ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

นักวิจัยพบ สเปิร์มที่เก่าแก่ที่สุดในโลก!!

นักวิจัยพบ สเปิร์มที่เก่าแก่ที่สุดในโลก!!




 

Create Date : 14 พฤษภาคม 2557    
Last Update : 14 พฤษภาคม 2557 16:26:30 น.
Counter : 1179 Pageviews.  

วันวิสาขบูชา

วันวิสาขบูชา Vesak Day 

วิสาขบูชาวันสำคัญสากลโลก

วิสาขบูชา (Vesak Day) วันสำคัญสากลโลก
วันวิสาขบูชาวันสำคัญสากลโลก Vesak Day
วันวิสาขบูชา (Vesak Day) วันสำคัญสากลของโลก
    “เราเป็นผู้ครอบงำธรรมทั้งปวงรู้ธรรมทั้งปวง อันตัณหาและทิฏฐิ ไม่ฉาบทาแล้ว ในธรรมทั้งปวงละธรรมเป็นไปในภูมิสามได้หมด พ้นแล้วเพราะความสิ้นไปแห่งตัณหา เราตรัสรู้ยิ่งเองแล้ว จะพึงอ้างใครเล่า อาจารย์ของเราไม่มี คนเช่นเราก็ไม่มี บุคคลเสมอเหมือนเราก็ไม่มี ในโลกกับทั้งเทวโลก เพราะเราเป็นพระอรหันต์ในโลก เราเป็นศาสดา หาศาสดาอื่นยิ่งกว่ามิได้ เราผู้เดียวเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ เราเป็นผู้เย็นใจ ดับกิเลสได้แล้ว เราจะไปเมืองในแคว้นกาสี เพื่อประกาศธรรมจักรให้เป็นไป เราจะตีกลองประกาศอมตธรรมในโลกอันมืด เพื่อให้สัตว์ได้ธรรมจักษุ” 
    การอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ เปรียบเสมือนดวงสุริยาที่ทอแสงให้ความสว่างในชีวิตแก่สรรพสัตว์ทั้งปวงโดยไม่เลือกที่รักผลักที่ชัง พระพุทธองค์เสด็จมาเพื่อประโยชน์สุขของมวลมนุษยชาติและสรรพสัตว์ทั้งหลาย
วันวิสาชบูชา องค์กรสหประชาชาติจัดเป็นวันสำคัญสากลโลก
วันวิสาขบูชาหรือ Vesak Day เป็นวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สร้างบารมี
    การจะพรรณนาพุทธคุณด้วยเวลาอันสั้นนั้น  เปรียบไปแล้วก็เหมือนปริมาณน้ำที่ลอดรูเข็ม เมื่อเทียบกับน้ำในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระคุณอันยิ่งใหญ่ ต่อสัตว์โลกตั้งแต่สมัยที่สร้างบารมีเป็นพระโพธิสัตว์  ท่านคิดที่จะตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง และก็สั่งสอนสัตว์โลกทั้งหลาย ทั้งมนุษย์และเทวา ให้ได้บรรลุธรรมตาม เมื่อคิดแล้ว ก็ลงมือทำไปด้วย ตั้งใจสร้างบารมี ๓๐ ทัศน์เรื่อยมา ทั้งทรัพย์ อวัยวะและก็ชีวิต นับครั้งไม่ถ้วน ยาวนานถึง ๒๐ อสงไขยแสนมหากัป จนบารมีของท่านเต็มเปี่ยม ได้มาเสวยทิพยสมบัติอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต เป็นท้าวสันดุสิต ปกครองสวรรค์ชั้นดุสิต เพื่อรอเวลาอันควร
ท้าวสันตดุสิต
ท้าวสันตดุสิตปกครองสวรรค์ชั้นดุสิต รอเวลาลงมาประสูติ
     เมื่อถึงกาลสมัยอันควรที่จะมาตรัสรู้  เทวดา พรหม อรูปพรหม ทั่วหมื่นโลกธาตุ  ตลอดภพสามก็มาประชุมพร้อมกัน และก็อัญเชิญพระองค์ลงมาบังเกิดในโลกมนุษย์ ซึ่งท่านก็จะตรวจตราดู ปัญจมหาวิโลกนะ คือ ดูทวีป  ประเทศ  อายุขัยของมนุษย์ยุคนั้น ดูตระกูลที่มนุษย์ยกย่องว่าเป็นเลิศในโลก และก็ดูพุทธมารดา ตรวจตราดูแล้วเห็นว่า เป็นการที่เหมาะสมจะได้มาเกิดในชมพูทวีป ในมัชฌิมประเทศ ในยุคที่มนุษย์มีประมาณ ๑๐๐ ปี  เกิดในขัตติยตระกูล และทรงกำหนดเอาพระนางสิริมหามายาเป็นพุทธมารดา จากนั้นจึงรับอาราธนา และก็อธิษฐานจิตลงมาเกิดในโลกมนุษย์
