ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

จริงหรือ 'กำหมัด' ช่วยให้สมองจำดีขึ้น

วันนี้เราไม่ได้มาชวนคุณๆ มาท้าตีท้าต่อยใครนะคะ คุณเคยเป็นไหมเวลาที่เหนื่อยล้าจากการทำงานหรือสมองออกจะตื้อๆ เราต้องลองเปลื่ยนอิริยาบถเสียหน่อย แต่ละคนก็จะมีวิธีแตกต่างกันไป เช่น การลุกไปยืดเส้นยืดสาย หรือเดินแกว่งแขน ท่าบริหารง่ายๆ ด้วยการกําหมัด เป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยทำให้เรารู้สึกดีขึ้น

จากผลวิจัยล่าสุดของนักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยมอนต์แคลร์สเตท รัฐนิวเจอร์ซี สหรัฐอเมริกา เปิดเผยเมื่อเร็วๆ นี้ ระบุว่า การกำมือแน่นๆ ช่วยให้ความจำดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ความสามารถในการระลึกความทรงจำเก่าๆ กลับคืนมาได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

โดยได้ทำการทดลองกับอาสาสมัครผู้ใหญ่จำนวน 50 คน ให้จดจำคำศัพท์จากลิสต์คำศัพท์จำนวนมากขณะที่ทดลองกำมือไปด้วย พบว่า การกำมือขวาเป็นเวลา 90 วินาทีจะช่วยให้การจดจำสิ่งใหม่ๆ ทำได้ดีขึ้น

ในขณะที่การกำมือซ้ายด้วยเวลาเท่าๆ กันจะช่วยให้การเรียกคืนความทรงจำเก่าๆ ทำได้ดีขึ้น การกำมือขวาก่อนเรียนรู้ข้อมูลต่างๆ และการกำมือซ้ายก่อนจะเรียกคืนความทรงจำนั้นสามารถปรับปรุงระบบความทรงจำได้ โดยปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นการเปลี่ยนการทำงานของสมองชั่วคราว

ทั้งนี้ งานวิจัยก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่าการกำมือซ้ายและมือขวาสามารถกระตุ้นการทำงานของสมองซีกตรงกันข้ามได้ รวมถึงยังมีความสัมพันธ์กับอารมณ์ด้วย เช่น การกำมือขวาเชื่อมโยงกับความความสุขและความโกรธ ในขณะที่การกำมือซ้ายเชื่อมโยงกับความเศร้าและความวิตกกังวล

ที่มา:หนังสือพิมพ์มติชน




 

Create Date : 21 พฤศจิกายน 2556    
Last Update : 21 พฤศจิกายน 2556 7:29:33 น.
Counter : 1277 Pageviews.  

อาหารต้องห้าม ขณะท้องว่าง


1. เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การรับประทานกล้วย ขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไป เป็นการยับยั้ง การทำงานของหลอดเลือดหัวใจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ อย่างยิ่ง

2.กระเทียม เพราะจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหาร ได้รับการกระตุ้นเกิด โรคกระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรง

3.ผัก การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปรกติ นอกจากนั้น ยังไม่ควรอาบน้ำ และออกกำลังกายด้วยเช่นกัน เพราะการอาบน้ำและการออกกำลังกาย ในขณะที่ท้องว่าง จะทำให้เกิดอาการช็อก เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย

4.นมและนมถั่วเหลือง แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหาร มีสารอาหารประเภทแป้งอยู่ด้วย

5.น้ำตาลหรืออาหารหวาน ไม่ควรรับประทานอาหารหวาน หรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ช็อกโกแลต เพราะหากรับประทานขณะท้องว่าง จะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิด
และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต

6.ชา ที่แก่เกินไป ชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อย ในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงาน ของระบบย่อยอาหารลดลง และเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ

7.ลูกพลับ ไม่ควรรับประทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไปรวมตัวกับยาง และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้วจะทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร

ที่มา //ict4.moph.go.th/mophaccess/index.php

by Sutthakit




 

Create Date : 20 พฤศจิกายน 2556    
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2556 8:15:47 น.
Counter : 1166 Pageviews.  

โคเอนไซม์ คิว 10 กินกันไปทำไม?!

สาวๆ อาจจะเคยได้ยินชื่อสารตัวนี้ในฐานะส่วนประกอบของพวกครีมบำรุงผิว แต่รู้ไหมว่าที่จริงแล้วศีรษะจรดปลายเท่าของคุณต้องการ "โคเอนไซม์ คิวเทน" ทั้งนั้น (อยาก) สาว สวย เฮลตี้...ต้องกิน!

