ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

เล่าเรื่องสุดช็อก "ไปกินข้าวที่ร้าน"แต่ "มีเสียงดังแปลกๆ" พอหาต้นตอเจอทำเอาตาตลนเลย ว่าทำไปได้ยังไง



เรียกเจอแบบนี้ไปใครก็ต้องงกันเป็นธรรมดาแหละ ยิ่งเป็นมื้ออาหารที่พิเศษแต่งต้องเจอเตุการณ์แบบนี้ด้วยแล้วก็คงจะทานไม่อร่อยแน่นอน เหมือน "ชาวเน็ตรายนี้" ที่ออกเล่าประสบการณ์สุดช็อกกลางร้านอาหาร เรื่องราวเกิดขึ้นร้านอาหารประเทศหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ช็อกสายตาผู้พบเห็นมากเลยก็ว่าได้

ซึ่งเรื่องราวที่ "ชาวเน็ต" เจอคือ "เค้าได้เข้าไปรับประทานที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แต่สักพักกับได้ยินแปลกดังออกมาจากห้องข้างๆ จึงเดินตามเสียงไปดูจนเจอต้นตอที่มาทำเอาตะลึงไปเลย  เพราะภาพที่มาของเสียงนั้นคู่รักกำลังมีเพศสัมพันธ์กัน "

งานนี้บอกได้คำว่าช็อกมากๆ เพราะใครจะไปคาดคิดล่ะว่าจะต้องเจอเรื่องแบบนี้กลางร้านอาหาร ถ้าจะทำขนาดนี้ไปโรงแรมดีกว่ามั๊ย.........

ขอบคุณที่มา://www.tsood.com/contents/152044/




 

Create Date : 23 กันยายน 2559    
Last Update : 23 กันยายน 2559 8:57:21 น.
Counter : 21155 Pageviews.  

"หมู่บ้านหน้ากาก"เมืองที่ตั้งอยู่ท่ามกลางการปะทุของภูเขาไปและก๊าซพิษ จนชาวบ้านต้องใส่หน้ากากตลอดเวลา



Miyake-jima เป็นเมืองแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น มันตั้งอยู่บริเวณภูเขาไฟสูงที่ยังปะทุ ทั้งยังเต็มไปด้วยก๊าซพิษ ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องออกกฎหมายทำหน้ากากป้องกันแก๊สเพื่อบังคับให้คนออกจากเมืองนั้น

โดยเมือง Miyake-jima ตั้งอยู่ห่างจากกรุงโตเกียวประมาณ 180 กิโลเมตรมันถูกครอลคลุมไปด้ยเขม่าควันจากภูเขาไฟที่ยังปะทุอยู่

ภายในเมืองมีไซเรนเตือนภัยติดตั้งไว้ทุกที่ ทุกครั้งที่กรดซัลฟูริกปะทุขึ้นจะมีไซเรนแจ้งเตือนไปทุกที่ให้ชาวบ้านได้รับรู้

ว่ากันว่าในช่วงศตวรรษที่ผ่านมาภูเขาไฟปะทุขึ้นมากถึง 6 ครั้ง และครั้งที่เลวร้ายที่่สุดเกิดขึ้นในปี 2000 และเกิดแผ่นดินไหวตามมา

มีการรั่วไหลของสารพิษจากแผ่นดิน ดังนั้นรัฐบาลจึงทำการอพยพประชาชนกว่า 3,600 คน แต่หลังจากที่สถานการณ์ควบคุมได้ประชาชนก็ได้รับอนุญาตให้กลับมาอยู่ในเมืองได้ พร้อมกับกฎระเบียบอันเข้มงวดเกี่ยวกับการใช้งานของหน้ากากป้องกันแก๊ส

และหลังจากที่เหตุการณ์เกิดขึ้นเขม่าควันก็เพิ่มสูงขึ้นเกือบ 10 ไมล์ เมืองทั้งเมืองถูกปกคลุมไปด้วยเขม่าควันนานกว่า 5 ปีเต็ม เมืองทั้งเมืองมีเพียงกองไม้จากต้นไม้ที่ตายแล้ว ยานพาหนะที่ถูกสนิมกัดกิน มันกลายเป็นดินแดนแห้งแล้ง

