Ortho knowledge for all @ Do no harm patient and myself @ สุขภาพดี ไม่มีขาย ถ้าอยากได้ ต้องสร้างเอง

จากใจนักศึกษาแพทย์คนหนึ่งค่ะ .. กระทู้โหวตห้องสวนลุม ( ชีวิตปกติ ของ นศพ.ปี ๒ )



จากใจนักศึกษาแพทย์คนหนึ่งค่ะ

//www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L11673904/L11673904.html

หลังจากที่ได้อ่านเรื่องกรณีที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลมีปัญหาเกี่ยวกับการบริจาคร่างกายของอาจารย์ใหญ่ รู้สึกไม่สบายใจอย่างมากค่ะ แค่อยากแชร์มุมมองความคิดเห็นของเราบ้าง

(ขอเรียกตัวเองว่าหนูได้ไหมคะ พูดแทนตัวเองด้วยคำอื่นแล้วมันรู้สึกแปลกๆ ฮาๆ)

ก่อนอื่นขอออกตัวไว้ก่อนนะคะ ว่าได้ตามอ่านกระทู้ต้นเรื่องมาตั้งแต่แรกค่ะ และเห็นว่าเรื่องมันบานปลายไปทุกที อ่านแล้วยิ่งไม่สบายใจ

หนูเป็นนักศึกษาแพทย์ปีสองนะคะ (ขอไม่บอกว่าสถาบันไหนนะคะ T^T กลัวจะมีเรื่องราว) ก่อนหน้านี่ไม่ค่อยได้เข้า Pantip เลยจนมีเพื่อนกับรุ่นพี่มาเล่าถึงปัญหานี้ พอเข้ามาอ่านก็รู้สึกตกใจมาก ที่มีปัญหาใหญ่แบบนี้ อ่านหลายๆความเห็นแล้วก็เห็นใจทั้งสองฝ่าย ต่างคนก็มองตามมุม แต่มีความเห็นส่วนหนึ่งที่มีความคิดว่าไม่ควรบริจาคร่างกายกันแล้ว อ่านแล้วก็แอบเศร้า เพราะอะไรลองติดตามอ่านกันนะคะ ขอความกรุณาทุกคนที่เข้ามาอ่าน ขอให้เปิดใจให้หนูได้อธิบายมุมมองที่พวกเรานักศึกษาแพทย์คิดและรู้สึกบ้างนะคะ มุมมองของหนูอาจไม่ใช่มุมมองของคนทั้งหมด แต่หนูขอเป็นเสียงเล็กๆนะคะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ เดี๋ยวจะมาพิมพ์ต่อนะคะ

อย่างที่บอกไปแล้วนะคะ ว่าหนูเป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สอง อายุก็เพียงแค่ 20 ปี เพิ่งพ้นวัยมัธยมปลายมาไม่นาน ความคิดหนูอาจถูกผิดบ้าง ลองรับฟังนะคะ

วันแรกที่เปิดเทอมของ นศพ ปีสองนั้น หนูก็เจอ Lab gross anatomy เป็นวันแรกเลยค่ะ ตื่นเต้นมาก ก่อนที่จะเข้าเรียนก็จะมีการบรีฟแลปว่าเราควรทำตัวยังไงให้เหมาะสม ให้เกียรติอาจารย์ที่สอน และอาจารย์ใหญ่ นอกจากนั้นก็เป็นเรื่องทั่วๆไปค่ะ เช่นวิธีการใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ต่างๆ ทุกคนก็ตื่นเต้นมากเลยค่ะ (ตอนแรกหนูแอบกลัวนิดๆ เป็นคนกลัวผี T^T) แต่หนู ก็คิดว่า "ไม่เป็นไรนะ อย่ากลัวไป อาจารย์ใหญ่จะต้องเป็นคนที่ใจดีมาก เพราะไม่งั้นท่านคงไม่บริจาคร่างมาให้เราเรียนหรอกเนอะ"

