ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

"ข้าวขาว" ดีต่อผู้ป่วยโรคไต


ข้าวขาวดีต่อผู้ป่วยโรคไต เพราะมีโพแทสเซียมและฟอสฟอรัสต่ำกว่า 70 มิลลิกรัม ซึ่งแร่ธาตุเหล่านี้จะถูกไตขับออกในรูปแบบของของเสีย ดังนั้นหากไตอ่อนแอลงจะทำให้ธาตุเหล่านี้คั่งอยู่ เพราะถูกขับออกได้น้อยกว่าปกติ ซึ่งหากการคั่งอยู่ในร่างกายปริมาณมาก จะส่งผลเสียต่อหัวใจ คือ หัวใจหยุดทำงาน


ขอบคุณภาพจาก www.jeamrice.com

ที่มา : Smart SME




 

Create Date : 12 ธันวาคม 2557    
Last Update : 12 ธันวาคม 2557 21:30:19 น.
Counter : 786 Pageviews.  

มารู้จักกับซามูไรที่เก่งที่สุดของญี่ปุ่นกัน

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักรบโบราณที่มีความเชี่ยวชาญในการต่อสู้มากที่สุด ดาบคาตานะอาวุธประจำกายของซามูไรก็ได้รับการพิสูจน์จากโลกสมัยใหม่แล้วว่าเป็นดาบที่คมที่สุดในโลก และบุรุษผู้ซึ่งชาวญี่ปุ่นยกย่องว่าเป็นสุดยอดแห่งซามูไรนั้นมีนามว่า "มิยาโมโตะ มุซาชิ"


ซามูไร แปลว่านักรบ แต่อีกความหมายหนึ่งของซามูไรคือ คนรับใช้ ซึ่งบ่งบอกถึงการมีนายเหนือหัว ซามูไรที่ปราศจากนายเรียกว่า โรนิน "มุซาชิ" ถูกจัดว่าเป็นซามูไรประเภทนี้ เขาเกิดในช่วงปี พ.ศ.2127ที่เมืองฮะริมะ ในครอบครัวซามูไร มีบิดาเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาดาบและการต่อสู้ให้ เขาสังหารคนครั้งแรกขณะที่มีอายุเพียง14 ปี และหลังจากที่บิดาของเขาได้เสียชีวิตลงเขาตัดสินใจสมัครเข้าเป็นทหารร่วมรบในสงครามเซกิงาฮาร่า(สมรภูมิที่ถูกบันทึกเอาไว้ว่าเป็นสมรภูมิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สงครามโบราณของญี่ปุ่น)เพื่อแสวงหาโอกาสและชื่อเสียงเฉกเช่นชายหนุ่มคนอื่นๆในสมัยนั้น

หลังสงครามสงบมีโรนิน(ซามูไรพเนจร) เกิดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก มุซาชิก็เป็นหนึ่งในนั้น ซามูไรเหล่านี้มีวิถีชีวิตที่ลำบาก ยากไร้ อดมื้อกินมื้อ การต่อสู้จึงเป็นหนทางเดียวที่จะสร้างชื่อเสียงให้กับคนเหล่านี้เพื่อหวังว่าจะมีไดเมียวหรือเศรษฐีผู้มั่งคั่งมาจ้างตนให้ไปเป็นองครักษ์

มุซาชิในวัยหนุ่มนั้นเรียกได้ว่ามีชีวิตอยู่เพื่อการฆ่าเท่านั้น ผ่านการดวลตัวต่อตัวมานับครั้งไม่ถ้วนที่สำคัญตลอดชีวิตการเป็นซามูไรของเขานั้นไม่เคยแพ้ในการต่อสู้เลยสักครั้งเดียว ครั้งหนึ่งมุซาชิเคยสังหารเจ้าสำนักโยชิโอกะตาย3คนและได้ฆ่าลูกศิษย์ของสำนักโยชิโอกะที่ตามมาล้างแค้นไปถึง70 กว่าคนภายในระยะเวลาเพียงแค่ชั่วข้ามคืน

credit://reiokami.fr

การดวลที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขา คือการดวลกับ "ซาซากิ โคจิโร่" ครูดาบที่มีชื่อเสียงสาเหตุเกิดมาจากการที่ผู้คนในสมัยนั้นต่างพากันถกเถียงกันว่า 2คนนี้ใครกันแน่ที่เก่งกว่ากอปรกับความแค้นส่วนตัวของทั้งคู่ ไดเมียวซึ่งเป็นตัวแทนของทั้ง 2 ฝั่ง จึงจัดการประลองนี้ขึ้นมา (ปัจจุบันสถานที่การประลองได้มีการตั้งอนุสรณ์สถานขึ้นมา)