ประชาชนจะถูกควบคุมเรื่องการใส่หน้ากากป้องกันแก๊สอยู่ตลอด ทั้งยังมีการสอนประชาชนให้รู้จักรับมือเมื่อเผชิญกับก๊าซพิษในระดับสูง

ภูเขา Ōyama ยังคงปล่อยก๊าซพิษ 10,000 - 20,000 ตันในอีก 2 ปีข้างหน้า ในปี 2005 ประชาชนได้รับอนุญาตให้กลับไปที่เมืองได้ แต่พบว่า 20% ของเมืองไม่เอื้ออำนวยต่อการอาศัยอยู่แล้ว

มีเพียง 2,800 คนที่เลือกจะกลับมาอยู่ในเมืองและเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทางรัฐบาลจึงดำเนินการตรวจสอบสุขภาพ ระดับก๊าซพิษในร่างกายและรักษาความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ




 

Create Date : 22 กันยายน 2559    
Last Update : 22 กันยายน 2559 8:45:55 น.
Counter : 3195 Pageviews.  

แปลกแต่จริง !! รวม 6 เรื่องปริศนาเร้นลับสะเทือนโลก เหนือธรรมชาติ



รวมเรื่องจริงและทฤษฎีเบื้องหลัง 6 ปริศนาเร้นลับสะเทือนโลกที่ยังไม่มีใครสามารถหาคำตอบได้แน่ชัด

เชื่อว่าคนเราหลายๆคนต้องชื่นชอบเรื่องเร้นลับกันเป็นธรรมดา ยิ่งน่าพิศวงมากเท่าไร่ก็ยิ่งถูกใจ แม้ว่าปัจจุบันเราจะเป็นมนุษย์ยุคศตวรรษที่ 21 แล้ว แต่ถึงอย่างไรเราก็ยังชอบเรื่องราวที่ดูเหมือนจะท้าทายหลักตรรกะและความเป็นจริง แล้วเอาไปเชื่อมโยงกับสิ่งเร้นลับเหนือธรรมชาติอยู่ดี ส่วนจะเชื่อไม่เชื่อหรืออย่างไรนั้น คงต้องแล้วแต่คุณตัดสินใจเองแล้วล่ะ

ปริศนาเทือกเขาดยัตลอฟ: เรื่องจริง

ในคืนวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1959 กลุ่มนักสกีและปีนเขาวัยรุ่นรวม 9 คนได้เสียชีวิตลงอย่างเป็นปริศนาที่ในแถบเทือกเขาอูราล บนภูเขาโคแลตสแยกหล์ หรือที่ขึ้นชื่อว่า “เมือกเขามรณะ” ในรัสเซีย ทีมนักสืบสวนระบุว่าพวกเขาจำนวนหนึ่งฉีกเต็นท์ที่พักออกมาทั้งๆที่ไม่ได้สวมรองเท้า แล้วยังลุยหิมะหนาท่ามกลางอุณหภูมิ -30 °C แต่สภาพศพก็ไม่ได้แสดงหลักฐานของการดิ้นรนใดๆ นอกเสียจากว่าพวกเขาต่างก็อยู่ในสภาพที่เกือบจะไม่ได้สวมเสื้อผ้า บางคนถึงขนาดสวมแต่กางเกงใน มี 2 คนที่กะโหลกศีรษะร้าว, 2 คนซี่โครงหัก และอีก 1 คนที่ลิ้นหายไป ผลการชันสูตรผมว่ามี 6 คนที่เสียชีวิตจากความหนาว ส่วนอีก 3 คนเสียชีวิตเพราะได้รับบาดเจ็บรุนแรง

ไม่มีผู้รอดชีวิตจากเหตุดังกล่าว แต่ภาพที่ได้จากฟิล์มที่พบในสถานที่ตั้งแคมป์ แสดงให้เห็น อิกอร์ ดยัตลอฟ หัวหน้าทีม ที่ยืนอยู่ห่างไปด้านหลัง ขณะที่ ยูริ นูดิน (คนกลาง) กำลังสวมกอดเพื่อบอกลากับ ลยุดมิลา ดูบินิน่า ก่อนที่จะถอนตัวออกจากการเดินทางก่อนเพราะมีอาการเจ็บป่วย

