ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

น้ำตกและน้ำพุ ในกรุงเทพฯ แหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่เพิ่งค้นพบ




ที่มา :  thailandsusu.com




 

Create Date : 17 มิถุนายน 2556    
Last Update : 17 มิถุนายน 2556 7:56:30 น.
Counter : 1320 Pageviews.  

เปลือกผลไม้ มีประโยชน์ ช่วยให้สวยได้นะ



ใครจะไปคิดว่าเปลือกผลไม้ที่เรามักจะปลอกทิ้งในการกินผลไม้นั้น จะสามารถมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายโดยตรงกับความสวยเราได้ด้วย ลองมาดูกันค่ะมีเปลือกผลไม้อะไรที่ทำให้เราสวยได้บ้าง

ผลไม้ ไม่ว่าจะเป็นชนิดไหนล้วนแต่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเช่นกันค่ะ แต่สารอาหารมักจะไม่ได้ซ่อนเร้น เพราะสารอาการที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเราไม่ไปไหนไกล ก็คือ เปลือกผลไม้ บางคนชินกับการกินผักผลไม้ที่ต้องปอกเปลือกให้เกลี้ยงบ้าง รู้ไหมค่ะ คุณกำลังทำลายเรื่องสุขภาพความงามไปอย่างไม่รู้ตัวอย่างเพราะเปลือกที่ปอกทิ้งไปนั้นก็มีประโยชน์เหมือนกันต่อสุขภาพและความงาม วันนี้มีเกร็ดความรู้เรื่องนี้มาฝากกัน

เปลือกแอปเปิ้ล เชือว่ามีผลในการต่อต้านมะเร็ง ตามที่นักวิจัยพบว่าเปลือกของแอ๊ปเปิ้ลแดงผลหนึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระ เทียบเท่าวิตามินซี 820 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่ได้จากน้ำส้มคั้นถึง 2 ควอตช์ เลยทีเดียว เห็นอย่างนี้แล้วเวลารับประทานควรกินทั้งลูกนะคะ เพื่อสุขภาพและผิวพรรณที่ดี

เปลือกมันฝรั่ง อุดมไปด้วยใยอาหาร (fiber) ธาตุเหล็ก โปแตสเซียม และวิตามินบี มากกว่าที่ได้จากเนื้อมันเสียอีก เมื่อเทียบปริมาณเท่า ๆ กันแล้ว หากกินมันฝรั่งอบ หรือต้ม ครั้งนี้ลองหันทานเปลือกนุ่มๆของมันด้วยนะคะ

ผิวส้ม มะนาว หรือมะกรูด มีสาร ดี-ไลโมนีน (น้ำมันหอมระเหยชนิดหนึ่ง) เทอปีน เฮสเพอริดีน (ยาป้องกันการตกเลือดโดยลดความเปราะของเส้นเลือด) คูมาริน (สารต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย) และแคโรทีนอยด์ (สารสีเหลืองช่วยต้านอนุมูลอิสระ) ซึ่งดีต่อสุขภาพ กลิ่นหอมช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ดีค่ะ


ที่มาข้อมูลแลภาพ teenee.com




 

Create Date : 16 มิถุนายน 2556    
Last Update : 16 มิถุนายน 2556 9:32:47 น.
Counter : 1598 Pageviews.  

สถิติการเกิดฟ้าผ่า และข้อควรระวัง




ในทางวิทยาศาสตร์พบว่าฟ้าผ่า เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่สร้างความเสียหายต่อทั้งชีวิตและทรัพย์สินของมนุษย์ได้มาก

ฟ้าผ่า เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นระหว่างฝนตกหนัก พายุฝุ่น ภูเขาไฟระเบิด แต่ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในช่วงที่มีเมฆฝนฟ้าคะนอง ฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้ทุกที่ และไม่จำเป็นที่จะต้องมีโลหะหรือตัวนำไฟฟ้า 


