ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

ย้อนรอยไปชมหนังสือโป๊ในประวัติศาสตร์จีน

ยุคจีนโบราณมีอุตสาหกรรมหนังสือโป๊ที่รุ่งเรืองมาแต่อดีต บางยุคก็ก้าวหน้าที่สุดในโลก (ส่วนหนึ่งเพราะเป็นชาติแรกที่มีเทคโนโลยีการพิมพ์ คือมีตั้งแต่สมัยถัง ก่อนหน้าชาติตะวันตกถึงสี่ร้อยปี)

นอกจากนั้นจีนยังมีวัฒนธรรมการวิพากษ์วิจารณ์สิ่งต่างๆ โดยขณะที่วัฒนธรรมกระแสหลักของจีนคือแบบขงจื้อ แต่ทุกราชวงศ์จะมีบัณฑิตที่มีชื่อเสียง ตั้งข้อสงสัย และวิจารณ์ขงจื้ออย่างเผ็ดร้อน

ในลักษณะดังกล่าวหนังสือโป๊จึงกลายเป็นอาวุธสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับคนหนุ่มสาวผู้มีหัวใจกบฏ พวกเขาจะซื้อหนังสือเหล่านี้มาอ่าน เพื่อต่อต้านความคร่ำครึ กับการกดขี่ทางเพศของขงจื้อนั่นเอง

และอีกอย่าง ผู้ชายจีนโบราณมีอารมณ์กับเท้าเล็กๆ ของผู้หญิง เหมือนผู้ชายปัจจุบันมีอารมณ์กับนมใหญ่ๆ ดังนั้นในหนังสือโป๊เท้าผู้หญิงจะเด่นมาก 

พวกนางจะใส่รองเท้าแม้เวลามีเพศสัมพันธ์ เพราะพอถอดรองเท้าออกเห็นว่าถูกรัดจนพิการ ส่วนใหญ่ผู้ชายก็จะหมดอารมณ์ ดังนั้นผู้หญิงจึงถูกคาดหวังให้ใส่รองเท้าอยู่เสมอต่อหน้าผู้ชาย (รวมถึงเวลามีเพศสัมพันธ์ แต่ตอนนั้นอาจจะเปลี่ยนเป็นรองเท้าแบบไม่มีส้นสูงแล้วค่อยมาเล่น) 

ในสมัยราชวงศ์ชิงมีตำราการใช้เท้าเล็กๆ ของผู้หญิงในการเล่น sex พิสดารถึง 48 ท่า 



ในภาพแนบนี้ถ้าเป็นเมื่อก่อนถือว่าลามก 18+ เพราะกุลสตรีจีนที่ดีจะพยายามปกปิดเท้าไม่ให้ผู้ชายเห็นง่ายๆ เหมือนผู้หญิงสมัยนี้ปิดนม 

เล่นท่าพิสดาร

ชาย-ชาย

ขอบคุณที่มาจาก

https://www.facebook.com/pongsorn.bhumiwat/photos/a.630268007049912.1073741831.609007899175923/633728136703899/?type=1&theater




 

Create Date : 27 พฤษภาคม 2557    
Last Update : 27 พฤษภาคม 2557 8:31:13 น.
Counter : 2522 Pageviews.  

8 แนวทางของมนุษย์เงินเดือนที่ไม่พอใช้



ที่มา: //www.momypedia.com/index.php?op=webboard-detail&cid=8&tid=1028454




 

Create Date : 26 พฤษภาคม 2557    
Last Update : 26 พฤษภาคม 2557 8:25:33 น.
Counter : 1286 Pageviews.  

ความเชื่อเกี่ยวกับตุ๊กตาไล่ฝนของญี่ปุ่น

      ตุ๊กตาพื้นบ้านแบบหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นที่ปรากฏเห็นได้ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นในชนบทหรือใจกลางของเมืองหลวง  ตุ๊กตาตัวนี้มักจะถูกผูกห้อยแขวนไว้กับชายหลังคาบ้านหรือแขวนประดับไว้บนขอบ หน้าต่างหรือบนกิ่งไม้ ทั้งๆที่มันมีรูปร่างที่แสนจะเรียบง่ายธรรมดา ทำขึ้นง่ายๆด้วยเศษผ้าหรือกระดาษสีขาว แต่ไม่น่าเชื่อว่า ตุ๊กตาที่สุดแสนจะธรรมดานี้ กลับมีอิทธิพลต่อคติความเชื่อของชาวญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน เชื่อกันว่า หากแขวนมันไว้ จะทำให้รุ่งขึ้นของวันพรุ่งนี้ ท้องฟ้าจะปลอดโปร่งแจ่มใส  แน่นอนว่า ตุ๊กตาตัวนี้ก็คือ “ตุ๊กตาไล่ฝน”