บางคนระบุว่าสาเหตุเกิดมาจาดการทดลองอาวุธที่พวกทหารพยายามปกปิด ผู้ที่ไปร่วมงานศพของทีมนักปีนเขาผู้เสียชีวิตระบุว่า ผิวของผู้ตาย 5 คนมีสี “น้ำตาล-แทนเข้ม” ในขณะที่คนอื่นๆสวมใส่เสื้อผ้าที่ปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีเข้มข้น นักปีนเขาอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปจากสถานที่เกิดเหตุราว 50 กม. ในคืนเดียวกันนั้นระบุว่า พวกเขาเห็นลูกไฟสีส้มบนท้องฟ้า แต่ต่อมาก็ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นจรวดมิสไซล์ R-7

สาเหตุที่จะเป็นไปได้ที่สุดก็คือ หิมะถล่ม ที่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมแคมป์ที่พักถึงถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ โดยนักปีนเขาผู้เคราะห์ร้ายอาจจะต้องหาทางเอาชีวิตรอด จึงฉีกเต็นท์หนีออกมา แล้วก็ต้องเผชิญกับความหนาวเหน็บ สภาวะร่างกายสูญเสียความร้อนอาจจะส่งผลให้เกิดภาพหลอนทำให้สมองทำงานผิดเพี้ยนไปในทิศทางตรงกันข้าม คือทำให้คิดไปว่าตัวเองรู้สึกอบอุ่นจนอยากถอดเสื้อผ้าออก พวกเขาหลายๆคนจึงอยู่ในสภาพที่สวมใส่เสื้อผ้าได้ไม่เรียบร้อยดีนัก และนั่นยิ่งทำให้ร่างกายยิ่งสูญเสียความร้อนรุนแรงมากขึ้นไปอีกจนกระทั่งเสียชีวิต ส่วนเรื่องอาการบาดเจ็บทางร่างกายและลิ้นที่ขาดหายไปก็คาดว่าน่าจะเกิดจากหิมะถล่ม หรือไม่ก็ตอนที่พยายามหนีจากหิมะถล่ม และการที่ร่างของพวกเขาต้องนอนอยู่กลางสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้างเป็นเวลานาน ก็อาจทำให้สัตว์ต่างๆเข้ามาทำร้ายหรือกัดกินได้นั่นเอง

แต่แม้ทฤษฎีหิมะถล่มจะฟังดูสมเหตุสมผลมากแค่ไหน ถึงอย่างไรเราก็ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมเสื้อผ้าของเหยื่อบางคนถึงได้ปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีเข้มข้นได้อยู่ดี?

ปริศนาหน้ากากตะกั่ว: เรื่องจริง

ในช่วงบ่ายของวันที่ 20 สิงหาคม 1966 เด็กหนุ่มคนหนึ่งได้ขึ้นไปเล่นว่าวที่ภูเขาวินตัม ในรีโอเดจาเนโร บราซิล แล้วบังเอิญไปพบศพของชาย 2 คนนอนอยู่ข้างๆกัน ปกคลุมด้วยหญ้าเล็กน้อย โดยที่ทั้ง 2 ร่างต่างก็สวมชุดสูท, เสื้อโค้ทกันน้ำ และหน้ากากตะกั่วปิดตาแบบเดียวกับที่ใช้เพื่อป้องกันรังสี ที่ข้างๆร่างทั้ง 2 ตำรวจได้พบขวดน้ำเปล่า, ผ้าเย็นสองห่อ รวมทั้งสมุดโน้ตที่จดบันทึกข้อความไว้ว่า ” 16.30 ไปยังสถานที่ที่ได้ตกลงไว้ 18.30 กลืนแคปซูล, ผลกระทบ, โลหะป้องกัน, รอสัญญาณ”

ชายทั้ง 2 ถูกระบุว่าเป็นเจ้าหน้าที่เทคนิคไฟฟ้าชื่อ มานูเอล เปไรรา เดอ ครูซ และ มิเกล โจเซ วิอานา ที่เดินทาง 260 กม. มายังเมืองรีโอจากบ้านของพวกเขา พยานระบุว่าทั้ง 2 ได้ซื้อเสื้อโค้ทและน้ำจากร้านค้าในละแวกนั้น พยานคนที่เห็นชายทั้ง 2 ในขณะที่ยังมีชีวิตเป็นคนสุดท้ายให้ปากคำไว้ว่า นายมิเกล ดูกังวลเรื่องเวลาเอามากๆ เพราะเขาคอยมองดูนาฬิกาข้อมือของตัวเองอยู่บ่อยครั้ง

