ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

เผย 20 อาชีพน่าอิจฉา ชีวิตดี๊ดีแบบ “work-life balance”

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

สำนักข่าวบิซิเนสอินไซเดอร์รายงานว่า จากการสำรวจของ Glassdoor ซึ่งสำรวจคนอังกฤษเกี่ยวกับอาชีพที่มีการสร้างสมดุลชีวิตทำงานและชีวิตส่วนตัว โดยให้คะแนนตั้งแต่ 1-5 พบว่าตั้งแต่ปี 2009 ค่าเฉลี่ยลดลงเหลือ 3.2 ในปีนี้จากเดิม 3.5

ซึ่ง Glassdoor ก็ได้รวบรวม 20 อาชีพของคนอังกฤษ ที่มีความสุขกับทั้งชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว มาดูกันว่าจะมีอาชีพอะไรบ้าง เริ่มลุ้นกันจากลำดับท้ายสุดก่อน

20.นักวิเคราะห์ด้านการเงิน อาชีพให้คำแนะนำการลงทุนธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรมด้านต่างๆ
คะแนนสมดุลชีวิตทำงาน-ส่วนตัว : 3.5
เงินเดือนเฉลี่ย : 59,000 ดอลลาร์

19.วิศวกรดีไซน์ อาชีพที่ทำงานเกี่ยวกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และจัดการระบบสำหรับการสร้างผลิตภัณฑ์
คะแนนสมดุลชีวิตทำงาน-ส่วนตัว:3.6
เงินเดือนเฉลี่ย: 46,000 ดอลลาร์

18.ที่ปรึกษาด้านการจัดการ อาชีพเกี่ยวกับการให้คำปรึกษาด้านการจัดการธุรกิจ
คะแนนสมดุลชีวิตทำงาน-ส่วนตัว : 3.6
เงินเดือนเฉลี่ย : 112,000 ดอลลาร์

17.วิศวกรซอฟท์แวร์อาวุโส มีหน้าที่ในการควบคุมดูแล ฝึกอบรมด้านการปรับเปลี่ยนระบบซอฟท์แวร์ต่างๆ
คะแนนสมดุลชีวิตทำงาน-ส่วนตัว : 3.6
เงินเดือนเฉลี่ย : 70,000 ดอลลาร์

16.วิศวกรซอฟท์แวร์ มีหน้าที่ไม่แตกต่างจากวิศวกรซอฟท์แวร์อาวุโส เพียงแต่ความรับผิดชอบน้อยกว่า
คะแนนสมดุลชีวิตทำงาน-ส่วนตัว : 3.6
เงินเดือนเฉลี่ย : 35,000 ดอลลาร์

15.ที่ปรึกษาอาวุโส เป็นอาชีพที่ครอบคลุมในหลายอุตสาหกรรม รวมถึงด้านกฎหมายและการธนาคาร
คะแนนสมดุลชีวิตทำงาน-ส่วนตัว : 3.7
เงินเดือนเฉลี่ย : 71,000 ดอลลาร์

14.นักวิเคราะห์ธุรกิจ อาชีพเกี่ยวกับการให้คำปรึกษาและจัดการธุรกิจ
คะแนนสมดุลชีวิตทำงาน-ส่วนตัว : 3.7
เงินเดือนเฉลี่ย : 56,000 ดอลลาร์

13.นักวิจัย ทำงานด้านการค้นคว้าข้อมูลที่อยู่ในหลากหลายสาขาอาชีพ
คะแนนสมดุลชีวิตทำงาน-ส่วนตัว : 3.7
เงินเดือนเฉลี่ย : 46,000 ดอลลาร์

12.นักวิเคราะห์ข้อมูล อาชีพด้านการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้บริษัทนำมาจัดการด้านการตลาดหรือธุรกิจ
คะแนนสมดุลชีวิตทำงาน-ส่วนตัว : 3.7
เงินเดือนเฉลี่ย : 46,000 ดอลลาร์