"โคเอนไซนไซม์ คิวเทน" หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า "โคคิวเทน" เป็นสารอาหารคล้ายวิตามินที่สามารถละลายได้ดีในไขมัน พญ.ศิวนันท์ พุทธะไชยทัศน์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยและโภชนาการเพื่อสุขภาพที่ดี จากโรงพยาบาลเวิล์ดเมดิคอลเซ็นเตอร์ ชี้ว่า สารอาหารชนิดนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างพลังงานพื้นฐานให้แก่เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย ดังนั้น หากได้รับสารชนิดนี้ไม่เพียง เซลล์ก็จะทำงานผิดปกติ เป็นต้นเหตุของอาการเจ็บป่วยได้สารพัด

-กินแล้ว...หัวใจแข็งแรง

เพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกายได้อย่างพอเพียง หัวใจของเราจึงต้องทำงานหนัก อัตราการเต้นโดยเฉลี่ย 1 แสนครั้งต่อวัน เซลล์ทุกเซลล์ของหัวใจจึงต้องการพลังงานมากเป็นพิเศษ คุณหมอจึงบอกว่า การได้รับโคเอนไซม์ คิวเทนอย่างเพียงพอซึ่งเหมือนเป็นการชาร์จพลังงานของเซลล์ให้เต็มอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นผลดีโดยตรงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดทั้งหมด ความเสี่ยงภาวะหัวใจล้มเหลวก็จะลดลง

-กินแล้ว...ไม่อ่อนล้าอ่อนเพลีย

อย่างที่กล่าวตั้งแต่ต้นว่า โคเอนไซม์ คิวเทนเป็นสารสำคัญที่มีส่วนร่วมในการผลิตพลังงานให้กับเซลล์ เมื่อเซลล์ได้รับพลังงานเพียงพอก็จะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ร่างกายของเราที่ประกอบขึ้นมาจากเซลล์เล็กๆ นับล้านจึงรู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวา

-กินแล้ว...ชะลอความแก่

สิ่งที่ทำให้คุณแก่เร็วก็คือบรรดาอนุมูลอิสระทั้งหลาย เมื่อทานโคเอนไซม์ คิวเทน ซึ่งก็เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งเข้าไป ก็เหมือนกับการเสริมทัพทำลายและป้องกันความแก่ ยิ่งหากทานควบคู่กับวิตามินอีจะยิ่งเห็นผลชัดเจน นอกจากนี้ คุณหมอศิวนันท์ ยังเสริมอีกว่า ที่จริงแค่การที่เซลล์มีพลังงานเพียงพอก็ชะลอความแก่ลงไปได้เยอะแล้ว!

-จำเป็นต้องเสริมทุกคนเลยเหรอ?

จริง ๆ แล้ว ร่างกายเราสามารถสร้างโคเอนไซม์ คิวเทนได้เอง แต่ก็ต้องใช้กระบวนการสร้างหลายขั้นตอน ต้องอาศัยวิตามินและแร่ธาตุมากมาย คนส่วนใหญ่จึงมักมีโคคิวเทนไม่เพียงพอต่อความต้องการ ที่สำคัญ หลังอายุขึ้นเลขสองการสร้างสารตัวนี้ก็จะเริ่มลดน้อยลง ยิ่งเมื่อเข้าใกล้เลขสี่ก็จะลดลงมากจนสังเกตได้เลยว่า คุณดูมีอายุมากขึ้น นอกจากนี้หากคุณทานยาลดไขมันกลุ่มที่ลงท้ายว่า Statin โคคิวเทนของคุณก็จะถูกทำลายลงไปด้วย

Caution!

- ปริมาณที่แนะนำในการทานโคคิวเทนเป็นอาหารเสริมอยู่ที่ 30-100 มิลลิกรัม หากต้องการใช้รักษาโรคต้องทานมากกว่านี้ โดยแบ่งออกเป็น 2-3 มื้อต่อวัน และควรอยู่ในการควบคุมของแพทย์
- หากมีเอนไซม์บางชนิดไม่เพียงพอ โคคิวเทนจะกลายเป็นตัวก่ออนุมูลอิสระซะอง จึงควรรับประทานคู่กับวิตามินอีและ NAC (N-acetyl-cysteine)
- หากทานในขนาดที่สูงเกินไปอาจมีอาการทางด้านระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ ท้องเสีย แสบร้อนในอก และไม่สบายท้องได้
- ผู้ที่ทานยาต้านการแข็งตัวของเกร็ดเลือด ต้องปรึกษาแพทย์ก่อน! เพราะสารนี้จะไปลดทอนฤทธิ์ของยาลง



  • สนับสนุนเนื้อหา นิตยสาร Lisa




 

Create Date : 19 พฤศจิกายน 2556    
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2556 7:37:48 น.
Counter : 1467 Pageviews.  