หลังจากบรีฟแลปเสร็จก็แยกย้ายกันขึ้นห้องแลปเพื่อทำการ dissect เป็นครั้งแรกค่ะ
ขอสารภาพว่าตอนฟังบรีฟแลปครั้งแรก ก็งงๆ เราต้องทำไงบ้างหว่า อาจารย์บอกให้ลงมีดตรงไหนนะ??? ยากจังเลย เรามองไม่เห็นภาพว่าควรทำยังไง ยังจำความรู้สึกนี้ได้เลยค่ะ เดินขึ้นบันไดไปก็กังวลไปว่าเราจะทำได้ไหมนะ? รุ่นพี่ก็ขู่อยู่ว่ายาก อ๊าก T___T

พอขึ้นไปถึงห้องก็นั่งประจำโต๊ะกรอสเลยค่ะ อาจารย์ใหญ่ 1 ร่างต่อ นศพ 4 คนค่ะ
พอไปถึง เราก็ไปเบิกอุปกรณ์ เช่น มีด กรรไกร ฟอร์เซบ โพรบ และอื่นๆ รวมถึงเช่าหนังสือเรียนและเชคความเรียบร้อยของโครงกระดูกประจำโต๊ะด้วยค่ะ
(อาจารย์ใหญ่เราใช้สองแบบนะคะ คือแบบที่เป็นร่างเมื่อผ่าเสร็จปลายปีจะจัดงานพระราชทานเพลิงให้ และอีกแบบคืออาจารย์ใหญ่ที่บริจาคโครงกระดูกค่ะ กระดูกจะถูกศึกษาไปได้นานเลยค่ะ จนกว่ากระดูกจะหมดสภาพ)

เราก็ทำตามที่อาจารย์สั่ง ทำไปมือสั่นไป ตื่นเต้นมาก (ตอนพิมพ์นี่ก็มือสั่นนะคะ^^'')

แล้วไอ้ที่รุ่นพี่ขู่ไว้ก็ท่าจะจริงซะแล้ว เพื่อนๆไว้ใจให้หนูลงมีด หนูก็ลงไปอย่างกล้าๆกลัวๆ สุดท้ายก็ลงมีดลึกไปค่ะ โดนอาจารย์ประจำโต๊ะเดินมาเอ็ดใหญ่ ^^'' ทำไปทำมาซักพัก พี่ปีสามจำนวนมากก็เดินเข้ามาตรงดิ่งไปที่น้องรหัส เอาของมาให้ค่ะ เป็นพวกอุปกรณ์เสริม ^^ ได้แก่ ทิชชูแบบซับมันได้ ถุงมือ ใบมีด(ใบมีดเปลี่ยนใหม่ทุกครั้งค่ะ) สบู่หอมๆไว้ล้างมือ(กลิ่นน้ำยาดองร่างค่อนข้างแรงมาก แต่พอดมไปเรื่อยๆชินเลยค่ะ ^^)

ตอนนั้นเองที่เพื่อนโต๊ะข้างๆเปิดหน้าอาจารย์ใหญ่ดู (ครั้งแรกเริ่มผ่าที่อกและ axilla นะคะ) พวกเราก็เลยเปิดดูบ้าง(แบบกริ่งเกรงค่ะ) แล้ววินาทีแรกที่หนูเห็นอาจารย์ น้ำตาไหลเลยค่ะ ความรู้สึกมันท่วมท้นจริงๆ


ปล หนูลืมเล่าไปได้ไง ทุกครั้งที่ขึ้นมาทำแลปจะต้องยกมือไหว้อาจารย์ใหญ่ทุกครั้งนะคะ แล้วบางวันก็มีเอาพวงมาลัยงามๆมาแขวนไว้ด้วย แม้ว่าทางคณะจะห้ามเอามาก็ตาม เพราะกลัวว่าอาจทำให้ราขึ้นบนร่างอาจารย์ได้