11.ผู้จัดการส่วนตัว หรือผู้ช่วยที่คอยจัดการงานต่างๆให้กับบอสนั่นเอง
คะแนนสมดุลชีวิตทำงาน-ส่วนตัว : 3.7
เงินเดือนเฉลี่ย : 40,000 ดอลลาร์

10.ผู้จัดการการตลาด อาชีพด้านการจัดการโปรเจคทางการตลาด รวมถึงการวางกลยุทธ์ทางการตลาด
คะแนนสมดุลชีวิตทำงาน-ส่วนตัว : 3.8
เงินเดือนเฉลี่ย : 40,000 ดอลลาร์

9.ที่ปรึกษาการวิจัย ทำงานด้านการวางแผนและจัดการด้านการวิจัยในสาขาต่างๆ
คะแนนสมดุลชีวิตทำงาน-ส่วนตัว : 3.8
เงินเดือนเฉลี่ย : 50,000 ดอลลาร์

8.ผู้ชำนาญการฝ่ายบุคคล อาชีพที่ให้ความช่วยเหลือและให้คำปรึกษาในด้านการสรรหาบุคลากรเข้าทำงาน
คะแนนสมดุลชีวิตทำงาน-ส่วนตัว:3.8
เงินเดือนเฉลี่ย: 67,000 ดอลลาร์

7.ผู้จัดการฝ่ายบุคคล ผู้ที่ทำหน้าที่จัดการภาพรวมของการบริหารบุคคลในบริษัท
คะแนนสมดุลชีวิตทำงาน-ส่วนตัว : 3.8
เงินเดือนเฉลี่ย : 45,000 ดอลลาร์

6.ผู้บริหารด้านการตลาด อาชีพที่เป็นหัวเรือหลักของฝ่ายการตลาด ทำงานด้านการจัดการ วางแผนและระดมสมอง
คะแนนสมดุลชีวิตทำงาน-ส่วนตัว : 3.8
เงินเดือนเฉลี่ย : 39,000 ดอลลาร์

5.ผู้จัดการด้านสินค้า อาชีพที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ คัดเลือกและช่วยเหลือด้านการพัฒนาสินค้าของบริษัท
คะแนนสมดุลชีวิตทำงาน-ส่วนตัว : 3.8
เงินเดือนเฉลี่ย : 77,000 ดอลลาร์

4.นักวิเคราะห์ธุรกิจอาวุโส มีหน้าที่ไม่ต่างจากนักวิเคราะห์ธุรกิจ เพียงแต่มีความรับผิดชอบและประสบการณ์ที่มากกว่า
คะแนนสมดุลชีวิตทำงาน-ส่วนตัว : 3.8
เงินเดือนเฉลี่ย : 74,000 ดอลลาร์

3.ผู้ช่วยวิจัย ส่วนใหญ่ทำงานเป็นผู้ช่วยในมหาวิทยาลัย ในแต่ละสาขาวิชาต่างๆ
คะแนนสมดุลชีวิตทำงาน-ส่วนตัว : 4.0
เงินเดือนเฉลี่ย : 41,000 ดอลลาร์

2.ผู้จัดการด้านการค้า ผู้ที่จัดการดูแลบริษัททั่วไป และยังเป็นผู้แจกจ่ายงานให้กับพนักงานอีกด้วย
คะแนนสมดุลชีวิตทำงาน-ส่วนตัว : 4.0
เงินเดือนเฉลี่ย : 70,000 ดอลลาร์

1.ผู้พัฒนาเว็บไซต์ อาชีพด้านพัฒนา ออกแบบและครีเอทเว็บไซต์
คะแนนสมดุลชีวิตทำงาน-ส่วนตัว : 4.1
เงินเดือนเฉลี่ย : 43,000 ดอลลาร์

เรียบเรียงโดยประชาชาติฯออนไลน์

ที่มา businessinsider

//men.sanook.com/10501/




 

Create Date : 24 ตุลาคม 2558    
Last Update : 24 ตุลาคม 2558 10:50:26 น.
Counter : 965 Pageviews.  

