ทำไมต้อง LAtelier de Joël Robuchon ?
LAtelier de Joël Robuchon หรือ ห้องปฏิบัติการของ Joël Robuchon เป็นร้านอาหารของเชฟ Joël Robuchon เจ้าของฉายา "เชฟแห่งศตวรรษ" ผู้ครอบครอง Michelin Star สัญลักษณ์ความอร่อยที่ได้รับการยอมรับอย่างสากล จำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์วงการอาหาร คือ สูงถึง 25 ดวง!
ตอนนี้ Joël Robuchon ได้เปิด ห้องปฏิบัติการของ Joël Robuchon สาขาใหม่ล่าสุดเป็นลำดับที่ 9 ณ ตึกมหานครคิวบ์ ที่กรุงเทพมหานครนี้
ภายใต้แนวคิด ครัวเปิดสุด exclusive ให้เหล่า foodie ผู้คลั่งไคล้ในอาหารได้ลิ้มลองกัน!
Michelin Star คืออะไร ?
Michelin Star คือ รางวัลที่ให้กับร้านอาหารทั่วโลก ไม่ว่าจะอเมริกา ยุโรป เอเชีย โดยร้านที่ได้รางวัลนั้นจะต้องมีความเลอค่า ทั้งด้านคุณภาพ เทคนิค ลักษณะเฉพาะตัวของอาหาร ความเสมอต้นเสมอปลายของรสชาติ การตกแต่งจาน บริการ ซึ่งแบ่งออกเป็นระดับตั้งแต่ 1 ถึง 3 ดาว และถือเอา 3 ดาว เป็นคะแนนสูงสุด การได้ไปทานอาหารที่ร้าน Michelin Star ถือเป็นสุดยอดประสบการณ์ด้านอาหารที่น่าลิ้มลองสุดๆ!
สำหรับสาขาของร้านนี้ก็มีทั้งหมด ณ ขณะนี้ (ตามเว็บ) 11 สาขาทั่วโลกค่ะ ได้แก่ Paris, Bordeaux, Bangkok, Hong Kong, Las Vegas, London, Macao, Monaco, Singapore, Taipei และ Tokyo ค่ะ
ซึ่งที่สาขากรุงเทพฯ นี้ จะมี Olivier Limousine ซึ่งเป็น executive chef ในการดูแลเป็นหลักนะคะ ซึ่งเว็บของร้านนี้ก็จะเป็นลิงก์นี้ค่ะ (เผื่อใครจะสนใจจองไปลองรับประทานนะคะ)
//robuchon-bangkok.com/
ซึ่งวันที่เราไปกินคุณ Olivier Limousine ไม่อยู่ค่ะ ไปงานแต่งงานเพื่อนที่ฝรั่งเศส (วันนั้นคนทำก็เลยเป็นคุณ Marc Vasseur นะคะ) นอกจากนั้นก็มีคุณ Quentin Arnould ที่เป็น General Manager (มีรูปในลำดับต่อไปนะคะ แหะๆ) และ Chef Sommelier - Benoit Bigot (เราไม่มีรูป เพราะไปช้า (อีกแล้ว แง)) แต่ก็เอารูปจากเว็บไซต์มาให้ดูหน้าค่าตากันค่า มีประวัติด้วยนะคะ เชิญไปอ่านที่เว็บได้เลยนะฮับ
เอาหละค่ะ หลังจากเกริ่นกันมาพอสมควรแล้ว ก็ขอเริ่มเข้าสู่การรีวิวด้วยการเดินทางนะคะ วันนั้นไม่ได้เอารถไปเองค่ะ (เพราะเห็นมีดื่มไวน์ด้วย) ใช้บริการแท็กซี่ยี่ห้อหนึ่งไปส่ง ซึ่งอาคารมหานครคิวบ์นี่ก็จะอยู่ใกล้ๆ กับสาทรซิตี้ทาวเวอร์เลยค่ะ เดินถัดไปอีกหน่อย หน้าตาอาคารก็ประมาณนี้นะคะ
เข้าไปในอาคาร จะมีลิฟท์อยู่ทางขวามือค่ะ ร้านแห่งนี้จะอยู่ที่ชั้นห้านะคะ