หลังจากเราทำแลปไปได้หนึ่งเดือนก็ถึงวันทำบุญให้อาจารย์ใหญ่ค่ะ
ทางคณะจัดงานบุญนิมนต์พระสงฆ์มา แล้วพวกเราก็ถวายเพล(เค้าเรียกยังงี้กันรึเปล่าคะ) และสังฆทาน
ในงานนี้ได้เชิญญาติอาจารย์ใหญ่มาด้วยนะคะ ญาติอาจารย์ใหญ่ของหนูมากันทั้งครอบครัวเลยค่ะ น่ารักมากกกกกก ^^ ^___^ มีลูกสาวอาจารย์ใหญ่ มีลูกเขย และหลานสาวมาค่ะ ทุกคนน่ารักมาก เราพูดคุยกันดี หัวข้อที่คุยส่วนมากก็เป็นเรื่องของอาจารย์เมื่อครั้งยังมีชีวิตค่ะ เช่นอาจารย์เสียด้วยโรคอะไร(ตอนแรกพวกเราไม่รู้ค่ะ เพิ่งมารู้ตอนได้เจอญาติอาจารย์นี่แหละ) อาจารย์ชอบทำอะไร อาจารย์ชอบทานอะไร อาจารย์มีลูกกี่คน
หลานของอาจารย์ใหญ่อายุใกล้เคียงพวกเรามากค่ะ รุ่นๆเดียวกันเลย คุยถูกคอมาก ลูกสาวอาจารย์บอกว่าอาจารย์รักหลานคนนี้ที่สุดเลยค่ะ เพราะเลี้ยงมาแต่เด็ก ก่อนเสียก็ขอให้ดูแลหลานให้ดี เป็นห่วงหลานจนถึงวันสิ้นลม...
พวกเราก็ add friend กับน้องคนนี้ ทุกวันนี้ยังติดต่อกันอยู่เลยค่ะ ^^
(ตอนที่เขียนกระทู้อยู่นี่ก็ใกล้จะได้ดำเนินงานพระราชทานเพลิงแล้ว เดี๋ยวก็คงได้เจอกันอีก^^)

ปล ตอนที่ครอบครัวเดินมา พวกหนูถามว่า "อยากเห็นหน้าอาจารย์ไหมคะ" ญาติบอกว่าอยากเห็นมาก หนูเลยเปิดให้ดู ลูกสาวร้องไห้โฮเลยค่ะ แล้วพูดว่า "แม่ แม่" หนูถามว่าจำได้ไหมคะ คุณน้าพยักหน้าแล้วบอกว่า "จำได้สิ นี่แม่แน่ๆ จำได้ หน้าเหมือนแม่เลย โถแม่ แม่เป็นครูแล้วนะ"
หนูเห็นแล้วน้ำตาซึม ยังบอกไปว่า "ขอบคุณนะคะ ที่ทำให้เจตนารมย์ของอาจารย์เป็นจริง หนูขอบคุณมาก บุญคุณนี้หนูใช้ยังไงก็ไม่หมด แต่หนูสัญญาว่าจะตั้งใจเรียน (อ๊าก พิมพ์ไปน้ำตาไหลไปนึกถึงบรรยากาศตอนนั้น) ถึงจุดนี้หนูหันไปมองโต๊ะอื่นรอบๆ เพื่อนๆของหนูกลุ่มอื่นก็ตาแดงกันเป็นแถบเลยค่ะ มันเป็นช่วงเวลาที่หนูไม่รู้จะเขียนอธิบายได้ยังไงเลย จะจำไปจนวันตาย

น้อง(ที่เป็นหลานของอาารย์ใหญ่) ได้มอบรูปถ่ายอาจารย์ตอนยังมีชีวิตให้พวกหนูด้วย หนูเก็บไว้ดูเวลาท้อถอยกับวิชากรอสค่ะ ^^ สู้ตาย