กว่าที่เจ้าหน้าที่จะสามารถเข้าไปทำการชันสูตรได้ ร่างทั้ง 2 ก็อยู่ในสภาพที่เริ่มย่อยสลายจนเกินกว่าที่จะตรวจสอบปริมาณสารพิษในร่างกายได้แล้ว สภาพศพก็ไม่ได้แสดงถึงอาการบาดเจ็บใดๆ จึงไม่สามารถระบุถึงสาเหตุการตายของชายทั้ง 2 คนได้ บางคนเชื่อว่าชายทั้ง 2 ถูกลวงมายังที่เกิดเหตุซึ่งเป็นจุดห่างไหลโดยบุคคลที่สามแล้วถูกฆาตรกรรม บางคนเชื่อว่าเขาทั้ง 2 คือผู้เดินทางข้ามผ่านเวลามา แล้วหน้ากากตะกั่วและโค้ทกันฝันก็เป็นของที่จะถูกใช้ระหว่างการเดินทางข้ามเวลานั้นๆ ส่วนทฤษฎีที่เป็นที่พูดถึงกันมากที่สุดก็คือ พวกเขาเป็นผู้ที่คลั่งไคล้ยานต่างดาวหรือ UFO และกำลังออกตามหายานต่างดาวอยู่ แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าทำไมพวกเขาถึงเสียชีวิต

น่าแปลกที่อาคารพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย ผลงานของสถาปนิกชื่อดัง Oscar Niemeyer ซึ่งมีรูปร่างคล้ายยานต่างดาว (ดังภาพ) ก็สร้างขึ้นเสร็จที่เมืองรีโอฯในปีเดียวกันนั้น ราวกับว่า นี่แหละคือสิ่งที่นายมานูเอลและมิเกลต่างก็เฝ้ารออยู่เมื่อตอนก่อนจะเสียชีวิต

ปริศนาเรือแมรี่เซเลสต์: เรื่องจริง

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 1872 ลูกเรือเ ดอี กราเซีย สัญชาติแคนาดาได้พบเรือบรรทุกสินค้าสัญชาติอังกฤษ-อเมริกาชื่อ แมรี่เซเลสต์ ลอยลำอยู่ใกล้ๆกับหมู่เกาะอะซอเรส กลางมหาสมุทรแอตแลนติก โดยไม่มีลูกเรืออยู่บนเรือเลยซักคนเดียว ทั้งๆที่สภาพอากาศก็ปกติดี และตัวเรือก็สามารถใช้เดินทางได้แถมยังมีเสบียงอาหารและน้ำที่จะใช้ไปได้นานถึง 6 เดือน สินค้าที่บรรทุกมาก็ไม่ได้สูญหาย แม้แต่ของมีค่าของลูกเรือก็ยังคงอยู่ดีไม่มีใครแตะต้อง แต่เป็นลูกเรือทั้งหมด 7 คนที่หายตัวไปอย่างไม่เป็นเหตุเป็นผลเอาซะเลย

ตัดทฤษฎีเรื่องที่ว่าเอลี่ยนลักพาตัว, สัตว์ประหลาดยักษ์กลางทะเล, สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา, โจรสลัด, การกบฎบนเรือทิ้งไปได้ เพราะสาเหตุที่น่าจะอธิบายการหายตัวไปของ กัปตันบริกส์ (คนซ้าย), ลูกสาววัย 2 ขวบ โซเฟีย (คนกลาง), ภรรยา ซาราห์ (คนขวา) และลูกเรืออีก 4 คนน่าจะเกิดมาจากสินค้าที่พวกเขบรรทุกมาบนเรือนั่นเอง จากแอลกอฮอล์ทั้งหมด 1,071 ถัง มีการพบว่า 9 ถังในนั้นว่างเปล่า เลยเชื่อกันว่าแอลกอฮอล์ในนั้นเกิดระเหยออกมาทำให้กัปตันและลูกเรือเกิดความหวาดกลัวว่าเรือทั้งลำจะระเบิด ลูกเรือทั้งหมดจึงหนีไปลงเรือชูชีพและไม่เคยได้กลับไปถึงฝั่งอีกเลย

