจำพวกใหม่ เปรียบเป็น 'ก็อดซิลลา' เมื่อเทียบกับโลกของเรา ชี้เป็นการค้นพบที่เปลี่ยนความเข้าใจเกี่ยวกับกำเนิดของจักรวาล

เซเวียร์ ดูมัสเกอ แห่งสถาบันฟิสิกดาราศาสตร์ฮาร์วาร์ด-สมิธโซเนียน บอกกับที่ประชุมของสมาคมนักดาราศาสตร์อเมริกัน ในเมืองบอสตัน ว่า กล้องโทรทรรศน์อวกาศเคปเลอร์ตรวจพบดาวเคราะห์บริวารดวงหนึ่งของดาวฤกษ์เคปเลอร์-10

ดาวเคราะห์ดวงนี้ ถูกตั้งชื่อว่า เคปเลอร์-10ซี มีพื้นผิวเป็นหินแข็งคล้ายโลก แต่มีมวลมากกว่าโลก 17 เท่า และมีขนาดใหญ่กว่าโลก 2.3 เท่า

ที่ผ่านมา นักดาราศาสตร์ไม่คาดคิดว่าดาวเคราะห์ที่มีเนื้อเป็นหินจะมีดวงโตถึงขนาดนี้ได้ เพราะดาวเคราะห์ที่มีเส้นรอบวงขนาดนั้นน่าจะสั่งสมก๊าซไฮโดรเจนจนกลายเป็นดาวเคราะห์ก๊าซไป อย่างเช่นดาวพฤหัสบดี

ดิมิทาร์ แซสลอฟ ผู้อำนวยการโครงการศึกษากำเนิดสิ่งมีชีวิตของฮาร์วาร์ด บอกว่า เคปเลอร์-10ซี เปรียบเป็นก็อดซิลลาเมื่อเทียบกับโลก

เคปเลอร์เป็นกล้องสำหรับล่าดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะของเรา ตรวจจับและจัดประเภทวัตถุว่าเป็นดาวเคราะห์หรือไม่โดยดูจากการโคจรผ่านหน้าดาวฤกษ์ แต่กล้องตัวนี้ไม่สามารถระบุได้ว่าวัตถุนั้นมีเนื้อสารเป็นหินหรือก๊าซ  

กล้องที่ตรวจวัดมวลของเคปเลอร์-10ซี คือ กล้องพิเศษตัวหนึ่งที่หมู่เกาะคานารี ทำหน้าที่จัดประเภทว่าวัตถุนั้นอยู่ในจำพวกซูเปอร์-เอิร์ธ หรือมินิ-เนปจูน

ดาวเคราะห์จำพวกมินิ-เนปจูน มีขนาดใหญ่กว่าโลก แต่เล็กกว่าดาวเนปจูนซึ่งเป็นดาวเคราะห์ก๊าซที่มีมวลหนาแน่น

ภาพแสดงดาวเคราะห์ เคปเลอร์-10ซี (ดวงหน้า) ที่มีฉายาว่า 'เมกะ-เอิร์ธ' ขณะเคปเลอร์-10บี ซึ่งเป็นโลกของลาวา โคจรอยู่ใกล้กัน ทั้งสองโคจรรอบดาวฤกษ์ เคปเลอร์-10 ซึ่งคล้ายดวงอาทิตย์

ด้วยเหตุที่เคปเลอร์-10ซี มีความหนาแน่นเกินคาด จึงถูกจัดเป็นดาวเคราะห์จำพวกใหม่

ดาวเคราะห์ดวงนี้โคจรรอบดาวฤกษ์ที่คล้ายดวงอาทิตย์ในทุกๆ 45 วัน บ่งบอกว่าน่าจะมีอุณหภูมิสูงเกินกว่าสิ่งมีชีวิตจะอยู่รอดได้

ระบบสุริยะของเคปเลอร์-10 อยู่ห่างจากโลก 560 ปีแสง มีอายุ 11,000 ล้านปี ก่อตัวขึ้นหลังจากปรากฏการณ์บิกแบงไม่ถึง 3,000 ล้านปี

นั่นหมายความว่า วัตถุขนาดใหญ่ที่มีเนื้อสารเป็นหินสามารถก่อตัวขึ้นได้แม้ในเวลานั้นพวกธาตุหนักอย่างซิลิกอนและเหล็กยังมีน้อยมาก จักรวาลในช่วงแรกเริ่มนั้น มีแต่ไฮโดรเจนกับฮีเลียม

แซสลอฟ บอกว่า การค้นพบเคปเลอร์-10ซี บอกเราว่า ดาวเคราะห์ได้ถือกำเนิดขึ้นเร็วกว่าที่เคยเข้าใจกันมากทีเดียว และถ้ามีหินก็อาจมีสิ่งมีชีวิต

Source: AFP




 

Create Date : 04 มิถุนายน 2557    
Last Update : 4 มิถุนายน 2557 12:15:02 น.
Counter : 1070 Pageviews.  