เลิกเรียนบ่าย 2 ครึ่ง เริ่มพ.ย.นี้ ทดลอง 3,831 โรงเรียน

วันที่ 16 ตุลาคม พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงการขับเคลื่อนนโยบาย ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ ในปีงบประมาณ 2559 จะแบ่งเป็น 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ก่อนเริ่มดำเนินโครงการ (กรกฎาคม-ตุลาคม 2558) ระยะที่ 2 การเริ่มดำเนินโครงการ (ตุลาคม 2558-มกราคม 2559) ระยะที่ 3 การติดตามและประเมินผลหลังการดำเนินการโครงการ (มกราคม-เมษายน 2559) และระยะที่ 4 การขยายผลในสถานศึกษาทั่วไป (พฤษภาคม-กันยายน 2559)

โดยจะเป็นการปรับลดชั่วโมงเรียนบางวิชาให้น้อยลง แต่ต้องไม่กระทบเนื้อหาหลักที่เด็กๆ ควรเรียนรู้ เพิ่มเวลาและโอกาสให้เพิ่มพูนทักษะการคิดวิเคราะห์ ความมีน้ำใจต่อกัน การทำงานเป็นทีม กระตุ้นให้ผู้เรียนได้ค้นหาศักยภาพและความชอบของตนเอง

ในการจัดการเรียนการสอน ก่อนเวลา 14.30 น. เป็นการเรียนการสอน 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ หลังจากนั้นให้ผู้เรียนทำกิจกรรมสร้างสรรค์ต่างๆ นอกห้องเรียนอย่างหลากหลาย เริ่มดำเนินการพร้อมกันวันที่ 2 พ.ย. 2558 หรือภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 ในโรงเรียนที่มีความพร้อมและสมัครใจเข้าร่วมโครงการดังกล่าวแล้ว 3,831 โรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) 3,447 โรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) 384 โรงเรียน หลังจากเริ่มปฏิบัติการเรียนการสอนไปแล้ว 1 ภาคเรียน จะประเมินเพื่อพิจารณาข้อดีข้อเสียเพื่อปรับปรุงก่อนนำมาเป็นแนวทางให้โรง เรียนอื่นๆ นำมาปฏิบัติต่อไป

ที่มา มติชนออนไลน์




 

Create Date : 18 ตุลาคม 2558    
Last Update : 18 ตุลาคม 2558 9:55:37 น.
Counter : 889 Pageviews.  

13 เทคนิค พิชิตคราบสกปรก ให้คุณซักผ้าแบบมืออาชีพ

13 เทคนิค พิชิตคราบสกปรก ให้คุณซักผ้าแบบมืออาชีพ

งานซักผ้าเป็นงานแสนน่าเบื่อที่ใครหลายๆ คนรู้สึกว่าไม่อยากทำ แต่ขุ่นแม่ Sanook! Home จัดเทคนิคการซักผ้ามาเสิร์ฟถึงบ้าน ลองมาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่จะทำให้คุณซักผ้าได้แบบมืออาชีพ

1.ดูเรื่องอุณหภูมิ การกำหนดอุณหภูมิน้ำให้เหมาะสมกับเนื้อผ้าแต่ละชนิดเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การทำความสะอาดเสื้อผ้าง่ายและสะดวกขึ้น เช่นน้ำเย็นเหมาะสำหรับผ้าเนื้อบาง ผ้าที่หดตัวได้ง่าย ส่วนน้ำอุ่นเหมาะกับเนื้อผ้าที่มีความสกปรกระดับปานกลาง ส่วนน้ำร้อนนั้นเหมาะกับผ้าที่สกปรกมาก และผ้าขาว