จุดเสี่ยงที่สุดคือบริเวณโล่งแจ้ง เช่น สนามบอล สระว่ายน้ำ สนามกอล์ฟ รวมทั้งจุดสูง เช่น ต้นไม้ หรืออาคารสูง รวมทั้งวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่ ทั้งรถยนต์ หรือแม้แต่มนุษย์ 

เพื่อความปลอดภัยเมื่อเผชิญกับฟ้าผ่า ควรหลบในอาคารขนาดใหญ่ หรือ ในบ้าน โดยยืนห่างจากประตู หน้าต่าง และถอดปลั๊กโทรทัศน์ ไม่ใช้โทรศัพท์บ้าน ส่วนโทรศัพท์มือถือแม้จะไม่ได้เป็นอุปกรณ์ล่อกระแสไฟโดยตรง แต่อาจทำให้เกิดประจุและเพิ่มความรุนแรงของกระแสให้มากขึ้น กรณีอยู่ในรถยนต์ ต้องปิดกระจกมิดชิด และห้ามแตะตัวถังรถ หากไม่มีที่หลบให้หมอบนั่งยองๆ เท้าชิดกัน และเอามืออุดหู เพื่อป้องกันอันตรายจากเสียง


//variety.teenee.com/foodforbrain/53407.html




 

Create Date : 13 มิถุนายน 2556    
Last Update : 13 มิถุนายน 2556 7:06:26 น.
Counter : 1869 Pageviews.  

วิธี ฟอกฟันขาว ไม่ต้องพึ่งหมอ



วิธีดีๆ ที่ช่วยเสริมฟันคุณให้ขาวสวย แม้จะไม่ขาวใสวิ้งอย่างที่เราต้องการ แต่ก็ยังช่วยประหยัดทรัพย์ และทำเองได้

ฟอกฟันขาว ที่นอกจากจะราคาสูงแล้ว ก็ยังทำให้ฟันชั้นนอกถูกลอกออกไป คราวนี้จะทานของเปรี้ยว ของเผ็ด ก็จะรู้สึกเสียวฟันเป็นธรรมดา เลยกลายเป็นว่า อยากมีฟันขาวแต่ชะลอๆ เวลาไว้ก่อน และยังมีหลายๆ คนแอบมองหาวิธีธรรมชาติไว้เป็นทางเลือก


วิธีดีๆ นั้นมีแน่ แม้จะไม่ขาวใสวิ้งอย่างที่เราต้องการ แต่ก็ยังช่วยประหยัดทรัพย์ และทำเองได้แบบไม่ต้องพึ่งหมอ ไล่กันตามนี้เลย

Option 1: ยาสีฟัน+ เบกกิ้งโซดา
โชคดีขนาดไหน ที่สมัยนี้มียาสีฟันเป็นสิบๆ ชนิดให้เราเลือกช้อป และหากเป้าหมายคือฟันขาว ก็ควรเลือกยาสีฟันเฉพาะจุด หรือทำเองได้โดยการใช้เบกกิ้งโซดาที่แพทย์ยอมรับว่ามีประสิทธิภาพสูง วิธีคือบีบแตะกับแปรงสีฟันแล้วค่อยบีบยาสีฟันตาม จากนั้นนำมาแปรงตามปกติ

Option 2: เจลฟอกฟันขาว
ไม่ต้องเดินทางไปฟอกฟัน ก็ทำเองได้ที่บ้าน เพราะเดี๋ยวนี้มี เจลสำเร็จรูป (Bleaching Gel) ที่มีตัวยาอย่าง Hydrogen Peroxide หรือ Carbamide Peroxide ที่ทำให้ออกซิเจนในฟันเพิ่มขึ้น ฟันจึงขาวขึ้น สารสองตัวนี้อาจมาในรูปแบบอาจเป็นสติ๊กเกอร์แปะฟัน เป็นเจลที่ทาในถาดแล้วนำมาครอบฟัน หรือบางคนก็เอาสารตัวนี้เดี่ยวๆ ไปผสมน้ำยาบ้วนปากในอัตราส่วน 1:1