         ตุ๊กตาไล่ฝน หรือ เทรุ เทรุ โบซุ ( Teru teru bozu) เป็นหนึ่งในตุ๊กตาวัฒนธรรมพื้นบ้านของญี่ปุ่น  คำว่า เทรุ (teru) แปลว่า ส่องประกาย (ซึ่งหมายถึงแสงพระอาทิตย์)  ส่วนคำว่า โบซุ (bozu) แปลว่า พระภิกษุ (แต่มีความหมายอีกอย่างหนึ่งว่า “หัวโล้น” เช่นกัน)  ลักษณะของตุ๊กตาไล่ฝน(เทรุเทรุ โบซุ) มีขนาดเล็กประมาณ 5 -8 นิ้ว สร้างขึ้นด้วยกรรมวิธีง่ายๆ  โดยส่วนใหญ่แล้วนิยมใช้ผ้าหรือกระดาษสีขาวมาตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า แล้วหาวัสดุทรงกลมหรือใยฝ้ายมาทำเป็นส่วนศีรษะ ม้วนขึ้นเป็นก้อนกลมบรรจุไว้ตรงกลาง จากนั้นก็จะรวบผ้าเข้าหากันแล้วผูกด้วยเส้นเชือกหรือเส้นด้าย  ต่อมาจึงค่อยวาดรายละเอียดในส่วนศีรษะ เช่น ดวงตา  จมูก และ ปาก  ก่อนที่จะนำไปห้อยแขวนไว้กับชายหลังคาบ้านหรือริมขอบหน้าต่าง  หลังจากนั้น จึงจะตั้งจิตอธิษฐานขอพรให้วันรุ่งขึ้นมีท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งแจ่มใส คติความเชื่อแบบนี้ จึงเป็นที่นิยมมากของชาวไร่ชาวนาที่ต้องไปหว่านข้าวไถนาในยามที่ท้องฟ้า อากาศสดใส  ในขณะที่เด็กๆก็จะชอบอกชอบใจ เพราะหากเช้าวันพรุ่งนี้ไม่มีฝนตก  จะทำให้พวกเด็กๆสามารถเดินทางไปทัศนศึกษา แข่งขันกีฬา รวมไปถึงการได้ไปท่องเที่ยวกับครอบครัวได้อย่างมีความสุข

ตุ๊กตาไล่ฝนนิยมแขวนไว้ริม
หน้าต่างทั้งในบ้านและที่ทำงาน

    ประวัติที่มาของ ตุ๊กตาไล่ฝน (เทรุเทรุโบซุ) กล่าวกันว่าสร้างขึ้นในสมัยเอโดะ (Edo period)หรือประมาณ 400 ปีก่อน  สันนิษฐานว่าความเชื่อเรื่องตุ๊กตาไล่ฝน ได้รับอิทธิพลแบบอย่างมาจาก ตุ๊กตาเซ่าฉิงเหนียง (掃晴娘)ของประเทศจีน มีความหมายว่า “หญิงสาวผู้ขจัดเมฆฝน” ในหนังสือสมัยโบราณชื่อ บันทึกแห่งนครหลวง (帝京景物略) มีข้อความอยู่ตอนหนึ่ง เขียนไว้ว่า  …ฝนตกมานานจนมากเกินไปแล้ว ชาวบ้านจึงเอากระดาษสีขาวมาทำเป็นส่วนศีรษะ ตัดกระดาษสีแดงและเขียวมาทำเป็นเสื้อผ้า แล้วผูกแขวนไว้ใต้หลังคา เรียกกันว่า “เซ่าฉิงเหนียง”