วันประสูติ
    ย้อนไปก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี ณ สวนลุมพินี ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ และกรุงเทวทหะ พระจันทร์เสวยฤกษ์วิสาขะ ตรงกับวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ วันนี้  นับเป็นวันที่รูปกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อุบัติขึ้นบนผืนโลก  
    พระนางสิริมหามายาผู้เป็นพุทธมารดา เมื่อทรงตั้งครรภ์ ด้วยความที่พระนางทรงรักษาศีลและฝึกสมาธิ(Meditation)มามาก ทำให้ทรงเห็นพระโพธิสัตว์ที่อยู่ในครรภ์กำลังนั่งขัดสมาธิอย่างชัดเจน เหมือนอย่างกับพระโพธิสัตว์นั่งสมาธิอยู่นอกพระครรภ์ ครั้นถึงคราวพระโพธิสัตว์จะประสูติปรากฏว่า พระพุทธมารดาทรงประทับยืน แทนที่จะนอนเหมือนอย่างกับคนอื่นๆ แล้วพระโพธิสัตว์ประสูติโดยเอาพระบาทออกมาก่อน ประดุจพระธรรมกถึกหย่อนขาขวาลงจากธรรมาสน์ ทันทีที่พระบาทเหยียบถึงพื้น ก็สามารถยืนและเดินได้เลยทันที นับเป็นอัศจรรย์ที่บังเกิดขึ้นได้ยาก
ประสูติในวันวิสาขบูชา
เมื่อประสูติแล้วทรงเดินได้เจ็ดก้าวในวันวิสาขบูชา (Vesak Day)
    เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติและยืนได้ถนัดแล้ว ทรงเปล่งอาสภิวาจาที่ทรงยืนยันถึงวัตถุประสงค์ในการเกิดอย่างชัดเจนว่า
“เราเป็นผู้เลิศ ผู้เจริญ ผู้ประเสริฐที่สุดในโลก
ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ภพใหม่ไม่มีแก่เราอีกแล้ว”
    ขณะที่พระโพธิสัตว์กำลังประสูตินั้น ได้บังเกิดความสว่างไสวขึ้นในโลกและไกลไปถึงหมื่นโลกธาตุ  บุพนิมิต ๓๒ ประการปรากฏขึ้น  ในหมื่นจักรวาลได้มีแสงสว่างสุดจะประมาณแผ่ซ่านไป  พวกคนตาบอดต่างก็มองเห็นได้ พวกคนหูหนวกก็ได้ยินเสียง พวกคนใบ้ก็พูดได้ พวกคนค่อมก็มีตัวตรงขึ้น คนง่อยเปลี้ยเสียขาก็เดินด้วยเท้าได้  สัตว์ทั้งปวงที่ถูกจองจำก็พ้นจากเครื่องพันธนาการ ไฟในนรกทุกแห่งก็ดับ  ในเปรตวิสัยความหิวกระหายก็สงบระงับ  เหล่าสัตว์เดียรัจฉานก็ไม่มีความกลัวภัย  โรคและไฟกิเลสมีราคะเป็นต้นของสัตว์ทั้งปวงก็สงบระงับ นี่ก็นับเป็นความมหัศจรรย์ที่บังเกิดขึ้นได้ยากในโลกแท้ 
เสด็จออกบวช
เสด็จออกบวชที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
    ครั้นพระองค์ทรงเจริญวัยขึ้น ก็ศึกษาความรู้จากครูที่มีความรู้อันสูงสุดของแผ่นดิน ท่านใช้เวลาเพียงแค่ ๗ วันเท่านั้น ก็เรียนจนหมดภูมิความรู้ของครูที่อุตสาหศึกษามาตลอดชีวิต  แม้พระองค์จะทรงพรั่งพร้อมด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติและคุณสมบัติ แต่ก็ไม่ประมาทในชีวิต ครั้นได้ทอดพระเนตรเทวทูต คือ เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และก็เห็นสมณะ ก็คิดได้ว่า ต้องเลือกชีวิตสมณะ เพราะเป็นชีวิตที่ประเสริฐที่สุด ที่จะมุ่งไปสู่หนทางพ้นทุกข์  ท่านจึงเสด็จออกผนวชเมื่อได้ ๒๙ พรรษา และได้ทรงม้ากันฐกะ ออกผนวชที่ริมฝั่งแม่น้ำ เนรัญชรา