มาถึงตรงนี้ชื่อเสียงของเขาเป็นที่เลื่องลือไปทั่วแผ่นดินญี่ปุ่นทั้งไดเมียวและเศรษฐีจากทั่วแคว้นต่างต้องการตัวมุซาชิไปเป็นองครักษ์ของตนทั้งสิ้น แต่มุซาชิกลับคิดว่าการไปเป็นลูกน้องให้กับใครสักคนนั้น เป็นความไม่จีรังสิ่งที่เขาต้องการกลับเป็นวิถีชีวิตที่สงบ เรียบง่าย และชื่อเสียงอันเป็นนิรันดร์ ในช่วงท้ายๆของชีวิต เขาได้อุทิศเวลาให้กับผลงานศิลปะงานปั้น เขียนภาพพู่กัน เปิดสำนักถ่ายทอดวิชาดาบและการต่อสู้ และยังเขียนคำภีร์ 5 ห่วง อันโด่งดังเป็นมรดกตกทอดมาสู่คนรุ่นหลัง

credit://goodreads.com

คนญี่ปุ่นยกย่องมุซาชิ เป็นอย่างมากถึงกับนำไปตั้งเป็นชื่อเรือรบในสมัยสงครามโลกครั้งที่2 และถือเป็นแบบอย่างในวิถีการปฏิบัติในการเดินทางแสวงหาความฝันของคนในวัยหนุ่ม เรื่องราวของเขานั้นได้ถูกสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์สถานที่ท่องเที่ยว ละครโทรทัศน์ หนังสือการ์ตูน และหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊คซึ่งถูกตีพิมพ์แปลเป็นภาษาต่างๆทั่วโลก

ผู้ที่สนใจสามารถอ่านเรื่องราวของมุซาชิได้ที่หนังสือ"มูซาชิ ฉบับท่าพระจันทร์ สำนักพิมพ์คบไฟ"




 

Create Date : 12 ธันวาคม 2557    
Last Update : 12 ธันวาคม 2557 7:34:17 น.
Counter : 1680 Pageviews.  

10 นิสัยดีๆที่จะทำให้เรากลายเป็นคนฉลาด

10 นิสัยดีๆที่จะทำให้เรากลายเป็นคนฉลาด

1. คิด 10 ไอเดียใหม่ๆในทุกๆวัน

การเริ่มต้นคิดอะไรใหม่ๆก็เหมือนเป็นการออกกำลังกายของกล้ามเนื้อสมองคุณ ไม่จำเป็นต้องเป็นความคิดที่ดีเสมอไป ขอแค่ลองคิดก็เพียงพอแล้ว อนาคตใครจะรู้ว่าเงินร้อนล้านอาจมาจากความคิดง่ายๆของคุณ

2. อ่านหนังสือพิมพ์

คุณจะได้รับข่าวสารที่แปลกใหม่เสมอ และเวลาเข้าสังคมคุณจะได้คุยกับเพื่อนๆแบบรู้เรื่อง

3.สร้างความเห็นที่แตกต่างกัน

พยายามแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป คิดนอกกรอบ มันจะช่วยให้คุณเปิดรับสิ่งใหม่ๆและต้องยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่นด้วย

4.อ่านหนังสือหนึ่งบทในชีวิตประจำวัน

จะเป็นนิยายหรือไม่ใช่นิยายก็ไม่สำคัญ เพราะการอ่านเป็นหัวใจสำหรับการออกกำลังกายของสมอง และพอกพูนความรู้ไปเรื่อยๆ อย่าบอกนะว่าไม่มีเวลาอ่าน ควรให้เวลากับมันบ้าง

5.หาเรื่องที่สนใจและศึกษาอย่างจริงจัง

ค้นหาตัวเองให้เจอว่าชอบอะไรสนใจเรื่องไหนและพยายามค้นคว้าอย่างจริงจัง

6.หาบุคคลที่เป็นแรงบัลดาลใจ

จะเป็นใครก็ได้ขอแค่มีแนวคิดที่เจ๋งๆ มีวิถีชีวิตที่น่าเป็นแบบอย่าง หากคิดไม่ออกบอกเฟซบุ๊กก็ได้