    ตำนานอีกเรื่องหนึ่งนั้นมาจากนิทานเรื่อง “หญิงสาวผู้อัศจรรย์”( 神奇女孩) เล่ากันว่า ครั้งหนึ่งนั้น พญามังกรทะเลตะวันออกได้บันดาลให้เกิดฝนตกลงมาอย่างหนักจนเกิดเป็นอุทกภัย ครั้งใหญ่ สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านชาวเมืองอย่างหนัก แต่แล้วได้มีหญิงสาวผู้วิเศษได้อาสาปีนขึ้นไปบนยอดหลังคาเพื่อเปิดท้องฟ้า วิงวอนต่อพญามังกรให้ฝนหยุดตก  ก่อนขึ้นสู่สวรรค์ นางได้กำชับชาวบ้านไว้ว่า หากวันใดมีฝนตกหนัก ให้ตัดกระดาษเป็นรูปตัวของนางแขวนไว้กับหลังคาบ้าน  ดังนั้น เมื่อถึงช่วงฤดูฝนในเดือนหกตามปฏิทินจันทรคติ ชาวบ้านก็จะตัดกระดาษเป็นรูปหญิงสาวสีขาว เรียกกันว่า ตุ๊กตาเซ่าหวิน(扫云)แปลว่า ขจัดเมฆฝน หรือ หนี่ว์เอ๋อเซ่าฉิง (女儿扫晴) หมายถึง หญิงสาวผู้ขจัดเมฆฝนให้ฟ้าแจ่มใส และแล้วเมื่อคติความเชื่อเรื่องการทำตุ๊กตากระดาษแพร่หลายมาถึงญี่ปุ่น ด้วยความเชื่อที่ว่า หากแขวนมันไว้จะช่วยทำให้ฝนหยุดตกหรือช่วยทำให้ท้องฟ้าปลอดโปร่งแจ่มใส ได้พัฒนาจนค่อยๆกลายมาเป็น “ตุ๊กตาไล่ฝน” (เทรุเทรุ โบซุ)ในที่สุด

บางครั้งตุ๊กตาไล่ฝนก็จะมีการแขวนไว้ บนราวเชือกเป็นจำนวนมาก

      นอกจากนี้ บางตำนานก็เล่ากันว่า พระสงฆ์ในนิกายเซน(Zen) เป็นผู้แนะนำให้ชาวบ้านสร้างมันขึ้นเพื่อขอพรให้วันพรุ่งนี้มีท้องฟ้าที่สด ชื่นแจ่มใส พวกเขาจะได้มีกำลังใจออกไปทำไร่ไถนาได้อย่างสะดวกสบาย ความเชื่อเช่นนี้สังเกตได้ว่า อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำตุ๊กตาไล่ฝนที่มีศีรษะล้านเลี่ยน อันเป็นสัญลักษณ์แทนพระสงฆ์ที่มาช่วยขจัดปัดเป่าเมฆฝนให้มลายหายไปนั่นเอง

ตุ๊กตาไล่ฝนแบบห้อยกลับหัวลง  เป็นเคล็ดตรงกันข้ามเพื่อขอให้ฝนตกหนักๆ

      นอกจากนี้ ยังมีคติความเชื่อแปลกๆที่น่าสนุกและน่าสนใจยิ่งเกี่ยวกับตุ๊กตาไล่ฝนก็คือ หากตั้งจิตขอพรแล้ววันรุ่งขึ้นท้องฟ้าปลอดโปร่งแจ่มใส ก็ให้เอากระดิ่งเล็กๆมาแขวนคอของมันไว้  แต่ถ้าหากวันใดอยากให้มีฝนตกหนักล่ะก็ ให้เอาตุ๊กตาไล่ฝนห้อยกลับหัวลง (บ้างก็เอาสีดำมาป้ายบนศีรษะ) เพียงเท่านี้ก็จะทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ของมันหายไป ฝนก็จะได้ตกลงหนักๆแทนที่

      ไม่ว่าความเชื่อเรื่องตุ๊กตาไล่ฝนจะดลบันดาลให้สัมฤทธิ์ผลหรือไม่ก็ตาม  แต่สำหรับหัวใจดวงน้อยของเด็กๆแล้ว  เช้าวันรุ่งที่ท้องฟ้าแจ่มใส ย่อมส่องประกายเจิดจ้ากลางหัวใจอันบริสุทธิ์ของพวกเขานั่นเอง

ที่มา: //www.artedchula.com




 

Create Date : 25 พฤษภาคม 2557    
Last Update : 25 พฤษภาคม 2557 19:47:18 น.
Counter : 3785 Pageviews.  