ออกจากลิฟท์ปุ๊บ ก็จะเจอกับทางเข้าร้านแห่งนี้แบบประจันหน้าตามภาพเลยหละค่ะ
เดินเข้าร้านปุ๊บ เลี้ยวซ้ายไปก็จะเจอกับโซนของเคาน์เตอร์บาร์ซึ่งจะเห็นครัวเปิดก่อนค่ะ ตรงบริเวณนี้จะมีที่นั่งทั้งหมด 36 ที่ค่ะ และทั้งร้านจะมีที่ทั้งหมด 62 ที่นะคะ (ข้อมูลจากการถามพนักงานค่ะ)
ตู้ไวน์จะมีด้านในอีกด้วยนะคะ แต่เราไม่ได้นั่งตรงเคาน์เตอร์หรอกค่ะ พอดีน้องเหมียว nanareview เธอจองที่ไว้ให้ที่ด้านใน ก็เลยเดินตรงแน่วไปด้านในค่ะ
แต่ก่อนจะถึงโซนด้านใน มีห้องไพรเวทส่วนตัวเก๋ๆ แบบนี้ให้ด้วยนะคะ ชอบอ้ะ
ส่วนนี่คือโซนที่เรานั่งค่ะ ค่อนข้างเงียบกว่าโซนทางเคาน์เตอร์นะคะ
เซ็ตอัพบนโต๊ะค่ะ จัดวางเรียงอุปกรณ์ตามหลักการรับประทานอาหารตะวันตกนะคะ (ไล่จากนอกมาในค่ะ) แก้วน้ำมีสามใบตามเครื่องดื่มสามชนิดที่จะบริการหละค่ะ
การ์ดครบรอบห้าปีของ Wongnai ค่ะ
เมนูอาหารที่จะบริการเราวันนี้นะคะ โดยพนักงานก็เข้ามาถามด้วยว่า โอเคกับเมนูมั้ย (คิดว่าถ้าเราแพ้อะไรหรือไม่ทานอะไรก็น่าจะแจ้งให้เค้าเปลี่ยนได้หละค่ะ แต่เวลามางานอย่างนี้เรากินได้หมด (แม้กระทั่งเนื้อวัวที่ปกติจะไม่กินค่ะ ยกเว้นมางานชิมแบบนี้ แหะๆ) ก็เลยไม่ได้เปลี่ยนอะไรค่ะ)
จากนั้นพนักงานก็นำขนมปังมาให้บริการค่ะ เราสอบถามว่าเชียร์ตัวไหน น้องบอกว่าที่จริงอร่อยทุกตัว (แหม้..ตอบเหมือนกันทุกที่จริงๆ ฮา) แต่ถ้าเอาที่คนชอบเยอะก็น่าจะเป็นครัวซองท์เราเลยเลือกครัวซองท์มาค่ะ ซึ่งอร่อยมากๆ กรอบ และหอมนุ่มชุ่มเนยมาก เป็นการเปิดตัวที่ประทับใจเลยหละค่ะ)
ตัวขนมปังนี่น้องจะมาคอยสอบถามตลอดเลยนะคะว่าจะรับเพิ่มมั้ย อ้อๆ อีกอย่างในส่วนของเพสตรี้ทั้งหมดนี้นี่เป็นเชฟญี่ปุ่นทำนะคะ
เอาตัวอย่างเมนูมื้อกลางวันมาให้ดูค่ะ (มีราคาที่ถูกกว่านี้นะคะ และถ้ามื้อเย็นราคาก็จะแพงกว่านี้ด้วยค่ะ ไปดูในเว็บเอาเนาะ) ราคานี้มี ++ อีกนะคะ
Amuse-bouche เป็นคำมาจากภาษาฝรั่งเศส อ่านว่า อามูส บุช เป็นของว่างขนาดพอดีคำ ทำพอดีคำ แบบหยิบใส่ปากกินได้สะดวก
Amuse-bouche เป็นอาหารเรียกน้ำย่อย (Appetizers) อย่างหนึ่ง เมื่อไปรับประทานอาหารตามภัตตาคาร ส่วนใหญ่ อามูส บุช มักเป็นสิ่งที่ไม่ต้องสั่ง แต่เป็นของแถมมากับมื้ออาหาร ฝ่ายพ่อครัวเป็นฝ่ายเลือกจัดเตรียมให้ ในร้านอาหารชั้นดี เมื่อไปรับประทานอาหาร เขาจะมีไวน์ (Complementing wine) ในปริมาณไม่มาก แถมมาให้ด้วย ถือเป็นการเตรียมแขกสำหรับมื้ออาหาร นับเป็นศิลปะและฝีมือประดิษฐ์ของพ่อครัว แต่เขาจะไม่ทำอามูส บุชออกมาแล้วเสิร์ฟในปริมาณมาก เขาทำมาเพียงพอประมาณ เพื่อเรียกน้ำย่อยในช่วงรอรับประทานอาหารจานหลัก (Main dish)