วันตรัสรู้
    หลังจากได้บำเพ็ญเพียรมายาวนานถึง ๖ ปี ภายใต้ต้นอัสสัตถพฤกษ์  ในวันนั้น พระบรมโพธิสัตว์ได้ทรงนั่งคู้อปราชิตบัลลังก์ซึ่งแม้สายฟ้าจะผ่าลงตั้ง ๑๐๐ ครั้งก็ไม่แตกทำลาย โดยทรงอธิษฐาน
“แม้เลือดและเนื้อในกาย จักแห้งเหือดเหลือแต่หนัง เอ็น กระดูกก็ตาม 
ตราบใดที่เรายังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ได้รู้ ได้เห็นธรรมอันยิ่งแล้ว 
จักไม่ยอมลุกจากบัลลังก์นี้เป็นอันขาด จักนั่งอบรมกาย วาจา ใจ ให้ละเอียดถึงที่สุดให้ได้ ” 
ทรงตรัสรู้ในวันวิสาขบูชา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ในวันวิสาขบูชา (Vesak Day)
    พอพญามารรู้เข้า ก็สะดุ้งพรึบกันทั้งภพทีเดียว ได้เข้ามาสิงบังคับท้าวปรนิมมิตสวัตดี ให้เป็นเทวบุตรมาร แล้วก็พากันยกพลพักมารมาข่มขู่ มาอ้างสิทธิ์ว่า ที่ตรงนี้น่ะ เป็นที่ของพญามาร โดยมีเสนามารพร้อมด้วยพรรคพวกของตัวมาร พระโพธิสัตว์ท่านก็ไม่หวั่นไหว ท่านนั่งทำใจหยุดใจนิ่งอย่างเดียว  ในที่สุดพระองค์ก็สามารถเอาชนะได้ ด้วยอานุภาพแห่งบารมีธรรม ที่สั่งสมมาอย่างดีแล้ว
    พระมหาบุรุษทรงพิจารณาปัจจยาการอันประกอบด้วยองค์ ๑๒ โดยอนุโลมและปฏิโลม หมื่นโลกธาตุหวั่นไหว ๑๒ ครั้ง จนจรดน้ำรองแผ่นดินเป็นที่สุด  พระมหาบุรุษได้ทรงบรรลุสัพพัญญุตญาณ ในเวลาอรุณขึ้น
ทรงตรัสรู้ในวันวิสาขบูชา
ทรงตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองในวันวิสาขบูชา (Vesak Day)
    เมื่อพระมหาบุรุษทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว โลกันตนรกกว้าง ๕๐๐ โยชน์ในระหว่างจักรวาลทั้งหลาย ไม่เคยสว่างด้วยแสงพระอาทิตย์ ๗ ดวง ก็ได้มีแสงสว่างไสวเป็นอันเดียวกัน   มหาสมุทรลึก ๘๔,๐๐๐ โยชน์ ได้กลายเป็นน้ำหวาน  แม่น้ำทั้งหลายหยุดไหล คนบอดแต่กำเนิดก็มองเห็นรูป คนหนวกแต่กำเนิดก็กลับได้ยินเสียง คนง่อยเปลี้ยแต่กำเนิดก็เดินได้ กรรมกรณ์ทั้งหลายมีเครื่องจองจำเป็นต้น ได้ขาดหลุดไป !!  พระมหาบุรุษได้รับการบูชาจากเหล่าทวยเทพด้วยสมบัติอันประกอบด้วยสิริหาปริมาณมิได้ ทรงเปล่งอุทานว่า
“เราเมื่อแสวงหานายช่างคือตัณหา ผู้กระทำเรือน
เมื่อไม่ประสบ ได้ท่องเที่ยวไปยังสงสารมิใช่น้อยการเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์
ดูก่อนนายช่างผู้กระทำเรือน เราเห็นท่านแล้ว ท่านจักทำเรือนไม่ได้อีกต่อไป
ซี่โครงทั้งปวงของท่าน เราหักแล้ว ยอดเรือนเรากำจัดแล้ว
จิตของเราถึงวิสังขารคือนิพพานแล้ว เราได้ถึงความสิ้นตัณหาแล้ว”
วันวิสาขบูชาเป็นวันประสูติตรัสรู้และปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมสั่งสอนชาวโลกให้ได้เห็นธรรม 