7.แบ่งปันความรู้สู่ผู้อื่น

การสอนผู้อื่นเสมือนเป็นการทบทวนความรู้และเสริมสร้างความรู้ของคุณ อีกทั้งมันยังทำให้คุณดูฉลาดขึ้นอีกด้วย

8.บันทึกสิ่งที่คุณเรียนรู้

จะจดใส่กระดาษหรือเขียนเป็นบล็อคลงเนตก็ได้ นอกจากจะเป็นการจดบันทึกแล้วมันจะทำให้คุณเป็นคนมีความรับผิดชอบอีกด้วย

9. คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล

ถ้าเป็นไปได้จริงควรจะออกไปเที่ยวกับคนที่มีความรู้ความฉลาดกว่าคุณ เพราะคนเหล่านี้จะสอนสิ่งใหม่ ๆ เวลาที่คุณเห็นพวกเขาทุกคนพูดถึงความรู้ใหม่ๆมันจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้คุณด้วย

10.เอาชนะความกลัว

อย่ามัวแต่กลัวที่จะทำ อย่าขัดวันประกันพรุ่ง จงเอาชนะความขี้เกียจ เพื่อความเร็จของคุณเอง

ที่มา viralnova




 

Create Date : 11 ธันวาคม 2557    
Last Update : 11 ธันวาคม 2557 7:28:05 น.
Counter : 1123 Pageviews.  

ประโยชน์ของ...ขอบขนมปัง

หากพูดถึงขอบขนมปัง เชื่อแน่ว่าคุณผู้อ่าน ๆ หลาย ๆ ท่าน คงชอบตัด หรือเลือกรับประทานขนมปังที่ไม่มีขอบมากกว่า

หลายท่านที่เป็นเช่นนี้ หากไปถามว่าทำไมต้องตัดหรือดึงขอบออกก่อนด้วย ก็มักจะได้คำตอบว่า ขอบขนมปังหรือบริเวณที่ถูกอบจนเป็นสีน้ำตาลเข้มนั้น เป็นส่วนที่ไม่มีรสชาติ ฝืดคอ เหนียว เคี้ยวยากและอีกสารพัดเหตุผล แฮ่ ๆ .. แต่ทราบมั้ยว่าขอบขนมปังที่เราทิ้งไป หรือเก็บไว้ไปโยนให้ปลาในเขาดินกินนั้น เป็นส่วนที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย มากกว่าที่เราคาดคิด

ดร.โทมัส ฮอฟมานน์ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมุนสเตอร์ประเทศเยอรมนี พบว่าขอบขนมปังที่บางคนเมินนั้น เป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระอันอุดมสมบูรณ์มากกว่าส่วนอื่น ๆ ของขนมปัง จริง ๆ แล้วก่อนหน้านี้ก็เคยมีงานวิจัยที่สรุปผลออกมาว่า ขนมปังเป็นแหล่งของส่วนประกอบบางตัวที่มีคุณสมบัติต้านมะเร็ง แต่งานชิ้นเก่า ๆ จะให้เครดิตไปที่กากใยอาหารหรือไฟเบอร์ซะมากกว่า ส่วนงานวิจัยของ ดร.โทมัส นี้ได้ระบุถึงสารต้านมะเร็งตัวใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครคาดถึงมาก่อน

หัวหน้าทีมวิจัยได้ตรวจสอบขอบขนมปัง เนื้อขนมปัง และแป้งธรรมดา พบว่าขอบขนมปังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่เรียกว่า โพรนิลไลซีน (pronyl-lysine) มากกว่าในส่วนเป็นขนมปังสีขาวถึง 8 เท่า ส่วนแป้งธรรมดานั้นกลับไม่มีเอาเสียเลย หมายความว่าสารต้านอนุมูลอิสระที่ว่านี้ จะเกิดขึ้นต่อเมื่อขนมปัง ได้ผ่านกระบวนการอบมาเรียบร้อยแล้วเท่านั้น