Option 3: ทานอาหารเสริมฟันขาว
อาหารที่ดีต่อสีฟันก็มี นั่นคือ สตรอเบอร์รี่ ที่มีสารเสริมฟันขาวโดยธรรมชาติขณะที่ทานเขาไป หรือให้ตรงจุดมากขึ้น โดยการบดให้ละเอียดแล้วนำมาพอกบนฟัน หรือผสมกับยาแปรงสีฟันที่มีฟลูออไรด์เมื่อแปรงฟัน

Option 4: ยาสีฟันแบบไวท์เทนนิ่ง
เป็นวิธีที่เรียบง่ายที่สุด แต่อาจได้ผลลัพธ์ที่นาน เช่น 1 เดือนขึ้นไป แต่ก็มั่นใจได้ว่าปลอดภัย สบายๆ ไม่เคร่งเครียด ทางที่ดีควรใช้ไหมขัดฟันประกอบด้วย และดียิ่งขึ้นไปอีก หากเลี่ยงเลี่ยงน้ำดื่มสีๆ ทั้งหลาย ไม่ว่า ชา กาแฟ ไวน์ น้ำอัดลม เป็นต้น เพราะนี่คือสาเหตุของสีฟันที่คุณไม่ต้องการนั่นเอง


//variety.teenee.com/foodforbrain/53311.html




 

Create Date : 11 มิถุนายน 2556    
Last Update : 11 มิถุนายน 2556 7:16:39 น.
Counter : 1921 Pageviews.  

เสริมแคลเซียมตามวัย



 รู้ๆ กันอยู่ว่า แคลเซียม มีประโยชน์แก่ร่างกาย เพราะช่วยให้กระดูกแข็งแรง ไม่พุกร่อนง่าย ซึ่งเมื่อไม่นานนี้ก็มีงานวิจัยที่เผยว่า
แคลเซียมสามารถช่วยต่อต้านโรคความดันโลหิตสูง อาการหัวใจกำเริบ อาการปวดก่อนมีประจำเดือน และมะเร็งลำไส้ ดังนั้น การเสริมสารอาหารตัวนี้ให้แก่ร่างกายจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม แต่อีแมกกาซีนก็อยากให้คุณคำนึงถึงด้วยว่า ในแต่ละวัยก็ควรได้รับปริมาณของแคลเซียมที่แตกต่างกันไป

 วัยเด็ก

ลูกหลานของคุณมีความต้องการแคลเซียมมากกว่าวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ โดยเด็กอายุ 1-10 ปี ควรได้รับแคลเซียมราว 800-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน เพื่อนำมาเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่กระดูกและฟัน ขณะที่ส่วนอื่นๆ จะถูกนำไปใช้เพื่อเป็นโครงสร้างของร่างกาย โดยการสะสมแคลเซียมในเด็กที่หัดพูดจะค่อนข้างช้าแต่ก็สามารถเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในวัยหนุ่มสาว ซึ่งการศึกษาพบว่า ถ้าปริมาณแคลเซียมในร่างกายเด็กมีต่ำจะทำให้ขบวนการสะสมเกลือแร่ในกระดูกและความหนาแน่นของกระดูกต่ำ เป็นผลให้เกิดโรคกระดูกอ่อนหรือโรคกระดูกค่อมงอได้

สำหรับสิ่งที่สำคัญของช่วงอายุนี้คือ การพัฒนารูปแบบการบริโภคให้สอดคล้องกับระดับแคลเซียมที่ร่างกายต้องการให้เพียงพอ เพื่อพัฒนาความหนาแน่นของกระดูกให้การเติบโตของเด็กเป็นปกติ อีกทั้งยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกในช่วงต่อไปของชีวิตได้