วิทยาศาสตร์ของ "ไอดิน-กลิ่นฝน"

มนุษย์เรามีความรู้สึกต่อฝนแตกต่างกันออกไป บางคนไม่ชอบหน้าฝน ไม่ชอบที่เฉอะแฉะ เปียกปอน ไปไหนมาไหนลำบาก แต่หลายๆ คนชอบความสดชื่นและเขียวชอุ่มที่ฟ้าฝนนำมาให้ มีคนไม่น้อยที่ชอบกลิ่นอายของฝน โดยเฉพาะหลังฝนตกใหม่ๆ อย่างที่เรียกกันว่า "ฟ้าหลังฝน" สดใส สดชื่นและหอม "-กลิ่นฝน" อบอวลให้ความรู้สึกกระชุ่มกระชวยดีนัก

นักวิทยาศาสตร์สนใจเรื่องนี้มานานแล้วและเชื่อกันด้วยซ้ำไปว่า มนุษย์เราถูกถ่ายทอดความรู้สึก "ชื่นชอบ" และ "กระชุ่มกระชวย" ต่อฟ้าฝน มาจากบรรพบุรุษดั้งเดิม ในยุคที่มนุษย์ทั้งหลายต้องอาศัยฝนเป็นหลักในการทำเกษตรกรรมเพื่อเอาชีวิตให้รอด

แต่น่าสนใจว่า "ไอดิน-กลิ่นฝน" ที่อำนวยให้เกิดความรู้สึกสดชื่นนั้น มีจริงหรือไม่? อะไรทำให้กลิ่นอายหลังฝนตกก่อให้เกิดความรู้สึกดีๆขึ้นกับคนเรา?

นักวิทยาศาสตร์สนใจศึกษาเรื่องนี้มานานแล้ว และพบว่า ฝน ก่อให้เกิดกลิ่นหลายๆ กลิ่นที่ก่อให้เกิดความรู้สึกพึงพอใจขึ้นกับคนเรา หนึ่งในจำนวนกลิ่นหลายๆ กลิ่นที่เกิดขึ้นเมื่อฝนตกและจะอบอวลเมื่อฝนหายไปใหม่ๆ นั้น เรียกว่า "เพทริคอร์" ซึ่งเป็นชื่อเรียกที่นักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรเลีย 2 คน ตั้งเอาไว้เมื่อค้นพบมันระหว่างการศึกษากลิ่นของภาวะอากาศเปียกชื้นหลังฝนตกในราวปี 1964

เพทริคอร์ เกิดขึ้นจากการผสมผสานของปฏิกิริยาเคมีสองอย่างด้วยกันที่เกิดขึ้นในภาวะ "ฟ้าหลังฝน" ที่ว่านั้น อย่างแรกนั้นเกิดขึ้นจาก "น้ำมัน" ลึกลับที่พืชบางอย่างสร้างขึ้นและสะสมเอาไว้ในช่วงที่ภาวะอากาศแห้งแล้ง ไม่มีฝน เมื่อฝนตก น้ำฝนจะชะน้ำมันดังกล่าวนี้ให้หลุดออกมา แล้วกระจายออกไปในอากาศ

ปฏิกิริยาทางเคมีอย่างที่สองที่เกิดขึ้นเมื่อฝนตกแล้วรวมตัวกันกลายเป็น "เพทริคอร์" หรือกลิ่นอายอย่างที่เราเรียกว่า "ไอดิน-กลิ่นฝน" นั้น เกิดขึ้นจากสารเคมีบางอย่างที่ แบคทีเรีย ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในดินสร้างขึ้นมาและปล่อยออกสู่อากาศเมื่อฝนตก แบคทีเรียดังกล่าวเรียกกันว่า "แอคติโนมายซีตส์" มีอยู่ทั่วไปในดิน

กลิ่น "อะโรมา" จากพืชและแบคทีเรียดังกล่าวนี้เองที่ผสมผสานกันกลายเป็น "เพทริคอร์" ที่เกิดขึ้นเมื่อสายฝนกระหน่ำลงสู่พื้นดิน และเป็นกลิ่นอายที่หลายๆ คนชื่นชอบ เพราะหอม สดใส ทีเดียว