สารโพรนิลไลซีนนี้เกิดขึ้นมาจาก ปฏิกิริยาของกรดอะมิโนแอล-ไลซีน แป้ง และน้ำตาลในขั้นตอนการอบ ปฏิกิริยานี้เรียกว่า ปฏิกิริยามิลลาร์ด (Maliiard reaction) ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เกิดสีน้ำตาล บนผิวหน้าของขนมปังที่ผ่านการอบแล้ว นอกจากนั้น กระบวนการนี้ยังเป็นตัวสร้างสาร ให้กลิ่นรสชาติให้กับขนมปัง รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่น ๆ อีกด้วย กระบวนการนี้สามารถเกิดได้ ทั้งในขนมปังที่ใช้ยีสต์และไม่ใช้ยีสต์ งานวิจัยยังบอกด้วยว่าขนมปังที่มีสีน้ำตาลเข้มเช่น ขนมปังโฮลวีท จะมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าขนมปังสีขาว นอกจากนี้สารต้านอนุมูลอิสระจะยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น หากก้อนขนมปังที่เข้าเตาอบมีขนาดเล็ก เพราะชิ้นขนมปังเล็ก ๆ นั้นจะมีพื้นผิวที่มากขึ้นในการเกิดปฏิกิริยาในกระบวนการนี้ หากเทียบกับขนมปังที่เป็นก้อนใหญ่ ๆ หรือเป็นปอนด์ แต่ ดร.โทมัสแกก็เตือนเอาไว้ว่า ถ้าหากพยายามอบขนมปังให้เป็นสีน้ำตาลจนเกรียมมากไป สารเคมีที่มีประโยชน์ก็จะอันตรธานไปได้ง่าย ๆ เหมือนกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก women.thaiza.com

ประโยชน์ของ...ขอบขนมปัง, ประโยชน์ของ...ขอบขนมปัง หมายถึง, ประโยชน์ของ...ขอบขนมปัง คือ, ประโยชน์ของ...ขอบขนมปัง ความหมาย, ประโยชน์ของ...ขอบขนมปัง คืออะไร




 

Create Date : 09 ธันวาคม 2557    
Last Update : 9 ธันวาคม 2557 7:42:58 น.
Counter : 1018 Pageviews.  

วิทยาศาสตร์ในภาพยนตร์ Interstellar

วิทยาศาสตร์ในภาพยนตร์
คอลัมน์ ฟิสิกส์ธรรมดาสาระมันส์

โดย Mister Tompkin


*ใครที่ยังไม่ได้ดูหนังไม่ควรอ่านบทวิจารณ์นี้เพราะจะมีการเปิดเผยเนื้อเรื่องสำคัญลองไปดูแล้วค่อยมาอ่านมาแลกเปลี่ยนกันนะครับ*


เวลาที่เดินไม่เท่ากัน

หลุมดำคือ ดาวที่แรงโน้มถ่วงมีความเข้มสูงมากจนไม่มีสิ่งใดเดินทางออกจากดาวดวงนั้นได้ แม้แต่แสงซึ่งเป็นสิ่งที่เคลื่อนที่ได้เร็วที่สุดในเอกภพก็ยังไม่สามารถหลุดออกมาจากหลุมดำได้

ปรากฏการณ์น่าสนใจอย่างหนึ่งที่หนังเรื่อง Interstellar นำเสนอก็คือ เวลาในยานอวกาศที่เข้าใกล้หลุมดำจะเดินช้าเสียจนพอยานอวกาศเดินทางออกมาแล้ว คนบนโลกอาจจะแก่หง่อมหรือล้มหายตายจากไป

ยกตัวอย่างเช่น 1 ชม.ของคนที่อยู่ใกล้หลุมดำอาจจะเท่ากับ 7 ปีของคนที่อยู่บนโลก

แปลกดีนะครับ ถ้านักเรียนอายุ 15 ปีคนหนึ่งแวะไปนั่งกินข้าว ดูรายการทีวีอยู่ใกล้ๆ หลุมดำแค่ชั่วโมงเดียว จากนั้นรีบเดินทางกลับมายังโลกอย่างรวดเร็ว พอมาถึงโลกเพื่อนๆ อาจจะเปลี่ยนแปลงไปมากจนแทบจำหน้าจำตาไม่ได้เพราะเพื่อนจะมีอายุอย่างน้อยๆ ก็ 22 ปี! พูดง่ายๆ ว่ากลับมาเพื่อนๆ เรียนจบมหาวิทยาลัยไปแล้ว ส่วนตนเองยังอยู่ ม.3 อยู่เลย

ปรากฏการณ์เรื่องเวลาในลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เพราะเคยปรากฏมาให้เห็นตามภาพยนตร์เรื่องอื่นหรือการ์ตูนอื่นๆมาแล้ว เช่น
-การ์ตูนเรื่องดราก้อนบอล มีห้องกาลเวลาที่ผู้เข้าไปฝึกวิชาด้านในห้องนั้นรู้สึกว่าเวลาผ่านไปนานหลายเดือน แต่โลกภายนอกเวลาผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง

-บางศาสนามีความเชื่อว่าเวลาบนสวรรค์นั้นผ่านไปช้ามาก
มีเรื่องเล่าว่าเทพธิดาองค์หนึ่งสิ้นบุญเลยลงมาจุติมาเป็นมนุษย์ในขณะที่กำลังเก็บดอกไม้อยู่ในสวนกับเพื่อนเทพธิดาองค์อื่นๆระหว่างที่เกิดเป็นมนุษย์ก็ใช้ชีวิตบนโลกโดยทำบุญสุนทานอยู่เสมอจนกระทั่งแก่ชราเสียชีวิตไป เนื่องจากตอนเป็นมนุษย์ได้ทำบุญไว้มาก ผลบุญจึงส่งให้กลับไปเกิดบนสวรรค์ชั้นเดิมที่สวนดอกไม้เดิม ทว่าเวลาบนสวรรค์นั้นผ่านไปเพียงชั่วครู่เท่านั้น เทพธิดาองค์อื่นๆ กำลังหาเทพธิดาองค์ที่หายไปเลยถามว่าหายไปไหนมา เก็บดอกไม้อยู่ด้วยกันดีๆ จู่ๆ ก็หายไป!

หลายคนดู Interstellar แล้วคงสงสัยว่า ถ้าเข้าไปใกล้หลุมดำแล้วเวลาจะเดินช้าลงจริงหรือ?

คำตอบคือจริงครับ ภาพยนตร์เรื่องนี้อาศัยหลักวิทยาศาสตร์มาอธิบายปรากฏการณ์เวลาได้อย่างดีทำให้ผมรู้สึกว่าแตกต่างจากที่เคยมี

เรื่องน่าแปลกในธรรมชาติก็คือแรงโน้มถ่วงสามารถส่งผลต่อเวลาได้ ยิ่งแรงโน้มถ่วงเข้มเวลายิ่งเดินช้า ดังนั้นนาฬิกาที่อยู่บนผิวดาวพฤหัสฯย่อมเดินช้ากว่าเวลาที่อยู่บนผิวโลกเนื่องจากผิวดาวพฤหัสฯมีแรงโน้มถ่วงมากกว่า

เรื่องนี้นักวิทยาศาสตร์ทำการพิสูจน์แล้วนะครับว่าเป็นความจริง

"นาฬิกาที่ลอยอยู่สูงจากผิวโลกขึ้นไปหลายกิโลเมตรกับนาฬิกาที่วางอยู่บนพื้นโลกตามปกติ เรือนไหนจะเดินช้ากว่ากัน"

คำตอบคือนาฬิกาที่อยู่บนผิวโลกจะเดินช้ากว่าเนื่องจากผิวโลกเรามีแรงโน้มถ่วงมากกว่ายิ่งห่างจากผิวโลกออกไปแรงโน้มถ่วงยิ่งน้อยลง

นักวิทยาศาสตร์ทดสอบทฤษฎีนี้โดยการนำนาฬิกาอะตอมซึ่งมีความละเอียดสูงมากไปวางไว้บนเครื่องบินจากนั้นให้เครื่องบินทำการบินรอบโลกระยะหนึ่ง จากนั้นนำนาฬิกามาเปรียบเทียบกับนาฬิกาอะตอมที่อยู่บนพื้นโลก

พอคำนวณและหักลบผลของการเคลื่อนที่อย่างละเอียดแล้ว

แรงโน้มถ่วงส่งผลต่อเวลาได้จริง

นี่แหละครับเซอร์ อาเธอร์ เอ็ดดิงตัน (Arthur Stanley Eddington) นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ นักฟิสิกส์ผู้ปราดเปรื่องถึงเคยกล่าวไว้ว่า

"เอกภพเราอาจไม่ได้แปลกกว่าที่เราจินตนาการไว้ แต่แปลกเกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้"

ปล.ใครยังอยากคุยเรื่อง Interstellar ต่อลองอ่านลองฟังทางนี้ได้ครับ //www.facebook.com/witcastthailand

รับรองว่าจุใจเลยทีเดียว




 

Create Date : 09 ธันวาคม 2557    
Last Update : 9 ธันวาคม 2557 7:42:03 น.
Counter : 907 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.