สาระน่ารู้ ตำนานของบ๊ะจ่าง จาก thaifoodDB

ในสมัยเลียดก๊ก มีบุคคลหนึ่งนามว่า ชีหยวน เป็นผู้ที่มีความรอบรู้ และความสามารถรอบด้าน เป็นนักปราชญ์ราชกวีคนหนึ่ง รวมทั้งรู้จักหลักการบริหารปกครองเป็นอย่างดี ชีหยวนเป็นเชื้อสายของกษัตริย์ผู้ครองแคว้นฉู่ ชีหยวนได้รับราชการเป็นขุนนาง ในสมัยพระเจ้าฉู่หวายอ๋อง เป็นที่ปรึกษา และดูแลเหล่าเชื้อพระวงศ์ ชีหยวนเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์ และเปี่ยมด้วยความรู้ความสามารถอันสูงยิ่ง เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าฉู่หวายอ๋องเป็นอันมาก

เมื่อมีคนรัก แน่นอนย่อมต้องมีคนชังเป็นเรื่องธรรมดา เหล่าขุนนางกังฉินทั้งหลาย ต่างก็ไม่พอใจชีหยวน ด้วยความที่ชีหยวนนั้นเป็นคนที่ซื่อตรง ทำงานอย่างตรงไปตรงมา จึงมีหลายครั้งที่การทำงานของชีหยวน เป็นไปเพื่อการขัดขวาง การโกงกินบ้านโกงกินเมืองของขุนนางกังฉินเหล่านั้น พวกเขาจึงรวมหัวกันพยายามใส่ไคล้ชีหยวนต่างๆ นานา จนพระเจ้าฉู่หวายอ๋องเองก็ชักเริ่มมีใจเอนเอียง ชีหยวนรู้สึกทุกข์ระทมตรมใจมาก จึงได้แต่งกลอนขึ้นเพื่อคลายความทุกข์ใจ กลอนบทนั้นมีชื่อว่า "หลีเซา" หมายถึงความเศร้าโศก จนต่อมาพระเจ้าฉู่หวายอ๋องถูกกลลวงของแคว้นฉิน และสวรรคตในแคว้นฉิน รัชทายาทของฉู่หวายอ๋องจึงได้ขึ้นครองราชบัลลังก์แทน

หลังจากที่กษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ พระองค์ได้ทรงหลงเชื่อคำยุยงของเหล่าขุนนางกังฉินพวกนั้น ในที่สุดจึงได้มีพระบรมราชโองการ ให้เนรเทศชีหยวนออกจากแคว้นฉู่ไป

ชีหยวนเศร้าโศกเสียใจมาก หลังจากเดินทางรอนแรมมาถึงแม่น้ำเปาะล่อกัง (บางตำราว่าเป็นแม่น้ำแยงซีเกียง) ชีหยวนจึงได้ตัดสินใจกระโดดน้ำตายในวันขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5 นั้นเอง

พวกชาวบ้านที่รู้เรื่องการตายของชีหยวน พวกเขาต่างก็รัก และอาลัยในตัวของชีหยวน จึงได้ออกเรือเพื่อตามหาศพของชีหยวน ในขณะที่ค้นหาศพ พวกเขาก็เตรียมข้าวปลาอาหารไปโปรยลงแม่น้ำด้วย นัยว่าเพื่อล่อให้สัตว์น้ำมากิน จะได้ไม่ไปกัดกินซากศพของชีหยวน หลังจากนั้นทุกปี เมื่อถึงวันครบรอบวันตายของชีหยวน ชาวบ้านจะนำเอาอาหารไปโปรยลงแม่น้ำเปาะล่อกัง หลังจากที่ทำมาได้ 2 ปี ก็มีชาวบ้านผู้หนึ่งฝันเห็นชีหยวนที่มาในชุดอันสวยงาม กล่าวขอบคุณเหล่าชาวบ้าน ที่นำเอาอาหารไปโปรยให้เพื่อเซ่นไหว้ แต่เขาบอกว่าอาหารที่เหล่าชาวบ้านนำไปโปรย เพื่อเป็นเครื่องเซ่นถูกเหล่าสัตว์น้ำกินเสียจนหมดเกลี้ยง เนื่องจากบริเวณนั้นมีสัตว์น้ำอาศัยอยู่มากมาย ชีหยวนจึงแนะนำให้นำอาหารเหล่านั้นห่อด้วยใบไผ่ หรือใบจากก่อนนำไปโยนลงน้ำ เพื่อที่เหล่าสัตว์น้ำจะได้นึกว่าเป็นต้นไม้อะไรสักอย่าง จะได้ไม่กินเข้าไป