ขนยิ่งโกน..ยิ่งแข็ง จริงหรือ?

ขนยิ่งโกน..ยิ่งแข็ง จริงหรือ?

จากบทความที่ทาง anngle เคยเสนอไปเกี่ยวกับเรื่องวัฒนธรรมการโกนขนส่วนเกินของสาวยุ่น ที่เชื่อว่าโกนขนส่วนเกินออกแล้วจะดูสะอาดตา แต่คงมีสาวไทยหลายคนออกมาค้านตามความเชื่อของคนไทยสมัยก่อนที่ว่า “ยิ่งโกน ขนยิ่งขึ้นเยอะและแข็งกว่าเดิม” เป็นอย่างมากจนทำให้ใช้ชีวิตลำบากขึ้น และขนก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำคัญในการดำเนินชีวิตประจำวันเลย แต่อย่าเพิ่งเถียงกันไปเพราะวันนี้ทาง anngle จึงไปตามล่าหาบทความของญี่ปุ่นเอง ที่เขียนอธิบายเกี่ยวกับการโกนขน ว่าโกนแล้วขนจะขึ้นหนาและแข็งกว่าเดิมหรือไม่? ไปดูกัน!!!

ความจริงคือ การโกนขนไม่ว่าจะเป็นหนวดหรือเครา ไม่ได้เป็นการกระตุ้นให้ขนที่ขึ้นมาใหม่มีลักษณะแข็งและหนาขึ้นเลย แต่ส่วนปลายของขนที่เรารู้สึกว่าแหลมคมและเส้นหนาขึ้นนั้น อธิบายง่ายๆได้ว่า แต่ดั้งแต่เดิมที่ขนได้งอกออกมาจากรากนั้น จะมีลักษณะเป็นปลายบางแหลมสีอ่อนและค่อยๆหนาขึ้นตามความยาวของเส้นจนถึงโคน เมื่อเราตัดหรือโกนนั้นส่วนปลายที่บางก็จะหายไปเหลือแต่ส่วนโคนที่มีความหนากว่าส่วนปลาย จึงทำให้หลายๆคนคิดว่ายิ่งโกนขนยิ่งหนาและเส้นใหญ่ขึ้น

ด้านซ้าย : ปลายที่ถูกตัด จะดูหนาและเข้ม
ด้านขวา : ปลายที่งอกขึ้นมาใหม่ จะดูบางและนิ่ม

อีกข้อหนึ่งคือ เมื่อขนถูกโกนสั้นขึ้นหลายคนจะบอกว่าแข็งขึ้น แต่จิงๆแล้วก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเช่นกัน เพราะว่าเมื่อเส้นผมมีความยาวก็จะมีโอกาสสะบัดพริ้วไหวได้ง่ายและไม่โดนปลายหนาๆแทง อาจจะทดลองโดยการไปสังเกตและลองสัมผัสผมรองทรงของนักเรียน จะมีความรู้สึกว่าแข็งและทิ่มตำได้ง่ายเพราะเส้นขนนั้นมีความสั้น แต่ลองให้นักเรียนคนเดิมไว้ผมจนยาวและลองสัมผัสดูอีกรอบ จะรู้สึกถึงความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด


ในทางกลับกันถ้าอยากจะขจัดไปหาเมื่อขนเริ่มยาวแล้วทิ่มตำไปเลย คงจะมีแค่ทางเดียวคือถอน!! แต่การถอนนั้นเป็นวิธีที่เจ็บและอาจจะใช้เวลานาน นอกจากนี้อาจจะใช้การแว็กซ์หรือการยิงเลเซอร์ซึ่งเจ็บไม่แพ้กัน แต่ข้อดีของมันคือเส้นขนจะขึ้นช้าและเมื่อขึ้นมาใหม่จะมีปลายที่บางและสีอ่อนอย่างที่ตั้งใจไว้

เป็นอย่างไรกันบ้างกับเรื่องขนที่ทาง anngle นำมาไขข้อข้องใจให้กับสมาชิก ต่อไปนี้หนุ่มๆสาวๆเมืองไทยคงไม่ต้องกังวลกับความเชื่อเดิมๆเรื่องการโกนขนอีกแล้ว




 

Create Date : 25 พฤษภาคม 2557    
Last Update : 25 พฤษภาคม 2557 13:51:39 น.
Counter : 1006 Pageviews.  