2.ทำอย่างไรให้ผ้าขาวสะอาด เมื่อผ้าสีขาวที่คุณสวมใส่กลายเป็นสีเทา หรือสีเหลืองนั้นอาจมาจากหลายสาเหตุ เช่นการใช้ผงซักฟอกที่ไม่มีประสิทธิภาพในการทำความสะอาด น้ำที่ซักมีอุณหภูมิต่ำเกินไป ดังนั้นคุณอาจใช้สารฟอกขาวช่วยในการซักผ้า

3.ป้องกันผ้าสีซีด มันเป็นเรื่องน่าเศร้าเมื่อกางเกงสีดำเข้มของคุณกลับซีดไม่เข้มสวยงามเหมือนเดิม ดังนั้นวิธีแก้ไขคือการกลับผ้าด้านในออกมาไว้ด้านนอกก่อนจะนำไปซักหรืออบแห้งเพื่อลดอาการสีตก และควรเช็คอุณหภูมิของน้ำด้วยว่าไม่ควรร้อนจนเกินไป โดยเช็คสลากที่ติดมากับเสื้อผ้าไปร่วมกัน

4.ป้องกันผ้าหด สาเหตุที่ทำให้ผ้าหดไม่ได้เกิดจากการอบผ้า แต่เกิดจากการซัก วิธีแก้ไขไม่ให้ผ้าหดตัวได้ดีที่สุดคือการใช้น้ำเย็นในการซักผ้า จากนั้นนำมันขึ้นมาตากและแขวน หรือถ้าจะใช้เครื่องเป่าให้มันแห้งก็อย่าตั้งอุณหภูมิสูง

5.ป้องกันผ้าสีตก วิธีทดสอบผ้าว่าสีตกหรือไม่ให้นำผ้านั้นไปแช่น้ำเปล่าก่อนนำเข้าเครื่องซักผ้า หากน้ำเปล่าสีใสๆ กลายเป็นสีเดียวกับเสื้อผ้าแสดงว่าคุณควรแยกซักผ้าชิ้นนั้นออกจากผ้าชิ้นอื่น

6.วิธีซักเสื้อชั้นใน วิธีที่เหมาะสมเมื่อคุณจะซักเสื้อชั้นในนั่นคือควรใส่ในถุงตาข่าย ไม่ควรโยนชุดชั้นในลงในเครื่องซักผ้าเพราะตะขอหรือสายเสื้อชั้นในอาจไปพันกันภายในเครื่องซักผ้า แต่วิธีที่ช่วยถนอมอายุชุดชั้นในได้ดีที่สุดคือการซักชุดชั้นในด้วยมือ ใช้น้ำยาซักผ้าแบบอ่อน ซักประมาณ 3-5 นาที หรือจะแช่น้ำยาซักชุดชั้นในไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น จากนั้นวางชุดชั้นในแบนราบกับผ้าขนหนู จากนั้นม้วนและบีบมันเบาๆ เพื่อให้ผ้าขนหนูช่วยซับน้ำออก

7.จำกัดสารซักฟอก หลายคนยังเชื่อว่าเวลาซักผ้าให้ใส่สารซักฟอก น้ำยาซักผ้า หรือผงซักฟอกมากๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วผงซักฟอกน้อยดีกว่ามาก เพราะสารซักฟอกนั้นกลับไปสร้างคราบสกปรกบนเสื้อผ้าได้มากกว่า อีกอย่างหนึ่งคือ สารซักฟอกที่เทลงในเครื่องซักผ้ามันกลับไปติดข้างภายในเครื่องมากกว่าจะช่วยทำความสะอาดเสื้อผ้า