หลังจากนั้น การเรียนก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เนื้อหามากมายมหาศาล เรียนจนท้อ (ร้องไห้บ่อยๆ) การเรียนแต่ละครั้งก็เหนื่อย ยิ่งแลปวันไหนยากๆ กับฝีมือแบบพวกเราแรกๆนี่ไม่ต้องพูดค่ะ กลับบ้านกันสี่ทุ่มยังมี เหนื่อยมากๆ T__T พอช่วงใกล้สอบทุกวิชาจะประเดประดังเข้ามา เพื่อนบางคนก็เครียดหนักเลยนะคะ ที่นี่จะมีระบบอาจารย์ที่ปรึกษาดูแลใกล้ชิดมากค่ะ เข้าถึง นศพได้ไวมาก คนไหนมีทีท่าว่าจะดำดิ่งก็รีบลากไปติว (ปล การโดนเรียกไปติวนี่มีชื่อเรียกเฉพาะด้วยนะคะ แต่ไม่ขอเรียกชื่อนั้นเพราะจะรู้หมดว่าคณะไหน 555 แต่การโดนเรียกไปติวนี่มีบัตรเชิญลับๆ หรืออาจารย์อาจเดินไปสะกิดเองและนัดแนะวันกันเลยก็ได้ค่ะ ส่วนตัวหนูไม่เคยโดนเลยซักวิชาเลยไม่ค่อยรู้ว่าเค้าทำกันยังไง แต่พอรู้มาคร่าวๆแค่นี้)

พอสอบครั้งแรก ก็เป็นอะไรที่ไม่มีทางที่ชีวิต นศพ หรือหมอคนไหนจะลืมได้แน่นอนค่ะ ^^

การสอบมีหลายวิชาค่ะ และทีนี่สอบได้โหดมากค่ะ ไม่มีการหยุดให้อ่านระหว่างสอบนะคะ ส่วนมากก็เป็นเรียนแล้วสอบเลย ^^''
(ตอนที่พิมพ์อยู่นี่ก็ใกล้สอบแล้วล่ะ อ๊ากๆๆ T^T)
สอบหลายวิชาแต่หนูจะขอเล่าแต่วิชากรอสนะคะ ถ้ามีคนอยากรู้เรื่องอื่นๆอีกไว้จะมาเล่าเพิ่มค่ะ

สำหรับวิชา Gross anatomy ที่เรียนแทบจะทุกวันนั้นหน่วยกิตก็มากเช่นกันค่ะ
เวลาสอบทีทุกคนจะคร่ำเคร่งมาก อ่านกันแบบเอาเป็นเอาตาย ^^''

ข้อสอบจะแบ่งเป็น 3 ส่วนค่ะ
1 ข้อสอบปรนัยค่ะ มีตัวเลือก ประมาณ 50 ข้อ เวลาไม่มากนัก โจทย์ก็จะถามแบบซอยยิบๆ ซอยจนหน้าซีด =- -^
พอตอนบ่ายก็เจออีกสองส่วนค่ะ
2 ข้อสอบบรรยายทฤษฎี คราวนี้แหละหนักกว่าเดิม เขียนกันจนข้อมือปวดระบมเลย เขียนก็ไม่ค่อยจะทันซะด้วยสิ
และส่วนสุดท้ายนี่แหละค่ะ ...
3 แลปกริ๊งงงนั่นเอง !!! ก็จะเป็นโจทย์ผูกไว้ตามส่วนต่างๆของอาจารย์ใหญ่นะคะ ให้เวลาข้อละสองนาที พอกริ๊งก็หมุนไปเรื่อยๆจนครบทุกข้อ ข้อสอบก็จะอารมณ์ประมาณว่า "structureที่ผูกนี้คืออะไร ทำหน้าที่ใด" หรือ
"structure ที่ผูกนี้มีความสำคัญอย่างไร" หรือ
"จงบอกแขนงทั้งหมดของหลอดเลือดนี้"
หรือ ผูกไว้และ "จงแสดงแผนผัง lymph drainage ของอวัยวะนี้"
"จงเขียน brachial plexus"
จงวาดนั่นวาดนี้
จงบอกชื่อกล้ามเนื้อที่เกาะ เส้นประสาทที่มาเลี้ยง หน้าที่
และอื่นๆอีกเยอะมากค่ะ
ถ้าพูดภาษาวัยรุ่นเค้าจะพูดว่า ปวดตับ ค่ะ
เพราะว่ามันเขียนเยอะ เวลาก็น้อย พอกริ๊งปุ๊บก็หมุน รีบดูโจทย์ สมองประมวลผลแบบรวดเร็วมาก รีบเขียนตอบ
ส่วนมากก็ทัน ถ้าข้อไหนโหดนิดนึงก็เขียนไม่ครบ ถ้าโหดมากๆก็เว้นว่าง T^T