    เมื่อตรัสรู้แล้ว ก็ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเปี่ยมล้น อบรมพร่ำสอนชาวโลกให้ได้รู้และเห็นธรรมตามไปด้วย ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ๔๕ พรรษา พระพุทธองค์ต้องทรงดำเนินด้วยพระบาทเปล่า เสด็จจาริกไปเผยแผ่พระศาสนาตามดินแดนต่างๆ อย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ทรงแสดงธรรมประดุจหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือจุดประทีปในมืดเพื่อให้คนมองเห็น  ทำให้มีสรรพสัตว์ได้บรรลุธรรมาภิสมัยเป็นอริยบุคคลมากมายนับไม่ถ้วน จากนั้นจึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน
วันปรินิพพาน
     เมื่อทรงมีพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา และวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๑ ปี ณ ป่าสาลวัน เมืองกุสินารา วันนี้...เป็นวันที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน รูปกายที่ประกอบด้วยเลือดเนื้อแตกดับลง คงเหลือแต่พระธรรมกาย เสด็จสู่พระนิพพาน  ก่อนจะเสด็จดับขันธ์นั้น ยังทรงมีมหากรุณาประทานปัจฉิมโอวาทแก่พุทธบริษัทว่า
"สังขารร่างกายของเราไม่เที่ยง มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา 
พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด"
วันวิสาขบูชาเป็นวันปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (Vesak Day)
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชาในปัจจุบัน 
    ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวการประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยย่อ ซึ่งเป็นต้นแบบอย่างดีให้พวกเราได้ทำตาม พระองค์เป็นบรมครูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกจากอดีตมาจนกระทั่งปัจจุบัน  ดังนั้น ในวันเพ็ญเดือนหกของทุกปีหรือ
พุทธบริษัทรวมใจ จุดวิสาขประทีป น้อมถวายเป็นพุทธบูชาในวันวิสาขบูชา
กิจกรรมในวันวิสาขบูชาVesak Day
จุดวิสาขประทีปในวันวิสาขบูชา (Vesak Day or Visakha Puja Day)
     วันวิสาขบูชาเป็นวันที่พวกเราเหล่าพุทธบริษัทควรจะได้ได้ชักชวนชาวโลกให้มาเจริญพุทธานุสติ ระลึกถึงหนทางการสร้างบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย หันมาศึกษาหลักธรรมที่ทรงประทานไว้ เป็นดังประทีปธรรมนำทางชีวิตที่ถูกต้องไปสู่สวรรค์นิพพาน เราทั้งหลายจะได้มาร่วมกันนั่งสมาธิเพื่อให้เข้าถึงพระธรรมกายซึ่งเป็นกายแห่งการตรัสรู้ธรรม   ทุกท่านควรจะหาโอกาสได้ไปจุดประทีป เดินเวียนประทักษิณรอบพุทธเจดีย์ที่ตนเคารพนับถือเพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ให้ภายนอกได้สว่างด้วยแสงเทียน ภายในสว่างด้วยแสงธรรม
“พระอาทิตย์ ส่องแสงในเวลากลางวัน พระจันทร์ย่อมส่องแสงในเวลากลางคืน กษัตริย์เมื่อทรงเครื่องรบแล้วย่อมรุ่งเรือง พราหมณ์ผู้มีความเพ่งเพียร ย่อมรุ่งเรือง ส่วนพระพุทธเจ้า ย่อมรุ่งเรืองด้วยเดชตลอดทั้งกลางวัน และกลางคืนทั้งหมด”
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)