8.เรียงลำดับการซัก เวลาซักผ้าคุณควรเรียงสีเสื้อผ้า อุณหภูมิน้ำ คราบสกปรก เช่นผ้าขาวควรแยกมันออกไว้ต่างหาก โดยเฉพาะต้องแยกมันออกจากผ้าที่สีตกได้ง่าย ส่วนผ้าสีสว่างอาจจะแยกมันเป็นกลุ่มๆ เช่นสีพาสเทล สีสว่าง ส่วนผ้าสีดำก็แยกมันออกมาจากผ้าสีอื่นๆ ผ้าที่สกปรกมากก็ควรแยกมันออกมาเพราะมันอาจทำให้ผ้าชิ้นอื่นสกปรกไปด้วย

9.เลือกผงซักฟอกที่เหมาะสม สารซักฟอกแบบน้ำเหมาะสำหรับกำจัดคราบฝังแน่นหรือคราบอาหาร สำหรับสารซักฟอกแบบผงแป้งเหมาะกับเสื้อผ้าทั่วไป

10.อย่าลืมใส่น้ำยาปรับผ้านุ่ม ลดการเกิดรอยยับบนเนื้อผ้าด้วยการใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มจะเป็นแบบน้ำหรือแบบแผ่นก็ได้ แต่คุณควรละลายน้ำยาปรับผ้านุ่มให้เจือจางก่อนจะเทลงไป และห้ามเทน้ำยาปรับผ้านุ่มลงบนเนื้อผ้าโดยตรง

11.อย่าปล่อยเสื้อผ้าที่ซักทิ้งไว้ในเครื่องซักผ้านาน หากซักผ้าเสร็จแล้วให้รีบนำเสื้อผ้าออกจากเครื่องซักผ้าทันที เพราะหากทิ้งไว้นานเสื้อผ้าจะเกิดรอยยับได้ง่าย หรือจะตั้งเวลาซักแบบอัตโนมัติเพื่อไม่ให้ผ้านั้นแห้งจนเกินไป

12.ป้องกันคราบจับตัว สำหรับเสื้อผ้าที่มีคราบสกปรกฝังแน่น คุณอาจต้องแช่ผ้าชิ้นนั้นในน้ำก่อนเพื่อให้น้ำเย็นช่วยเจือจางคราบเหล่านั้นก่อนที่จะนำผ้าชิ้นนั้นใส่ลงไปในเครื่องซักผ้า

13.ตรวจตราถุงเท้า ถุงเท้าเป็นของใช้ชิ้นเล็กๆ ที่อาจหลุดไปอยู่ภายในท่อระบายน้ำได้ ดังนั้นเมื่อคุณซักเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ควรตรวจตราดูว่าถุงเท้าอยู่ครบจำนวนคู่ของมันก่อนที่คุณจะนำมันไปอบแห้ง รวมทั้งคุณไม่ควรนำถุงเท้าที่มีกลิ่นเหม็นอับมากลงไปซักในเครื่องซักผ้า แต่คุณควรแยกซัก

เรียบเรียงข้อมูลบางส่วนจาก //ideas.thenest.com
ภาพจาก //www.onegoodthingbyjillee.com




 

Create Date : 10 ตุลาคม 2558    
Last Update : 10 ตุลาคม 2558 8:45:58 น.
Counter : 1067 Pageviews.  

5 ประโยชน์จาก “ร่ม” ที่ไม่ใช่แค่กันแดด กันฝน

5 ประโยชน์จาก “ร่ม” ที่ไม่ใช่แค่กันแดด กันฝน

ฝนโปรยปรายทุกเช้าค่ำแบบนี้ สิ่งหนึ่งที่ทุกคนคงต้องพกติดตัวหรือมีไว้ในกระเป๋าอย่างแน่นอนนั่นคือ “” แต่คุณเคยทราบไหมว่า นอกจากประโยชน์ของร่มอย่างที่เรารู้ๆ กันแล้วว่าใช้กันแสงแดด กันฝน มันยังมีประโยชน์เกี่ยวกับงานบ้านที่คุณอาจคาดไม่ถึง Sanook! Home เลยจัดประโยชน์ของร่มมาให้คุณทุกคนลองนำไปประยุกต์ใช้ดู