 วัยหนุ่มสาว

จากการศึกษาวิจัยแสดงว่า ช่วยอายุ 11-24 ปี เป็นช่วงที่ร่างกายดำเนินขบวนการก่อรูปกระดูก โดยถ้าร่างกายได้รับแคลเซียม ในปริมาณที่ต่ำกว่าความต้องการของร่างกายอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง ซึ่งถ้าขาดอย่างร้ายแรงจะก่อให้เกิดโรคกระดูกอ่อน มีอาการเจ็บกระดูก เจ็บกล้ามเนื้อ และเมื่อประสบกับการกระดูกหัก กระดูกจะสมานให้เหมือนเดิมได้ช้า จึงควรได้รับ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน สิ่งสำคัญคือ การรักษาระดับการบริโภคอาหารให้สอดคล้องกับระดับแคลเซียมที่ต้องการ เพื่อป้องกันโรคเกี่ยวกับกระดูก ถ้าจะต้องมีการสูญเสียไปในภายหลังของช่วงชีวิต โดยถ้าเราได้รับแคลเซียมตั้งแต่อยู่ในวัยหนุ่มสาวหรือกลางคนอย่างสม่ำเสมอและพอเพียง อายุการสึกหรือผุกร่อนตามธรรมชาติก็จะยืดออกไปได้อีกนานกว่าคนที่รับแคลเซียมไม่เพียงพอ

 หญิงตั้งครรภ์

สำหรับหญิงมีครรภ์แล้ว แคลเซียม นับได้ว่าเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อสภาวะการตั้งครรภ์อย่างมาก ควรได้รับ 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน จำเป็นต้องได้รับมากกว่าคนธรรมดาเป็นพิเศษ เนื่องจากจะต้องถ่ายทอดแร่ธาตุดังกล่าวสู่ลูกเพื่อการพัฒนาโครงสร้างร่างกายของทารกในครรภ์ ดังนั้นหญิงมีครรภ์จึงมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะขาดแคลน แคลเซียม นอกจากจะช่วยให้พัฒนาการเติบโตของทารกในครรภ์เป็นปกติแล้ว ยังมีส่วนช่วยรักษาเสถียรสภาพความหนาแน่นกระดูกในแม่ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเกี่ยวกระดูกหรือโรค กระดูกพรุน ในภายหลังได้

 วัยกลางคนถึงวัยสูงอายุ

คนเราปกติจะมีโอกาสสูญเสีย แคลเซียม จากกระดูกเมื่อเรามีอายุมากขึ้น เพราะว่าเมื่ออายุเกินกว่า 30 ปีแล้ว ร่างกายจะไม่สะสม แคลเซียม อีกต่อไป โอกาสเผชิญกับโรคเกี่ยวกับกระดูกจะสูงถ้าร่างกายไม่ได้รับ แคลเซียมอย่างเพียงพอ ซึ่งควรได้รับ 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงวัยหมดประจำเดือนซึ่งการศึกษาพบว่าร่างกายจะสูญเสียกระดูกในช่วงประมาณ 5-6 ปีแรกหลังจากหมดประจำเดือน เนื่องจากการลดลงของฮอร์โมน oestrogens และประสิทธิภาพในการสร้าง Vitamin D ก็ลดลงตามวัยที่เพิ่มมากขึ้น จึงมีแนวโน้มจะเป็นโรค กระดูกพรุนสูง ดังนั้นคนในวัยสูงอายุที่มีการเสริม แคลเซียม ให้กับกระดูกอย่างเพียงพอ จะช่วยยับยั้งการสูญเสียกระดูกในช่วงนี้ได้ การเผชิญกับการผุกร่อนของกระดูกจะน้อยลง ความเสี่ยงที่ต้องเผชิญกับโรคที่เกี่ยวกับกระดูกเมื่อย่างเข้าสู่วัยทองก็น้อยลงหรืออาจไม่เกิดขึ้น




ที่มา ...www.e-magazine.info




 

Create Date : 10 มิถุนายน 2556    
Last Update : 10 มิถุนายน 2556 7:28:15 น.
Counter : 1409 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.