 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2557    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2557 12:58:19 น.
Counter : 1100 Pageviews.  

ไม่อยากเจออาเพศ......อย่าตากผ้าตอนกลางคืน

การ ตากผ้า สมัยโบราณจะทำราว ตากผ้า ไว้กลางแสงแดด ผ้าที่ตากจะแห้งเร็ว คนสมัยโบราณเชื่อว่า หากปล่อยผ้าที่ตากทั้งไว้นอกชายคาเรือนหลังพระอาทิตย์ตกดิน เชื่อว่าผีจะใช้ผ้าผืนนั้นเช็ดเลือกจากปากหลังจากที่ได้กินเลือดสัตว์เลือดคนมาแล้ว ซึ่งผีที่ว่านั้นคือผีกระสือ

ตากผ้า

ไม่อยากเจออาเพศ….อย่าตากผ้าตอนกลางคืน

ผีกระสือ คือผีไทยชนิดหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าสามารถถอดหัวออกมาล่องลอยพร้อมเครื่องใน มีแสงไฟส่องเอาไว้ส่องทาง ชอบกินของสกปรกและของสดคาว เมื่อกินจนอิ่มก็จะหาบ้านที่ตากผ้าเอาไว้ตอนกลางคืนเพื่อเช็ดปาก แล้วกลับเข้าร่างอย่างเดิม เจ้าของผ้าที่มีรอยเปื้อนจากปากกระสือเมื่อสวมใส่จะเกิดอาการไม่สบายบางคน ถึงกับตายเลยที่เดียว

ดังนั้นก่อนพระอาทิตย์ตกดิน คนสมัยก่อนจะรีบเก็บผ้าเข้ามาไว้ในเรือนก่อนถ้าผ้าซิ่นใดยังไม่แห้งจึงค่อยนำมาตากใหม่ในวันรุ่งขึ้น อย่างไรก็ตามอุบายโบราณนั้น หลายครั้งเรานึกดูถูกอยู่ในใจว่าเก่าแก่เหลือเกิน แต่ถ้าใช้ปัญญาในทางกว้างและมองลึกซึ่งลงไปมักพบมีภูมิปัญญาชาวบ้านที่ อธิบายได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ซ่อนเร้นอยู่ทั้งสิ้น รวมทั้งอุบายที่ห้ามขาดมาแต่ครั้งโบราณว่า จงอย่าตากผ้าข้ามคืนหรือในเวลากลางคืน

เหตุผลที่ 1 คือการป้องกันไม่ให้ผ้าเปื่อย ผ้าสมัยก่อนเป็นผ้าทอมาจากฝ้ายเกือบทั้งนั้น ตกกลางคืนเมื่อสัมผัสกับน้ำค้างที่มีความเค็มสูง ผ้าจะเปื่อยเร็วกว่าปกติ

เหตุผลที่ 2 คือเมื่อเรา ตากผ้า ไว้ในราว ลมจะพัดจนผ้าพลิ้วปลิวไปมา สัตว์เลี้ยงของเราโดยเฉพาะหมาก็กระโดดกัดเอาผ้าลงมาเล่น จนผ้าขาดเสียหาย

เหตุผลที่ 3 คือราวตากผ้ามักจะหลบอยู่หลังบ้านหรือในซอกในหลืบ ในเวลามืดค่ำก็เสี่ยงต่องูเงี้ยวเขี้ยวขอที่ไปแอบซ่อนตัวอยู่ ก็เลยห้ามรวมเสียเลยว่าห้ามตากผ้าข้ามคืนหรือกลางคืน

เหตุผลที่ 4 ถ้าปล่อยผ้าตากค้างคืนไว้ ผ้าอาจจะถูกน้ำค้างตอนกลางคืน ไม่แห้ง รวมถึงจะส่งกลิ่นเหม็นได้

ที่มา: ghostwiki.blogspot.com




 

Create Date : 12 พฤษภาคม 2557    
Last Update : 12 พฤษภาคม 2557 15:20:38 น.
Counter : 1594 Pageviews.  