1.แขวนเสื้อผ้า ร่มที่คุณไม่ได้ใช้งาน หรือมีความชำรุดบางอย่าง ลองดึงผ้าคลุมร่มออกให้เหลือแต่โครงหรือก้านร่ม จากนั้นก็ประยุกต์ร่มคันเดิมเป็นที่ตากผ้าเสียเลย เวิร์คแน่ๆ ค่ะ

2.ตัดเย็บเป็นกระโปรงเด็ก ร่มที่มีผ้าคลุมสีสันน่ารักๆ ลองดึงผ้าคลุมออกแล้วนำมาเย็บเป็นกระโปรงแบบง่ายๆ คุณจะได้กระโปรงให้ลูกน้อยของคุณแบบไม่ซ้ำใคร

3.ป้องกันการรั่วซึม หากบ้านคุณประสบปัญหาเพดานรั่ว ให้แขวนร่มของคุณเพื่อรับน้ำที่รั่วไหล แหมคิดไม่ถึงเลยนะคะ

4.ของประดับบ้าน ร่มสามารถนำมาเป็นของประดับตกแต่งบ้านได้ โดยเฉพาะร่มกระดาษแบบจีนหรือญี่ปุ่น ถ้านำมาแขวนประดับจะให้อารมณ์บ้านสไตล์ตะวันออกหน่อยๆ ค่ะ

5.โคมไฟ เปลี่ยนร่มมาเป็นโคมไฟ คุณคงพอเห็นภาพแล้วใช่ไหมคะ เพียงเจาะรูที่ผ้าแล้วห้อยดวงไฟที่ชอบ รับรองโคมไฟบ้านคุณจะไม่เหมือนโคมไฟบ้านไหนๆ แน่นอน

เป็นอย่างไรบ้างคะ นึกไม่ถึงกันใช่ไหมคะ

เรียบเรียงข้อมูลบางส่วนจาก //lifehackery.com
ภาพจาก www.istockphoto.com




 

Create Date : 09 ตุลาคม 2558    
Last Update : 9 ตุลาคม 2558 9:09:09 น.
Counter : 779 Pageviews.  

วิธีคิดไม่ธรรมดาของ มาร์ติน วีลเลอร์ บัณฑิตเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เคมบริดจ์



วิธีคิดไม่ธรรมดาของ มาร์ติน วีลเลอร์  บัณฑิตเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เคมบริดจ์ 

มันเป็นเรื่องแปลกนะที่ประเทศไทย คนยากจนมีหนี้สินเยอะ ที่อังกฤษมีแต่คนรวยที่มีหนี้สิน คนจนไม่มีหนี้ เพราะเขาไม่ให้คนจนยืมเงิน เนื่องจากกลัวจะไม่มีปัญญาใช้คืน จึงไม่มีสิทธิ์มีหนี้สิน แต่คนรวยยืมเงินได้

คำว่ารวยกับคำว่าจน มันคืออะไรกันแน่?

ที่ขอนแก่นเขาว่าผมบ้าบ้าง ฝรั่งยากจนบ้าง ฝรั่งตกอับบ้าง ฝรั่งขี้นก ฝรั่งไม่มีเงิน แต่ผมบอกว่า ไม่ใช่ ผมรวยนะ เขาถามว่ารวยได้ยังไง ผมบอกว่า…

๑) ผมมีบ้าน ผมทำบ้านเล็ก ๆ เป็นกระท่อมน้อย ๆ เอาหญ้ามามุงหลังคา ชาวบ้านเรียกว่า เถียงนา ไม่ใช่บ้านหรอก ผมบอกว่าใช่ มันบ้านของผม ไม่ใช่บ้านเจ้านาย ราคาหนึ่งหมื่นสองพันบาท อยู่ได้ครับ มันกันแดดกันฝนได้ แค่นั้นผมก็รวยแล้ว