ปริศนาเรือเหาะเล็ก L-8 ตก: เรื่องจริง

ระหว่างการออกบินลาดตระเวนตามปกติในเช้าของวันที่ 16 สิงหาคม 1942 เรือเหาะเล็ก L-8 ของกองทัพเรือสหรัฐฯได้ลอยลำออกนอกเส้นทางลาดตระเวนเหนือมหาสมุทรแปซิฟิคเข้าสู่แผ่นดิน ก่อนจะไปตกที่ในเดลีซิตี แคลิฟอร์เนีย บานประตูเรือถูกเปิด และกลอนนิรภัยที่ทำหน้าที่ปิดล็อคทางเข้าออกกลับหลุดเสียหาย ร้อยโทเออร์เนสต์ เดวิทท์ โคดี และนายธง ชาร์ลส์ เอลลิส อดัมส์ 2 ลูกเรือมากประสบการณ์กลับสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย เรือเหาะลำดังกล่าวถูกขนานนามว่าเป็น “เรือเหาะผี” หลังจากหายสาบสูญไปนานหลายปี ทางการก็ประกาศให้ลูกเรือทั้ง 2 คนถือว่าเสียชีวิตอย่างเป็นทางการ

มีการคาดเดาต่างๆนานาถึงสาเหตุของปริศนาครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเอเลี่ยนลักพาตัว หรือแผนการปกปิดของรัฐบาล แต่ก็มีคำอธิบายหนึงที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดและก็น่าเศร้าที่สุดว่า ลูกเรือคนหนึ่งอาจจะพลัดตกขณะพยายามซ่อมภายนอกตัวเรือเหาะ และพอลูกเรือคนหนึ่งพลัดตกไปแล้ว ก็เกิดทำให้เรือเหาะเสียสมดุลย์อย่างกะทันหันจนพลิกหมุนกลางอากาศ ทำให้ลูกเรือคนที่เหลือพลัดตกตามลงไปจากประตูที่ถูกเปิดทิ้งไว้

ปริศนานายเบนจาแมน ไคลย์: เรื่องจริง

ชายที่รู้จักกันในชื่อของ เบนจาแมน ไคลย์ ถูกพบเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2004 ที่หลังร้านเบอร์เกอร์คิงในจอร์เจีย สหรัฐฯ โดยที่เขาไม่ได้สวมเสื้อผ้า, ไม่มีบัตรประชาชน และไม่มีความทรงจำใดๆหลงเหลืออยู่ แพทย์ตรวจพบว่าเขามีอาการความจำเสื่อม แม้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมทั้ง FBI จะร่วมเข้าช่วยเหลือเพื่อตามหาญาติและตัวตนที่แท้จริงของเขา ก็กลับล้มเหลว ตอนนี้ ไคลย์ เลยเป็นพลเมืองชาวอเมริกันเพียงคนเดียวที่ถูกระบุว่าหายสาบสูญ แม้ทุกคนจะรู้ว่าตอนนี้เขากำลังพักอาศัยอยู่ที่ไหน เขาเอาชื่อ เบนจาแมน ไคลย์ มาจากอักษรย่อของร้าน เบอร์เกอร์คิง (B.K.) เขาใช้ชีวิตโดยที่ไม่มีเลขประจำตัว เลยไม่สามารถเข้าทำงานหรือแม้แต่ขอใช้บริการในสถานพักพิงของคนเร่ร่อนได้

แตกต่างจากปริศนาเรื่องอื่นตรงที่ว่า เรื่องราวของเบนจาแมน ไคลย์ยังมีความเป็นไปได้ที่จะจบลงอย่างสวยงาม ตอนนี้ ไคลย์ มีเพื่อนผู้หวังดีมากมายที่ช่วยกันตามหาว่าเขาเป็นใคร หนึ่งในนั้นคือ ศิลปินชื่อดัง มิเกล เอนดารา (คนซ้าย) ที่ขายผลงานภาพวาดรูปไคลย์เพื่อนำรายได้มาช่วยในการค้นหาตัวตนที่แท้จริงของเขา ภาพยนตร์สั้นเรื่อง ‘Finding Benjaman’ ผลงานของ จอห์น วิคสตรอม ได้รับการนำไปฉายในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ฯลฯ รวมทั้งมีการเปิดเว็บไซต์ findingbenjaman.com สำหรับภารกิจนี้โดยเฉพาะ