ความแตกต่าง ระหว่าง .. การอาบน้ำของ หญิง กับ ชาย




อาบน้ำอย่างหญิง 
emoticon ถอดเสื้อผ้า เดินเอาเสื้อผ้าไปใส่ตะกร้าผ้า

emoticon ใส่เสื้อคลุมอาบน้ำเดินไปห้องอาบน้ำ

emoticon ถ้าเจอแฟนระหว่างทางโดยบังเอิญ จะรีบปิดบังส่วนที่เปิดเผยออกมา

emoticon มองดูตัวเองหน้ากระจกแล้วบ่นว่าอ้วนเกินไป

emoticon เข้าห้องน้ำพร้อมผ้าขนหนูเช็ดหน้า ฟองน้ำถูตัว และสบู่ขัดผิว

emoticon สระผมด้วยแชมพูจากธรรมชาติ ที่มีวิตามินเสริม 83 ชนิด

emoticon สระผม 2 ครั้ง

emoticon ใช้คอนดิชั่นเนอร์นวดผม

emoticon ล้างหน้าด้วยสบู่ข้าวโอ๊ตเป็นเวลา 10 นาที

emoticon อาบน้ำด้วยสบู่กีวีที่ให้ฟองเยอะๆ อีก 7 นาที

emoticon พบว่าตัวเองอ้วนอีก 3 นาที

emoticon โกนขนที่ขาและรักแร้

emoticon ยังอยู่ในห้องน้ำ

emoticon เช็ดห้องอาบน้ำให้แห้ง แล้วใช้ไทเลกซ์ฉีดให้สะอาด

emoticon เช็ดตัวให้แห้งด้วยผ้าขนหนูผืนใหญ่

emoticon ตรวจดูหุ่นตัวเอง เหน็บแนมนิดๆ คิดว่าตัวเองก้นใหญ่เกินไป เป็นเวลาอีก 4 นาที

emoticon เดินออกจากห้องน้ำด้วยผ้าขนหนูคลุมศีรษะและใส่ชุดคลุมอาบน้ำ

emoticon ถ้าเจอแฟนจะอำพรางกายแล้ววิ่งเข้าห้อง  
อาบน้ำอย่างชาย

emoticon ถอดเสื้อผ้า ถอดกางเกงกองไว้ ถอดกางเกงใน ม้วนเป็นเลข 8 แล้วทิ้งไว้บนพื้น

emoticon เดินไปห้องอาบน้ำ....ถ้าเห็นแฟนระหว่างทาง จะโชว์ก้นแล้วตะโกนว่า “วู้ฮู้!”

emoticon มองตัวเองหน้ากระจก ฟิตหน้าอก ชื่นชมไอ้หนูตัวแสบ เล่นกับegg แล้วดมนิ้ว

emoticon เข้าห้องอาบน้ำพร้อมผ้าคลุมตัว

emoticon ล้างegg แล้วปล่อยให้เส้นผมติดกับสบู่

emoticon ล้างรักแร้

emoticon จากนั้นก็ล้างหน้า

emoticon ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเพราะว่าเพิ่งตด

emoticon สระผม อ่านเจอคำว่า “คอนดิชั่นเนอร์” บนขวดแชมพู พลางสงสัยว่าหมายความว่าไง

emoticon ฉี่ในห้องอาบน้ำ

emoticon ออกจากห้องอาบน้ำ ทำน้ำหยดไปทั่วห้องโดยไม่ทันสังเกต

emoticon แทบจะไม่เช็ดตัวให้แห้งเลย

emoticon ชื่นชมไอ้หนูตัวแสบหน้ากระจกอีกครั้งหนึ่ง

emoticon ตรวจดูกล้ามเนื้ออีกครั้ง

emoticon นุ่งผ้าเช็ดตัวตรงกลับห้อง

emoticon ถ้าเห็นแฟนระหว่างทาง จะถอดผ้าเช็ดตัวแล้วแกว่งไอ้หนูตัวแสบ แล้วพูดว่า “เฮ้ เบบี๋!”