๒) มีที่ดิน แค่ ๖ ไร่เท่านั้นเอง ที่นั่นเขาบอกว่ากระจอก มีนิดเดียว แต่สำหรับฝรั่ง มันเยอะมาก จริง ๆ ผมคิดว่า มันเป็นเรื่องสำคัญ เป็นพื้นฐานของชีวิต เราต้องมีที่อยู่อาศัยเป็นของเรา ไม่ใช่ของเจ้านาย เพราะว่าถ้ามันเป็นของเจ้านาย เราต้องไปหาเงินให้เขา ถ้าเราไม่มีเงิน เขาก็ไล่เราออก เราไม่มีที่อยู่นะ เพราะฉะนั้น ต้องมีบ้านเป็นของตัวเองไว้ก่อน ซึ่งผมก็มีบ้าน คิดว่าลูกของผม จะต้องมีบ้านแน่ ๆ ด้วย

เรื่องเกษตรผมทำไม่เก่ง แต่ที่ทำได้ง่ายคือ ปลูกต้นไม้ ไม้ประดู่ ไม้สะเดา ไม้ยาง ปลูกไว้ให้ลูกสร้างบ้าน ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้โตเร็วมาก แค่ ๒๕-๓๐ ปี ตัดได้แล้ว ไม่เหมือนอังกฤษ ๒๐๐ ปีได้เท่านี้เอง เพราะอากาศเย็น

เป็นเรื่องแปลก ที่คนไทยจะบ่น โอ๊ย..มันร้อน ผมว่ากลับเป็นเรื่องดี แสงแดดเยอะ จะทำการเกษตรได้ ตลอดเวลา ๑ ปี ทำได้ทุกวัน แต่คนไทยจะบ่นร้อนๆ ไม่เอาๆ อยากเป็นคนผิวขาวดีกว่า

แต่คนอังกฤษ เขาถือคนผิวขาวเป็นคนจน เพราะว่าไม่มีปัญญา จะไปเมืองนอก ซึ่งกลับกันเลย แม้แต่พ่อของผม เขาก็ยังมีเครื่องอาบแดดเพื่อให้ผิวเป็นสีแทน ให้ดูเป็นแบบคนมีสตางค์ แต่คนไทยกลับอยากมีผิวขาว

ผมมีลูก ๓ คน ชาย ๒ หญิง ๑ สิ่งสำคัญที่สุด ๒ เรื่องในชีวิตของเรา คือ…

๑) ต้องมีบ้าน เป็นของตัวเองให้ได้ จึงจะถือว่าชีวิตประสบความสำเร็จ

๒) ต้องมีงานทำทุกวัน ไม่ได้จำกัดว่า ต้องเป็นงานอะไร แต่ขอให้มีงานทำทุกวัน ชีวิตจึงจะไม่สูญเปล่า วิธีเดียวที่รับประกันได้ว่า ลูกมีงานทำ คือการมีที่ทำกินให้เขา และเราต้องช่วยให้เขาทำเป็น ผมคิดว่าคนชนบทจริง ๆ ใครมีที่ดินทำกินแล้วจะไม่ตกงาน เว้นแต่คนขี้เกียจ ซึ่งบางคนมีที่ดินเยอะ แต่ไม่ยอมทำ ถ้าเราสั่งสอน ให้ลูกรู้จักทำมาหากิน เขาก็ไม่ตกงาน

ผมถือว่างานที่อิสระ และมีประโยชน์มากที่สุด คืองานเกษตรซึ่งช่วยให้เรากินอิ่มทุกวัน คนอังกฤษกินไม่อิ่มเยอะมากนะ ผมไม่อยากให้ลูกของผมอดอาหาร อยากให้ลูกกินอิ่ม ในลักษณะที่ส่งเสริมสุขภาพด้วย กินอาหาร ที่ไม่มีสารพิษ กินอาหารแบบเรียบง่ายก็ได้ แต่อิ่มทุกวัน