พนักงานสาววุฒิศักดิ์ คิดว่าตัวเองเป็น แอร์โฮสเตสรึครับ ???

ไม่รู้เป็นอะไร เครื่องแบบวุฒิศักดิ์มันคงมีมนต์ขลังอะไรสักอย่าง 
อีก้อย สก๊อยแถวบ้านผม เดิมมันเป็นคนที่อัธยาศรัยดีมากๆ เวลาเจอคนแถวบ้านที่คุ้นๆหน้ากัน มันก็จะยิ้มทักทายตลอด
แน่นอนมันก็ยิ้มให้ผม ผมก็ยิ้มตอบ เป็นแบบนี้มา 4-5 ปีแล้ว  
ที่ผมเรียกเขาว่าอีก้อย นี่ไม่ได้ตั้งใจจะเรียกอีให้ดูหยาบนะครับ คือคนแถวบ้านผมเนี่ยจะติดเรียกน้องเขาว่าอี มาจากแม่เขาครับ 
แม่เขาชอบเรียกอีก้อยๆๆ ตะโกนบ่อยๆ ก็เรียกว่าคนแถวนั้นก็เอ็นดูอีก้อยครับ ผมก็เห็นเป็นน้องแถวบ้านคนนึง 



และวันนึงทุกอย่างได้เปลี่ยนไปอย่างมหันต์ อีก้อยไปสมัครเป็นพนักงานวุฒิศักดิ์ 
เมื่อเครื่องแบบศักดิ์สิทธิ์ในตำนานได้ห่อหุ้มร่างของเธอ อีก้อยก็ได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน 
จากที่เคยเดินแบบคนปกติ คราวนี้มันเดินเชิดเลย คลีนิคอยู่ในห้างท้องถิ่นในจังหวัดผม
ผมไปที่ห้างเดินสวนกับเธอ ตอน2ทุ่ม อีก้อยเลิกงานพอดี  ผมก็ยิ้มให้ตามปกติ 
แต่เฮ้ย มันทำเมินแบบมองผ่านไปเลย เชิดใส่ผม ไม่ยิ้มกลับ แน่นอนอีก้อยอยู่ในเครื่องแบบศักดิ์สิทธิ์ 
ตอนแรกผมก็ งง แต่ก็คิดว่ามันคงมองไม่เห็นเรา แต่ก็ยังสงสัยว่าเดินสวนกันขนาดนั้น จะไม่เห็นได้ไง แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก มันไม่ใช่เมียที่เราต้องมาคอยเดาว่าตอนนี้...เป็นเชรี่ยอะไรอีกวะ  

แล้วกาลเวลาก็ทำหน้าที่ของมันไป ผ่านไป2-3สัปดาห์ผมเจออีก้อยแถวบ้านอีกครั้ง คราวนี้เธอใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้น เป็นชุดปกติ
มันก็ทักผมก่อนเรียกพี่ปิ๊กๆๆ ผมก็หันไปยิ้ม ก็คุยทักทายตามปกติ  

หลังจากนั้นผมก็ไปเจอมันที่ห้างท้องถิ่นนั้นอีกรอบ ตอนเวลาเดิม เพราะผมมักไปกินข้าวตอนนั้น ก็เจออีก้อยเดินกับกลุ่มเพื่อนสาววุฒิศักดิ์ 
คราวนี้เดินกันเป็นกลุ่มเดินเรียงหน้ากระดานกัน 5 คน แมร่งยึดเอาทางเดินที่แคบอยู่แล้วไปเป็นของพวกมันคนเดียว 
แถมเดินไม่เดินเปล่า ทั้ง 5 คน ลากกระเป๋าเดินทางด้วย  (นึกภาพแอร์เดินเรียงหน้ากระดานในสนามบิน และลากกระเป๋า ทำหน้าเชิดๆสวยๆ แต่อีก้อยและเพื่อนร่วมงานหน้าเหมือนสก๊อย ไม่สวยแบบแอร์ของแอร์เอเชีย หรือนกแอร์นะ ) 
ผมก็ทักมัน อ้าวอีก้อยจะไปเที่ยวไหน ลากกระเป๋าไปด้วยเนี่ย  มันทำเป็นไม่รู้จักผม ผมก็ งงๆ เลยทีนี้ ว่าเอ๊ะมันเป็นไรของมันวะ 