ปริศนาเจ้าสาวศพสวย: เรื่องจริง

เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 1930 มีหุ่นโชว์เสื้อชุดเจ้าสาวที่เหมือนจริงแบบสุดๆปรากฏขึ้นที่ในร้านค้าที่ชิฮวาฮวา เม็กซิโก ซึ่งความเหมือนจริงดังกล่าวทำให้เป็นที่กล่าวขานกันทั่วทั้งหมู่ชาวเมืองทันที มีการเทียบใบหน้าของหุ่นว่าคล้ายคลึงกับใบหน้าของ Pascuala Esparz เจ้าของร้าน แล้วข่าวลือก็ลุกลามกันไปต่อว่าอันที่จริงแล้ว หุ่นโชว์เสื้อดังกล่าวเป็นศพของลูกสาวเจ้าของร้าน ผู้ซึ่งเสียชีวิตในงานแต่งงานของตัวเองเนื่องจากถูกแมงมุมแม่หม้ายดำกัดเมื่อก่อนหน้านั้นไม่นาน และได้ผ่านกระบวนการรักษาสภาพเป็นอย่างดี ทุกวันนี้ผู้คนมากมายจากทั่วโลกก็ยังคงเดินทางมีที่นี่เพื่อชม ‘La Pascualita’ หุ่นเจ้าสาวที่มีรายละเอียดเกินกว่าจะเชื่อว่าเป็นแค่หุ่น

จากรูปนี้แล้วคุณคิดว่าเป็นหุ่นหรือเปล่า? เพราะเราคิดว่านี่คือหุ่นจริงๆไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น การรักษาสภาพศพไม่ใช่เรื่องที่ทำกันได้ง่ายๆ แม้จะรักษาสภาพได้ดีแค่ไหน ยังไงก็ต้องมีอะไรที่เปื้อนซึมออกมาบ้างเสมอๆ ทำให้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะจับเอามาสวมชุดสีขาวตลอดเวลาเช่นนี้ เราเลยมองว่าน่าจะเป็นแค่ตำนานหนึ่งที่ผู้คนในเมืองบอกต่อๆกันมา และพวกเขาก็ปล่อยให้เชื่อกันเช่นนั้นเพราะกลายเป็นเรื่องบันเทิงไปแล้ว

ขอบคุณที่มา: ที่มา: msn.com/th-th/news/other/รวมปริศนาเร้นลับสะเทือนโลก/ss-AADN6z?ocid=UP97DHP#image=1
//www.moohundesign.com/2014/11/03/แปลกแต่จริง-รวม-6-เรื่องป/




 

Create Date : 18 กันยายน 2559    
Last Update : 18 กันยายน 2559 12:36:43 น.
Counter : 607 Pageviews.  

ปริศนาเรือลึกลับ !? บนเกาะที่ห่างไกลที่สุดในโลก.



 ปริศนาเรือลึกลับ บนเกาะที่ห่างไกลที่สุดในโลก

ถ้าพูดถึงสถานที่ๆ อยู่ห่างไกลผู้คนที่สุด จะต้องมีชื่อของ เกาะบูเวต (Bouvet Island) อย่างแน่นอน



เกาะบูเวต เป็นเกาะเล็กๆ ที่มีพื้นที่ราว 50 ตารางกิโลเมตร ที่อยู่ห่างจากแอนตาร์กติกาถึง 1,600 กิโลเมตร ห่างจากเกาะ Tristan da Cunha ที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ถึง 2,250 กิโลเมตร รวมไปถึงอยู่ห่างจากแอฟริกาใต้ถึง 2,570 กิโลเมตร จึงทำให้ที่นี่เป็นเกาะที่อยู่ห่างไกลมากที่สุดในโลกก็ว่าได้



เดิมทีเกาะแห่งนี้ถูกค้นพบโดย ฌอง แบบติสต์ ชาร์ลส บูเวต เดอ โลเซียร์ นักสำรวจชาวนอร์เวย์ ตั้งแต่ปี 1739 โดยเป็นเกาะที่ว่างเปล่า มีแต่หินและน้ำแข็ง ไม่มีพืชใดๆ นอกจากตะไคร่น้ำ จนกระทั่งในปี 1929 มันกลายเป็นดินแดนของนอร์เวย์อย่างสมบูรณ์