emoticon โยนผ้าเช็ดตัวเปียกๆ ลงบนเตียง

emoticon แต่งตัว 2 นาที

emoticon เรอออกมาแสดงความพึงพอใจ




 

Create Date : 11 พฤษภาคม 2557    
Last Update : 11 พฤษภาคม 2557 17:49:51 น.
Counter : 2304 Pageviews.  

"16 เรื่อง(จริง)แปลกๆ ของคนเกาหลี"

ประเทศเกาหลีนั้นเป็นอีกประเทศที่ทุกคนใฝ่ฝันอยากจะไปกันจริงจังเลย แหม!ก็ เห็นซีรีส์เกาหลี สถานที่สวยๆ บรรยากาศดีๆตั้งมากมาย แถมเวลาไป ช๊อปปิ้ง คงถูกใจสาวๆ ก็ของถูกมากๆ จะไม่อยากไปสอยได้ยังไง … แต่ถ้าอยากจะรู้จักเกาหลีให้มากขึ้น ลองมาดูกันว่า 16 เรื่อง (จริง) แปลกๆ ของคนประเทศเกาหลี เขามีอะไรบ้างนะ? ^^

1. บนรถไฟใต้ดินที่เกาหลี จะมีคนเอาของขึ้นมาขายบ่อยๆ แล้วจะพูดขายของเสียงดังมาก โดยส่วนมากจะลากใส่รถเข็นขึ้นมา ที่เห็นบ่อยๆ ก็เช่น ถุงใส่ผ้า ยาขัดรองเท้า ถุงเท้า

2. บนรถไฟใต้ดินจะมีที่นั่งของคนชรา คนท้อง และคนพิการแยกอยู่ ซึ่งคนปกติทั่วไปไม่ควรนั่งเด็ดขาดไม่งั้นจะถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ

3. ที่ว่าคนเกาหลีกินหมานั้นเป็นเรื่องจริง แต่ไม่ใช่ทุกคน หาได้ง่ายตามต่างจังหวัด ส่วนเมืองหลวง (กรุงโซล) อาจหายากหน่อยแต่ก็ไม่ยากเกินไป นอกจากหมาแล้ว แมวก็กินด้วย

4. วัยรุ่นเกาหลีจะนิยมส่งเมสเสจหากันมากกว่าโทรไปหาโดยตรง และคนเกาหลีตัวจริงจะกดแป้นโทรศัพท์กันไวมาก โดยปีล่าสุดคนเกาหลีใต้เคยไปแข่งกดส่ง sms และได้รางวัลที่ 1 ระดับโลก

5. ประเทศไทย นักศึกษา (วัยรุ่น) บางคนจะใส่ชุดนักศึกษาตัว เล็กจนรัด แต่ที่เกาหลี นักเรียน (วัยรุ่น) บางคนจะใส่ชุดนักเรียนตัว เล็กจนรัดมาก (แต่ส่วนมากจะใส่เสื้อทับนะ)

6. พ่อแม่คนเกาหลีจำนวนมากยอมย้ายบ้านเพื่อมาส่งลูกเรียนในโรงเรียนดีๆ ที่อยู่ต่างเมือง เช่น บ้านอยู่ปูซาน แต่จะส่งลูกเข้าเรียนในกรุงโซล ก็จะพากันย้ายมาอยู่โซลกันทั้งครอบครัว โดยส่วนมากจะเป็นช่วงมัธยมต้นและปลายของลูก

7. และชุดนักเรียนเกาหลีราคาแพงมาก!!!!!!! ชุดนึงตกประมาณ 7-8 พันบาทจนไปถึงเป็นหมื่นบาท