กลิ่นอีกอย่างที่มนุษย์สัมผัสได้ในระหว่างฝนตกหรือในช่วงหลังฝนตกใหม่และเกี่ยวข้องกับฝนโดยตรง นั่นคือ "โอโซน" เป็นกลิ่นที่อำนวยให้คนเรารู้สึกกระชุ่มกระชวย สดชื่น เมื่อออกไปสู่ที่โล่ง กลางแจ้งหลังฝนตกใหม่ๆ นั่นเอง

โอโซน เกิดขึ้นจากภาวะฝนฟ้าคะนอง ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ไฟฟ้าในบรรยากาศเหล่านี้สามารถแยกโมเลกุลของ ออกซิเจนและไนโตรเจนออกจากกันได้ และโมเลกุลบางส่วนที่ถูกแยกออกมาเหล่านั้น รวมตัวกันใหม่เป็น "ไนตริค ออกไซด์" สารเคมีดังกล่าวนี้เมื่อรวมตัวกับสารเคมีอื่นๆ ที่อยู่ในบรรยากาศระหว่างฝนตก ก็จะกลายเป็น "โอโซน" ที่ก่อให้เกิดกลิ่นบางเบา คล้ายๆ กลิ่น คลอรีน ที่ช่วยสร้างความรู้สึกกระชุ่มกระชวย สดชื่นให้กับคนเรานั่นเอง

กลิ่น "โอโซน" หรือ "ไอดิน-กลิ่นฝน" ที่เกิดขึ้นนี้ อาจใช้เป็นเครื่องอธิบายได้ว่า ทำไมบางคนถึงรู้สึก "ได้กลิ่นฝน" ก่อนหน้าที่ฝนฟ้าจะตกลงมาจริงๆ เล็กน้อย โดยอาจเป็นว่า คนคนนั้นมีจมูกไวเป็นพิเศษ สามารถสูดดมได้กลิ่นของสารเคมีที่เกิดขึ้นจากพายุ ฝนฟ้าคะนอง ในที่ที่ห่างไกลออกไป และกำลังเคลื่อนตัวมาในทิศทางของตนเอง ลมอาจหอบนำเอาโอโซนที่เกิดขึ้นจากที่นั่นมาให้จมูกสัมผัสได้ และสามารถบอกได้ว่า จะเกิดฝนตกในอีกไม่ช้าไม่นาน

ส่วนการที่บางคนชื่นชอบฝนฟ้า บอกว่า โรแมนติก ในขณะที่อีกบางคนเห็นฝนตกห่าเดียวกัน ในสถานที่ใกล้เคียงกันเป็นบรรยากาศน่าเศร้าซึม หดหู่นั้น

เป็นเรื่องของอารมณ์ที่เกิดจากประสบการณ์ส่วนตัวที่ผ่านมา ไม่เกี่ยวเนื่องกับวิทยาศาสตร์ของไอดิน-กลิ่นฝนแต่อย่างใดทั้งสิ้น



  • สนับสนุนเนื้อหา มติชน




 

Create Date : 18 พฤศจิกายน 2556    
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2556 8:27:14 น.
Counter : 2010 Pageviews.  

ประโยชน์ 10 ประการของไข่



ไข่ ซึ่งจัดได้ว่าเป็นอาหารหลักของคนทุกชนชั้นทุกชาติ จากประโยชน์ที่ไข่มอบให้กับร่างกายของคนเรานั่นเอง และต่อไปนี้คือ ประโยชน์ 10 ประการจากการบริโภคไข่ ซึ่งบางอย่างคุณอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน

     1. ไข่เป็นอาหารที่ดีสำหรับดวงตา ผลการศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่า การรับประทานไข่วันละฟองอาจจะช่วยป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม ทั้งนี้เนื่องมาจากสารคาโรทีนอยด์ที่อยู่ในไข่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลูทีน (lutein) และซีแซนทีน (zeaxanthin) ซึ่งเป็นสารที่พบบริเวณตา โดยฉาบอยู่บนผิวของเรตินา เพราะร่างกายจะได้รับสารอาหารทั้งสองอย่างนี้โดยตรงจากไข่มากกว่าอาหารชนิดอื่น

     2. ไข่ทำให้เป็นต้อกระจกน้อยลง จากผลการวิจัยอีกชิ้นหนึ่งนักวิจัยยังพบว่า คนที่กินไข่ทุกวันมีความเสี่ยงที่จะเป็นต้อกระจกน้อยลง อันเนื่องมาจากลูทีนและซีแซนทีนในไข่ดังได้กล่าวมาแล้ว