หลังจากนั้นในปีต่อมา ชาวบ้านต่างก็ทำตามที่ชีหยวนแนะนำ คือนำอาหารห่อด้วยใบไผ่ไปโยนลงน้ำเพื่อเซ่นให้แก่ชีหยวน หลังจากวันนั้นชีหยวนก็ได้มาเข้าฝันชาวบ้านอีก ว่าคราวนี้ได้กินมากหน่อย แต่ก็ยังคงโดนสัตว์น้ำแย่งไปกินได้ ชาวบ้านต้องการให้ชีหยวนได้กินอาหาร ที่พวกเขาเซ่นให้อย่างอิ่มหนำสำราญ จึงได้ถามชีหยวนว่าควรทำเช่นไรดี ชีหยวนจึงแนะนำอีกว่าเวลาที่จะนำอาหารไปโยนลงแม่น้ำ ให้ตกแต่งเรือเป็นรูปมังกรไป เมื่อสัตว์น้ำทั้งหลายได้เห็นก็จะนึกว่าเป็นเครื่องเซ่นของพญามังกร จะได้ไม่กล้าเข้ามากิน

ที่มา //www.thaifooddb.com




 

Create Date : 02 มิถุนายน 2557    
Last Update : 2 มิถุนายน 2557 8:32:39 น.
Counter : 965 Pageviews.  

5 เหตุผลที่ควรเรียนภาษาเยอรมัน

เพื่อนๆ คงจะรู้อยู่แล้วว่าการเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 นั้นสำคัญขนาดไหน แต่ก็คงจะดีกว่าใช่ไหมหล่ะครับหากเรารู้ภาษาที่ 3 เพิ่มด้วย ว่าแต่ภาษาอะไรที่เราควรเรียนนอกเหนือจากภาษาอังกฤษหล่ะ?

ภาษาเยอรมันก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ใครต่อใครหลายคนเลือกเรียนเป็นภาษาที่ 3 เรามาดูกันดีกว่าครับว่า เหตุผลที่ควรเรียนภาษาเยอรมัน นั้นมีอะไรกันบ้าง

1. ภาษาเยอรมันเป็นภาษาที่ใช้กันทั่วไปในทวีปยุโรป

gn1

นอกจากประเทศเยอรมนีแล้ว ภาษาเยอรมันยังเป็นภาษาราชการของประเทศออสเตรีย, สวิตเซอร์แลนด์, ลักเซมเบิร์ก และลิกเตนสไตน์ นอกจากนี้ยังเป็นภาษาที่ใช้พูดกันอย่างมากในอิตาลี่, ฝั่งตะวันออกของเบลเยี่ยม, เนเธอร์แลนด์, เดนมาร์ก, ฝั่งตะวันออกของฝรั่งเศส, บางส่วนในโปแลนด์, สาธารณรัฐเช็ค, รัสเซีย และโรมาเนีย

2. ภาษาเยอรมันไม่ยากอย่างที่คิด

gn2

ภาษาเยอรมันมีคำศัพท์และไวยากรณ์ใกล้เคียงกับภาษาอังกฤษ นอกจากนี้ยังมีระบบการออกเสียงที่ดี ซึ่งหากได้เรียนรู้แล้ว มันจะง่ายต่อการเดาว่าเมื่อฟังคำศัพท์คำนี้แล้วจะเขียนว่าอย่างไร หรือเมื่อเห็นคำศัพท์คำนี้แล้วควรออกเสียงอย่างไร

3. การอ่านวรรณกรรม

gn3

วรรณกรรมฉบับดั้งเดิมส่วนใหญ่แล้วจะเป็นภาษาเยอรมัน นอกจากนี้หนังสือใหม่ ๆ ที่ถูกตีพิมพ์ในประเทศเยอรมนีในแต่ละปีนั้น ภาษาเยอรมันถือว่าเป็นภาษาอันดับที่ 3 ของโลกที่มีการแปลหนังสือเยอะที่สุดอีกด้วย

4. โอกาสทางธุรกิจ

gn4

ภาษาเยอรมันมีความสำคัญทางด้านการค้าในยุโรป โดยเฉพาะการพัฒนาความสัมพันธ์ทางด้านธุรกิจกับคู่ค้า ซึ่งปัจจุบันประเทศเยอรมนีถือได้ว่าเป็นประเภทที่มีอุตสาหกรรมใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของโลก และเป็นประเทศที่มีการส่งออกที่สำคัญของโลกอีกด้วย

5. เรียนรู้วัฒนธรรม

gn5

การมีความรู้ความเข้าใจในภาษาเยอรมันถือได้ว่าเป็นการเปิดประตูสู่วัฒนธรรมของยุโรป ไม่ว่าจะเป็นทางด้านวัฒนธรรมภาษา, ดนตรีคลาสสิค และอื่นๆอีกมากมาย

ข้อมูลจาก: educatepark




 

Create Date : 01 มิถุนายน 2557    
Last Update : 1 มิถุนายน 2557 11:59:09 น.
Counter : 1981 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.