ก็เลยมาคุยกับยายจ๋าแม่ของอีก้อย ว่ามันเป็นอะไร ปิ๊กทักมัน มันไม่ทัก แต่เวลาเจอในตลาดก็ทักกันปกติ
ยายจ๋าก็บอกว่า เดวนี้อีก้อยมันบ้า เอากระเป๋าเดินทางไปทุกวัน ลากกระเป๋าเปล่าๆไป  ผมหัวไวคิดเลย สงสัยเอาไปเป็นพร็อพ เดินลากกระเป๋าเชิดๆ 
และผมมาสังเกตดู พวกเธอกับเพื่อนใส่ผ้าพันคอด้วย ร้อนขนาดนี้...เดินในตลาดยังไม่ถอดผ้าพันคออีก 

และผมคิดว่าเรื่องนี้ต้องมีประเด็นแน่นอน ก็เลยเก็บข้อมูลมาตลอด 
เวลาผมไปห้างที่ไหนจะสังเกตพนักงานวุฒิศักดิ์ทุกสาขาที่มีในที่ที่ผมไป และผมมักจะไปกินข้าวตอนที่คลินิคปิดพอดี เลยได้โอกาสเห็นพฤติกรรมของพวกหล่อน 

ผมสรุปเลยว่า พนักงานสาววุฒิศักดิ์ 80% ที่ผมเจอมา จะเดินกันแบบเชิดๆ คิดว่าตัวเองโดดเด่นมากในถนน ในซอยที่กำลังเดินอยู่
คนก็ชอบมองด้วย ยิ่งไปเพิ่มอีโก้ให้พวกเธออีก   เครื่องแบบชุดนี้มันต้องมีมนต์ขลังอะไรสักอย่างแน่ๆ  

เดิมทีผมคิดว่าสาวแว่นบิวตี้ฟูลนี่เชิดแล้วนะ เวลาเดินในตลาด กระโปรงก็ฟิตตูดแทบระเบิด  
แต่พอมาเจอพนักงานวุฒิศักดิ์ นี่กินกันไม่ลงจริงๆ 



เครื่องแบบพวกนี้ ผมว่าเจ้าของเขาแยบยลมากๆ เขาต้องครุ่นคิดอย่างแยบคาย กว่าจะออกแบบมาเป็นเครื่องแบบพวกนี้ได้
เครื่องแบบที่ส่งเสริมให้พนักงานภูมิใจในอาชีพตัวเอง ทั้งๆที่พนักงานขายแว่นบิวตี้ฟูล ก็ไม่ได้ดูเท่ไปกว่าแคชเชียร์ห้างเทสโก้เลย แต่เธอกลับภาคภูมิใจในการเป็นพนักงานขายแว่น ภูมิใจซะจนเชิด   ในขณะที่พนักงานวุฒิศักดิ์ ศักดิ์ศรีผมมองว่าก็ไม่ได้ต่างอะไรจากอาชีพลูกจ้างชั่วคราว หรือเสมียรโรงงานคนอื่นๆเลย แต่พวกเธอกลับมั่นใจสุดขีด จนคิดว่าตัวเองกำลังทำอาชีพแอร์โฮสเตสอยู่ เมื่อพวกเธออยู่ในยูนิฟอร์มศักดิ์สิทธิ์นี้

ปล.คนกรุงเทพอาจจะอ่านแล้ว งง ว่าอาชีพแอร์มันก็พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน เจ๋งตรงไหน โก้ตรงไหน
แต่สังคมต่างจังหวัดเขาไม่ได้มองแบบนั้นครับ เขามองว่าอาชีพแอร์เนี่ยเหนือกว่าหมออีก
รุ่นน้องผมคนนึง มันเป็นหมอ ตอนนี้เรียนต่อเฉพาะทางอยู่ ได้แฟนเป็นแอร์ มีแต่คนบอกว่ามันโคตรโชคดีเลย ได้แอร์เป็นเมีย
ไม่มีใครบอกว่าแอร์โชคดีได้ผัวเป็นหมอสักคน

//pantip.com/topic/32048246




 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2557    
Last Update : 23 พฤษภาคม 2557 8:42:34 น.
Counter : 4632 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.