     3. ไข่อุดมไปด้วยโปรตีน โดย 1 ฟองจะมีโปรตีนคุณภาพดี 6 กรัม และกรดอะมิโนสำคัญอีก 9 ชนิด

     4. ผลจากการทำวิจัยโดยมหาวิทยาลัยแพทย์ฮาร์วาร์ดพบว่า ไม่มีความเชื่อมโยงที่สำคัญระหว่างการบริโภคไข่กับการเกิดโรคหัวใจ แถมยังมีผลการวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่พบว่า การบริโภคไข่เป็นประจำยังช่วยป้องกันเลือดจับตัวเป็นก้อน เส้นเลือดอุดตันในสมอง และภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน

     5. ไข่เป็นแหล่งโคลีนที่ดี โดยโคลีนอยู่ในกลุ่มของวิตามินบี จัดเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยในการควบคุมการทำงานของสมอง ระบบประสาท และระบบไหลเวียนของเลือด โดยไข่ 1 ฟองจะมีโคลีนมากถึง 300 ไมโครกรัม

     6. ไขมันในไข่มีคุณภาพดี ไข่ 1 ฟองมีไขมันอยู่ 5 กรัม และมีเพียง 1.5 กรัมเท่านั้นที่เป็นไขมันชนิดอิ่มตัว

     7. แม้ว่าออกจะขัดแย้งกับความเชื่อเดิมๆ แต่งานวิจัยชิ้นใหม่กลับพบว่า การบริโภคไข่แต่พอสมควรจะไม่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อปริมาณคอเลสเตอรอล มิหนำซ้ำยังมีการศึกษาพบเมื่อเร็วๆ นี้ว่า การบริโภคไข่วันละ 2 ฟองเป็นประจำวันไม่มีผลกระทบต่อระดับไขมันในร่างกาย มิหนำซ้ำอาจจะช่วยทำให้ไขมันดีขึ้น โดยผลการวิจัยกล่าวว่า ไขมันอิ่มตัวจะทำให้ระดับคอเรสเตอรอลเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าคอเลสเตอรอลที่อยู่ในอาหาร 

     8. กินไข่ได้วิตามินดี เพราะไข่เป็นอาหารเพียงชนิดเดียวที่เป็นแหล่งวิตามินดีตามธรรมชาติ

     9. ไข่อาจจะช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม โดยผลการศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่า ผู้หญิงที่รับประทานไข่ 6 ฟองต่อสัปดาห์ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งเต้านมลงร้อยละ 44

     10. ไข่ทำให้เส้นผมและเล็บมีสุขภาพดี เพราะว่าไข่มีซัลเฟอร์สูง รวมถึงยังมีวิตามินและแร่ธาตุอีกหลายชนิด หลายคนจึงพบว่าผมยาวเร็วขึ้นหลังจากที่เพิ่มไข่เข้าไปในอาหารที่รับประทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่เคยขาดอาหารที่มีซัลเฟอร์หรือวิตามินบี12 มาก่อน 

การบริโภคไข่ให้เหมาะสม
          แม้ว่าไข่จะมีคุณประโยชน์มากมาย แต่หลายคนก็ยังกังวล ฉะนั้นการกินไข่ในปริมาณที่เหมาะสมกับวัย ควบคู่กับการออกกำลังกายเป็นประจำจึงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดี โดยคนแต่ละวัยสามารถบริโภคไข่ได้ดังนี้

- เด็กอายุ 1 ปีจนถึงเด็กวัยเรียนสามารถบริโภคไข่ได้วันละ 1 ฟอง
          - ผู้ใหญ่ที่มีภาวะร่างกายปกติสามารถบริโภคไข่ได้ 3-4 ฟองต่อสัปดาห์
          - คนวัยทำงานสุขภาพดี สามารถบริโภคไข่ได้วันละ 1 ฟองทุกวัน ไม่เพิ่มคอเลสเตอรอลและไม่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
          - กลุ่มผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ หรือโรคที่ต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูงสามารถบริโภคไข่เพียง 1 ฟองต่อสัปดาห์ หรือตามคำแนะนำของแพทย์


แหล่งที่มา : //women.thaiza.com/ประโยชน์-10-ประการของไข่/209488/




 

Create Date : 16 พฤศจิกายน 2556    
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2556 10:41:26 น.
Counter : 1015 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.