เมื่อมีบ้าน มีงาน มีอาหาร ลูกของผม ก็จะรวยที่สุด ผมอยากให้ลูกอยู่บ้านนอก เพราะว่าสะอาด จ้างเท่าไหร่ก็ไม่อยากให้ไปอยู่ ในเมืองหรอกเพราะสกปรก แออัด

สำคัญที่สุดคือ เรื่องของสังคม ผมไม่อยากให้ลูกไปอยู่ในเมือง เพราะว่าคนเมืองเห็นแก่ตัว วิ่งไปหาเงินอย่างเดียว แข่งขันกันเยอะ เดี๋ยวก็ฆ่ากัน ด่ากันทุกวัน ไม่สงบ อยากให้ลูกอยู่บ้านนอก เขาจะได้สิ่งที่หายากที่สุดในโลก

คนอีสานบ้านนอกเป็นคนดีมากนะ มีน้ำใจ รู้จักช่วยเหลือคนอื่น เอื้ออาทรกัน เกื้อกูลกัน แบ่งปันกัน ไม่แข่งขันกัน ความเป็นชุมชนเป็นสิ่งที่หายากนะ ถ้าเราไปอยู่ในเมือง จะอยู่แบบของใครของมัน บ้านคนละหลัง ครอบครัวคนละหลัง ไม่รู้จักกัน ถ้าเราอยู่ในชุมชนเล็ก ๆ เราก็ช่วยเหลือกันได้ คุยกันได้ แบ่งปันกันได้ ในที่สุดเราก็จะเป็นคนมีน้ำใจได้

ลูกของผมเขาเป็นคนมีน้ำใจ เขาอาจจะไม่มีเงิน ไม่ได้เรียนหนังสือสูงๆ แต่เขาจะมีสิ่งที่ดีกว่านั้นเยอะ คือเขาจะมีที่อยู่อาศัย มีชุมชนที่ดี ไม่มียาเสพติด ไม่มีการพนัน ไม่มีอาชญากรรม มันน่าอยู่ ขอให้เราอยู่ในชุมชนที่เป็นแบบนั้นมันก็ดีนะ ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องเป็นห่วง ลูกก็จะเป็นคนดี ไม่ติดยา ไม่ขี้ขโมย ไม่เล่นไพ่ มีน้ำใจและรู้จักช่วยเหลือคนอื่น

ลูกผมเรียนหนังสือไม่เก่ง ปีนี้เขาได้คะแนนเป็นอันดับที่ ๑๙ ในห้องของเขา มีนักเรียน ๓๙ คน มันเดินสายกลางพอดีเลย (หัวเราะ) แต่ผมไม่ได้สนใจเรื่องอันดับคะแนนหรอก

ครูเขาเขียนถึงอุปนิสัยของลูกว่า เป็นคนที่มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคนอื่น ซึ่งผมไม่ได้สอนแบบนั้น ฝรั่งส่วนมากจะเห็นแก่ตัว ผมเคยอยู่ในสังคมอย่างนั้นมาก่อน มันเปลี่ยนยากครับ ผมจึงไม่ได้สอนให้ลูกเป็นคนมีน้ำใจ แต่มันเป็นที่ชุมชน เป็นวิถีชีวิตของคนอีสาน ที่เริ่มซึมเข้าไปในกระดูกของเขา ทำให้ลูกอายุแค่ ๘ ขวบเป็นคนมีน้ำใจ ผมถือว่าสุดยอดแล้ว ผมภูมิใจในตัวของลูกมาก ๆ เรื่องเรียนไม่สำคัญหรอก สำคัญที่สุดนั้น เป็นความมีน้ำใจถ้าเขาสามารถรักษาสิ่งนี้ไว้ตลอดชีวิต ผมคิดว่าเขาคงมีความสุขแน่

//variety.teenee.com/foodforbrain/72358.html




 

Create Date : 06 ตุลาคม 2558    
Last Update : 6 ตุลาคม 2558 9:08:47 น.
Counter : 878 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.