ในปี 1950 รัฐบาลของแอฟริกาใต้ได้รับอนุญาตจากนอร์เวย์ ให้สามารถเข้าไปตรวจสอบบนเกาะแห่งนี้ เพื่อดูทำเลในการก่อสร้างสถานีเรือกำปั่น แต่สุดท้ายก็พบว่าสภาพภูมิประเทศบนเกาะแห่งนี้ไม่เหมาะกับความต้องการของพวกเขา




ส่วนเรื่องลึกลับที่สุด เกิดขึ้นเมื่อเดือนเมษายนปี 1964 เมื่อรัฐบาลแอฟริกาใต้ส่งคนกลับยังเกาะบูเวตอีกครั้งเพื่อศึกษาส่วนที่ใหม่กว่าของเกาะ ซึ่งจุดนี้เอง ที่พวกเขาพบว่ามีเรือลึกลับลำหนึ่งอยู่บนเกาะพร้อมกับไม้พายคู่หนึ่งที่ห่างออกไปไม่กี่ร้อยหลา ถึงแม้จะพบหลักฐานว่ามีคนมากับเรือ แต่ไม่มีการพบศพมนุษย์ใดๆ ทั้งสิ้นบนเกาะ บนเรือไม่มีสัญลักษณ์ใดๆ พอที่จะระบุได้ว่า เป็นเรือของใครและมาจากไหนกันแน่



มีคำถามมากมายเกี่ยวกับการพบเรือลึกลับลำนี้ เหตุผลก็คือทำไมเรือพายเล็กๆ ถึงมายังเกาะที่ห่างไกลผู้คนได้ขนาดนี้ ระยะทางที่สั้นที่สุดจากแผ่นดินที่มีคนอาศัยอยู่ยังไกลมากกว่า 2,000 กิโลเมตร ซึ่งไม่น่าจะมีใครที่พายเรือด้วยไม้พายมาถึงเกาะบูเวตได้เลย แล้วใครล่ะที่อยู่บนเรือ พวกเขาไปไหน หรือเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันแน่ สิ่งของอื่นๆ นอกจากไม้พายแล้วก็ไม่พบอะไรอื่นอีก



ไมค์ แดช นักประวัติศาสตร์ชาวลอนดอน ได้พยายามศึกษาหาข้อหามูลเพื่อมาตอบคำถามเหล่านี้ แต่เขาก็กลับมามือเปล่า โดยที่ไม่ได้คำตอบอะไรที่เป็นรูปธรรมได้เลย

เป็นเวลากว่าครึ่งศตวรรษ ที่ยังไม่มีใครสามารถหาคำตอบเกี่ยวกับที่มาที่ไปของเรือปริศนาบนเกาะบูเวตได้เลย และนี่คือหนึ่งในเรื่องราวลึกลับในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ที่ยังคงเป็นปริศนาจนกระทั่งทุกวันนี้.





 

Create Date : 07 สิงหาคม 2559    
Last Update : 7 สิงหาคม 2559 19:25:39 น.
Counter : 1277 Pageviews.  

แอบหลอน !? ที่.. สิงค์โปร์ !!!





ขอพาเพื่อนๆ ไปดู งาน Singapore Night Festival 2014 กันครับ
งานช่วงกลางคืน เรียกเสียงฮือฮาได้มากเลยครับ
เนื่องจากการทำให้สวนสาธารณะ ต้นไม้สูงใหญ่
เปลี่ยนเป็นใบหน้า มนุษย์ มากมาย
แต่ใครจะมองว่าสวยก็มองไปน่ะ
ส่วนตัวผมว่า ทำไมมันดู หลอนๆ ก็ไม่รู้.

...




























...

มาครับจะพาไปดูว่า ในงานมีการแสดงอะไรบ้าง
นิ่งๆว่าหลอนแล้ว มาดูแบบเคลื่อนไหนกันบ้าง




https://www.google.co.th/search?q=Singapore+Night+Festival&espv=2&biw=1914&bih=858&source=lnms&tbm=isch&sa=X&ved=0ahUKEwi2wI3Zp63OAhVCtY8KHYuHBXkQ_AUIBigB




 

Create Date : 07 สิงหาคม 2559    
Last Update : 7 สิงหาคม 2559 17:54:28 น.
Counter : 774 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.