หลังจากนั้น ชีวิตพวกเราแทบไม่ได้ทำอะไรนอกจาก เรียน กิน อ่านหนังสือ นอน เลยค่ะ เวลาพี่รหัสเลี้ยงนี่เป็นเวลาที่มีความสุขมากกได้ไปกินอาหารดีๆไกลๆ (ปกติฝากท้องไว้กับอาหารใน รพ และรอบรพ ค่ะ กินจนเบื่อเลย)

แต่พวกเราก็ผ่านมันมาได้นะคะ อาศัยอาจารย์ติวบ้าง เพื่อนทำชีทแจกบ้าง รุ่นพี่บ้าง
และก็ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนค่ะ ^^''

จากวันแรกที่เรียนถึงวันนี้ก็เกือบเก้าเดือนแล้วค่ะ
เก้าเดือนที่อยู่กับอาจารย์ใหญ่มา.....

มาวันนี้นะคะ ร่างของอาจารย์ก็ได้เรียนจนหมดแทบทุกส่วนแล้วค่ะ ทุกกล้ามเนื้อ ทุกเส้นเลือด ทุกประสาท ทุกข้อต่อ
เวลาเรียนก็เรียนเป็นส่วนๆ พอจบส่วนหนึ่งเราก็จะตัดส่วนที่เรียนเสร็จแล้วออก
พี่ๆเจ้าหน้าที่ก็จะมาผูกรหัสอาจารย์ไว้แล้วเอาไปเก็บรักษาต่อ
วันนี้ร่างอาจารย์เหลือเล็กมากค่ะ เพราะเป็นส่วนสุดท้ายแล้วค่ะที่เราต้องเรียน T__T

ความรู้สึกของหนูนะคะ
ใจหายค่ะ ใจหายมาก
หนูผูกพันค่ะ ผูกพันกับร่างนี้
ร่างที่สอนหนูทุกวัน โดยไม่ต้องพูดกับหนูซักคำ
ร่างที่ถ้าไม่ได้มาเรียนไม่มีวันเลยที่หนูจะเข้าใจร่างกายของคนได้มากขนาดนี้
ร่างของครููผู้ให็ ผู้ที่ยอมเสียสละ ให้วิทยาทานกับหนูและเพื่อนๆที่จะเติบโตต่อไปเป็นหมอในอนาคต
หนูไม่มีอะไรจะพูดไปมากกว่า หนูรักอาจารย์มากค่ะ รักมาก หนูขอบคุณอาจารย์ที่เสียสละร่างให้หนูศึกษา
หนูขอบคุณญาติที่ยอมให้อาจารย์มาหาพวกหนู ข
ขอบคุณจริงๆค่ะ

ปล คุณแม่ของหนูและหนูถ้ามีเวลามักไปทำบุญ และตักบาตรด้วยของที่อาจารย์ชอบทานตลอด พร้อมอุทิศส่วนกุศลให้ค่ะ
แต่ถ้าหนูไม่ว่างทำ ม่าม๊าก็จะทำให้แทนตลอด เหมือนม่าม๊ามาเรียนด้วยเลย ^^
หนูก็ต้องขอบคุณม่าม๊าหนูด้วยที่ช่วยทำหน้าที่ลูกศิษย์ที่หนูขาดตกบกพร่องไปค่ะ
ปล หนูคิดว่าอาจารย์คงไม่ได้ทานอาหารที่หนูตักบาตรไปให้หรอกค่ะ แต่หนูซีเรียสมากว่าตักบาตรตอนเช้าต้องเป็นอาหารนี้เท่านั้น หนูก็ไม่เข้าใจตัวเอง = ='' แต่ม่าม๊าก็น่ารักมากค่ะ ตื่นมาทำกับข้าวให้ทุกเช้าเลย