8. เด็ก (วัยรุ่น) นักเรียนเกาหลีแทบทุกคนต้องเรียนพิเศษ การเรียนพิเศษเลิก 4 ทุ่มทุกวัน ถือเป็นเรื่องธรรมดา ช่วงสอบปลายภาคอาจมีคอร์สพิเศษเปิดสอนถึงตี 2 โดยเฉพาะวิชาเลขเป็นวิชาที่ วัยรุ่น เกาหลีทุ่มเทมากๆๆ

9. คนเกาหลีไม่ได้ศัลยกรรมทุกคน อย่าเข้าใจผิด เพียงแต่การศัลยกรรมที่นั่นถือเป็นเรื่องธรรมดา คนจึงทำกันเยอะ อย่าไปเรียก ประเทศเค้าว่าเป็นประเทศคนหน้าพลาสติก

10. หน้างานคอนเสิร์ตทุกงาน จะมีลุงหรือป้าแก่ๆ มาขายแท่งไฟ ขายป้ายชื่อ ขายกล้องส่องทางไกลและสินค้าอื่นๆ ของศิลปิน ถ้าเป็นหน้าหนาว ลุงหรือป้าคนนั้นจะเปลี่ยนอาชีพมาเดินขายผ้าห่มหน้าคอนเสิร์ตนั้นๆ แทน

11. เวลาซื้อของกินตามแผงข้างทางแล้วยืนกินตรงแผงนั้น ควรจะกินให้หมดเลย เพราะป้าเจ้าของร้านบางร้านจะเอาของที่กินไม่ หมด เอาลงไปผัดในกะทะแล้วขายต่อ

12. เวลาย้ายบ้าน คนที่ย้ายไปใหม่จะต้องเอาขนมต๊อกไปมอบ ให้แก่เพื่อนบ้านถือเป็นการทำความรู้จักและผูกมิตรในขั้นต้น

13. เวลาวัยรุ่นเกาหลีไม่ว่าจะเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อนทั่วไปไปกินเหล้า ส่วนมากหลังจากเปิดขวด จะใช้แก้วใบเดียวรินเหล้าแล้วค่อยๆ ดื่มทีละคน แล้ววนกันไปจนครบทุกคนก่อน 1 รอบโดยใช้แก้วใบเดียวกัน หลังจากนั้นค่อยต่างคนต่างดื่มแก้วใครแก้วมัน

14. ในเกาหลี ผู้ชายสามารถบ้าดาราได้อย่างเปิดเผยและออกรสออกชาติมาก เวลาไปดูคอนเสิร์ตจึงไม่ต้องแปลกใจที่จะเจอแฟนคลับกลุ่มผู้ชายตะโกนโหวกเหวกยิ่งกว่าผู้หญิงซะอีก

15. วันสอบเอนทรานซ์ของวัยรุ่นเกาหลี (เรียกว่า ซูนึง) เป็นวันที่ถือว่าสำคัญมากๆๆ อาจารย์ผู้หญิงห้ามใส่รองเท้าส้นสูงเพราะถือว่าเดินแล้วเสียงดังจะทำลายสมาธิเด็ก คนทำงานอนุญาตให้เข้างานสายได้กว่าปกติ เพราะต้องออกจากบ้านช้า เนื่องจากให้นักเรียน (วัยรุ่น) รีบออกไปสอบก่อน รวมถึงในคาบสอบการฟัง สายการบินต่างๆ จะงดเที่ยวบินในช่วงเวลานั้น เนื่องจากเกรงว่าเสียงเครื่องบินจะรบกวนการทำข้อสอบ

16. มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดของเกาหลีคือ มหาวิทยาลัยโซล มหาวิทยาลัยโคเรีย และมหาวิทยาลัยยอนเซ คนเกาหลีเรียกรวมกันว่า SKY โดยมาจากตัวอักษรตัวแรกของแต่ละมหาวิทยาลัย

ที่มา: ที่มา: //www.dek-d.com/board/view/3202120/




 

Create Date : 10 พฤษภาคม 2557    
Last Update : 10 พฤษภาคม 2557 19:46:49 น.
Counter : 3022 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.