สำหรับตอนนี้ หนูก็ยังคงตั้งใจเรียนต่อไป หนูตั้งมั่นมากว่าหนูจะเป็นหมอตัวเล็กๆที่ดี จะรักคนไข้ของหนู หนูอยากเป็นหมอเด็กค่ะ ฝันเฟื่องมากก = = เส้นทางอีกยาวไกล T^T
(เวิ่นอีกแล้วขอโทษนะคะ)

ตอนนี้เพื่อนๆและคณะก็เตรียมงานพระราชทานเพลิงไปได้มากแล้วค่ะ เริ่มพิมพ์หนังสือที่จะเขียนระลึกถึงอาจารย์ในวันงานแล้ว
ส่วนกลุ่มของหนู ยกหน้าที่เขียนให้เพื่อนอีกคนไป เพราะเพื่อนแต่งได้ซึ้งกว่าอีก

ในการเรียนวิชาแพทย์นั้น นักศึกษาแพทย์ต้องเรียนรู้ตั้งแต่ความรู้พื้นฐานไปจนถึงความรู้ขั้นสูงของวิชาชีพ เพื่อที่จะไปก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติให้ได้มากที่สุด
กว่าจะจบไปเป็น “หมอ” รักษาคนไข้จำนวนมากได้นั้น ต้องเรียนอย่างหนัก
เพื่อจะได้ความรู้ให้มากพอและรอบด้านเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
หากจะเปรียบวิชาแพทย์เป็นต้นไม้ใหญ่ที่มีราก ลำต้น และกิ่งก้านสาขาจำนวนมาก พร้อมที่จะแตกยอดออกใบออกดอกให้ผลอีกไม่จบสิ้นนั้น
วิชากายวิภาคเปรียบเสมือน “รากแก้ว” ของการศึกษา
เพราะเป็นวิชาที่เป็นพื้นฐานสำคัญ
ให้ความรู้เกี่ยวกับร่างกายของมนุษย์
เพื่อให้นักศึกษาแพทย์นำไปประยุกต์ใช้ต่อไปไม่รู้จบ
หากขาดรากแก้วแล้ว ต้นไม้แห่งวิชาแพทย์คงไม่สามารถเติบโตต่อไปได้
จึงกล่าวได้ว่าหมอทุกคนจำเป็นต้องผ่านการเรียนวิชานี้จึงจะมีความรู้พื้นฐานที่ดีพอที่จะนำไปรักษาคนอีกจำนวนมากในอนาคต
แน่นอนว่าการศึกกายวิภาค จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย หากปราศจาก “อาจารย์ใหญ่”
ผู้ซึ่งมีจิตเมตตาบริจาคร่างกายยามสิ้นลมไปแล้วของท่านให้แก่นักศึกษาแพทย์ผู้โง่เขลาได้ศึกษาเพื่อจะได้นำความรู้ไปรักษาคนได้อีกมายมาย
แม้อาจารย์ใหญ่จะไม่ได้บรรยายเนื้อหาวิชาให้ฟังเหมือนอาจารย์ท่านอื่น
แต่นักศึกษาได้เรียนรู้อะไรมากมายอย่าง
มิอาจหาได้จากที่ไหนแม้แต่ตำราฝรั่งที่มีรูปสีให้ได้ดู
ทุกสัมผัส ทุกภาพ ที่ได้รับจากจากการชำแหละร่างอาจารย์ใหญในแต่ละครั้งนั้น ได้ให้ความรู้ที่ยิ่งใหญ่แก่นักศึกษาแพทย์ทุกคน
ครั้งแรกที่ได้เจออาจารย์ใหญ่นั้นรู้สึกตื่นเต้น ได้เรียนรู้ความมหัศจรรย์ของร่างกายมนุษย์ จากนั้นทุกวันที่อยู่กับร่างของอาจารย์ก็ก่อเกิดความผูกพันในหัวใจเพิ่มพูนมากขึ้น
ความผูกพันนี้ไม่อาจบรรยายได้ มีทั้งความรัก และความซาบซึ้งในพระคุณของอาจารย์ใหญ่
เชื่อว่าเมื่อครั้งที่ท่านยังมีชีวิต
ท่านคงเป็นที่รักของใครหลายๆคน
ทั้งครอบครัวของท่านและคนรอบข้าง
แม้ก่อนจากไปท่านยังมีจิตใจอันแน่วแน่ที่จะบริจาคร่างกายของท่านให้เราได้ศึกษา
แม้ว่าเมื่อยามมีชีวิตอยู่เรากับท่านไม่เคยได้เจอกัน
ไม่รู้จักกัน แต่เมื่อท่านสิ้นลมไปร่างของท่านได้มาเป็น “อาจารย์ของเรา”
พวกเราต้องขอขอบพระคุณญาติของท่านอาจารย์ที่คอยติดต่อเป็นธุระจัดการร่างของอาจารย์และมอบให้กับทางคณะทำให้เจตนารมย์ของอาจารย์เป็นจริง

พวกเรานักศึกษาแพทย์ซาบซึ้งในพระคุณอันใหญ่หลวงของอาจารย์ใหญ่ ที่ได้มอบความรู้ให้พวกเรา และขอตั้งปณิธานว่าจะตั้งใจเรียนอย่างหนักเพื่อจบไปเป็นแพทย์ที่ดีของประเทศชาติ
ด้วยกุศลและเมตตาธรรมของอาจารย์ใหญ่ (ชื่ออาจารย์ของปิดไว้นะคะ) ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกโปรดดลบันดาลให้ดวงวิญญาณของอาจารย์ใหญ่ไปสู่สุขติภูมิ



จากคุณ : sweet lindy (sweet lindy)
เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 21:43:06





ความคิดเห็นที่ 19

นี่ก็เป็นมุมมองของหนูนะคะ ย้ำว่าของหนูแค่คนเดียวค่ะ
อยากให้ทุกท่านที่หวาดกลัวว่าจะเกิดปัญหาแบบนั้นขึ้นอึก ขอให้ลองคิดใหม่นะคะ
ปีๆหนึ่งมีคนบริจาคร่างกายมากก็จริง แต่ไม่ใช่ว่าทุกร่างจะสามารถเป็นอาจารย์ใหญ่ได้
ยิ่งใน รร แพทย์ตามต่างจังหวัดบางที่ยังเรียน 1 ร่างต่อ 8 คนอยู่เลยนะคะ ซึ่งหนูว่ามันไม่ได้ประสิทธิภาพที่ดีมากพอเท่าไหร่เลย ว่ากันง่ายๆก็คือยังขาดแคลน...
ลองมองหลายมุมนะคะ มองแง่บวกที่หนูอยากแนะนำมีดังนี้ค่ะ

ให้ลองคิดว่า มีอาจารย์ใหญ่ในประเทศเรามีมามากมายนับไม่ถ้วนแล้ว ปัญหาแทบไม่เคยเกิดขึ้น
ใครอาจมองว่าอาจมีก็ได้แต่เค้าไม่มาเขียนเองแหละ แต่ก้ขอให้มองในแง่ดีไว้ว่า ไม่ค่อยจะเกิดกับใคร ขอให้เราอย่าโชคร้ายก็แล้วกัน ทำด้วยใจสบายๆและเป็นกุศลนะคะ แล้วอะไรดีๆจะเกิดแน่นอนค่ะ หนูกลัวจังเลย กลัวเขียนแล้วไปกระทบใคร T___T
(สารภาพตามตรงว่าอ่านกระทู้นั้นแล้วแอบกลัวมาก คิดอยู่นานว่าจะเขียนดีป่าว)

และอยากให้คิดเถอะค่ะว่า แม้ว่าพนักงานจะแย่แค่ไหน การจัดการปัญหาจะห่วยแตกแค่ไหน แต่พวกนศพ ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นเลยค่ะ ได้แต่นั่งตามอ่านดราม่าติดๆ แล้วก็เสียใจที่คนมองพวกเราผิดไป ผิดไปเยอะเลยค่ะ หนูอยากให้มองพวกหนูใหม่นะคะ อย่างน้อยให้โอกาสพวกหนูนะคะ

วันนี้หนูขอตัวไปทหน้าที่ของตัวเองก่อนนะคะ(อ่านหนังสือนั่นเอง) แล้วจะมาตอบนะคะถ้าใครมีคำถาม หนูอยากให้แสดงความคิดเห็นกันนะคะ หนูจะได้รู้ว่าอะไรที่พวกเราพลาดไปจะพยายามแก้ไขค่ะ

ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ^^ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านถึงจะแค่ไม่กี่คนแต่หนูดีใจมาก เสียเวลาแย่ เวิ่นเว้อซะยาว แต่หนูขอบคุณมากนะคะ ^^

จากคุณ : sweet lindy (sweet lindy)






Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2555 15:05:00 น. 0 comments
Counter : 3414 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

หมอหมู
Location :
กำแพงเพชร Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 762 คน [?]




ผมเป็น ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ หรือ อาจเรียกว่า หมอกระดูกและข้อ หมอกระดูก หมอข้อ หมอออร์โธ หมอผ่าตัดกระดูก ฯลฯ สะดวกจะเรียกแบบไหน ก็ได้ครับ

ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปี ( เรียกว่า แพทย์ทั่วไป ) แล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง ออร์โธปิดิกส์ อีก 4 ปี เมื่อสอบผ่านแล้วจึงจะถือว่าเป็น แพทย์ออร์โธปิดิกส์ โดยสมบูรณ์ ( รวมเวลาเรียนก็ ๑๐ ปี นานเหมือนกันนะครับ )

หน้าที่ของหมอกระดูกและข้อ จะเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย ของ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก ข้อ และ เส้นประสาท โรคที่พบได้บ่อย ๆ เช่น กระดูกหัก ข้อเคล็ด กล้ามเนื้อฉีกขาด กระดูกสันหลังเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุน เป็นต้น

สำหรับกระดูกก็จะเกี่ยวข้องกับกระดูกต้นคอ กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน กระดูกข้อไหล่ จนถึงปลายนิ้วมือ กระดูกข้อสะโพกจนถึงปลายนิ้วเท้า ( ถ้าเป็นกระดูกศีรษะ กระดูกหน้า และ กระดูกทรวงอก จะเป็นหน้าที่ของศัลยแพทย์ทั่วไป )

นอกจากรักษาด้วยการให้คำแนะนำ และ ยา แล้วยังรักษาด้วย วิธีผ่าตัด รวมไปถึง การทำกายภาพบำบัด บริหารกล้ามเนื้อ อีกด้วย นะครับ

ตอนนี้ผม ลาออกจากราชการ มาเปิด คลินิกส่วนตัว อยู่ที่ จังหวัดกำแพงเพชร .. ใช้เวลาว่าง มาเป็นหมอทางเนต ตอบปัญหาสุขภาพ และ เขียนบทความลงเวบ บ้าง ถ้ามีอะไรที่อยากจะแนะนำ หรือ อยากจะปรึกษา สอบถาม ก็ยินดี ครับ

นพ. พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ ( หมอหมู )

ปล.

ถ้าอยากจะถามปัญหาสุขภาพ แนะนำตั้งกระทู้ถามที่ .. เวบไทยคลินิก ... ห้องสวนลุม พันทิบ ... เวบราชวิทยาลัยออร์โธปิดิกส์ หรือ ทางอีเมล์ ... phanomgon@yahoo.com

ไม่แนะนำ ให้ถามที่หน้าบล๊อก เพราะอาจไม่เห็น นะครับ ..




New Comments
[Add หมอหมู's blog to your web]