จานนี้มีชื่อว่า Pour Commencer ค่ะ เป็นแก้วเล็กๆ ซึ่งต้องใช้ช้อนเล็กในการตักกินนะคะ ตามในเมนูเค้าบรรยายไว้ว่าเป็น Chilled green kale veloute with spicy tomato jelly นะคะ ซึ่งเจ้า green kale veloute ก็มีหน้าตาแบบรูปที่อยู่ในจานรองนั่นแหละค่ะ
สำหรับตัวรสชาติ ต้องเป็นคนชอบแนวผักจริงๆ นะคะ เพราะรสออกมาแนวเขียวๆ ผักๆ เลยหละค่ะ เล่นเอาคนไม่กินผักหลายคนรับมือไม่ไหว (ฮา) แต่สำหรับเรา (ซึ่งกินผัก) ก็กินได้ค่ะ แปลกดี แต่ก็ไม่ได้ชอบมากนะคะ แต่เป็นการกินอาหารฝรั่งเศสที่แรกเลยที่รู้สึกว่า เชฟที่นี่จัดเต็มในทุกคำของอาหารค่ะ คือ รสชาติจะไม่ค่อยๆ ละมุนๆ เผยตัวทีละนิด แต่กินคำแรกแล้วรสชาติมาเต็มปากเต็มคำเลยน่ะค่ะ เหมือนกินปุ๊บก็โดนหมัดตรงเลยน่ะนะ
จานต่อไปค่ะ Le King Crab ซึ่งบรรยายไว้ว่า King Crab and avocado roll on a delicate grapefruit jelly ค่ะ แถมมีโปรยห้อยท้ายมาด้วยว่า 2012 Sylvaner Rosenberg, Vieilles Vignes, Domaine Barme's-Buecher นะคะ
สำหรับตัวรสชาติ ที่ชอบและสร้างความประทับใจให้เรามากๆ เลยคืออโวคาโดที่พันเป็นโรลมาค่ะ นุ่มนิ่มนวลละลายในปากมากๆ เลยค่ะ แล้วรสชาติก็มาแรงจัดชัดเต็มเหมือนเดิม รสเต็มปากเต็มคำมากๆ โดยตอนแรกเรากินแบบไม่ได้กินตัวเยลลี่ด้านล่างนะคะ จากนั้นก็ลองชิมเยลลี่ (สีแดงๆ) ด้านล่าง ปรากฏว่าขมปลายๆ นิดๆ และเปรี้ยวบางๆ (น่าจะจากเกรพฟรุ้ต) ค่ะ กินด้วยกันก็ส่งรสไปอีกแบบ เหมือนมีรสเยลลี่มาตัดนิดๆ ทว่าพอถามเพื่อนร่วมโต๊ะปรากฏว่า มีคนที่บอกว่าเยลลี่ขมเหมือนเราแค่คนเดียว ส่วนอีกสองท่านไม่ขมค่ะ เลยคิดว่าน่าจะเป็นเยลลี่คนละเซ็ตกัน ซึ่งโดยปกติไม่น่าจะขมแบบที่เราเจอนะคะ
ถ้าใครไม่อยากเสี่ยงกับรสขม (ถ้าเกิดไปเจอเหมือนเรา - จะลองชิมนิดหนึ่งก่อนก็ได้ค่ะ จะได้รู้ว่าควรกินคู่กันมั้ย เพราะมันจะเป็นการสร้างรสชาติแบบที่เชฟอยากให้ได้กินน่ะนะคะ) ก็แนะนำให้กินตัวโรลอย่างเดียวก็ได้นะคะ เพราะแค่ตัวโรลก็อร่อยมากๆ แล้วค่ะ
อ้อ ลืมให้ดูเครื่องดื่มที่เค้ามาเสิร์ฟค่ะ มี Sparkling Water ก่อน แล้วก็จะเป็นไวน์ขาวน่ะนะคะ
ต่อไปค่ะกับ La Cerise ซึ่งบรรยายไว้ว่า Cherry gazpacho with ricotta cheese and roasted pistachio นะคะ
รสชาติตัวนี้ออกแนวเปรี้ยวนะคะ ทานแล้วจะค่อนข้างสดชื่นเลยแหละ ตัวพิตตาชิโอและชีสอร่อยมาก หอมมันค่ะ คนร่วมโต๊ะหลายคนชอบนะคะ เป็นตัวกระตุ้นน้ำย่อยที่ดีอีกตัวหนึ่งเลยหละค่ะ
หลังจากจบซุปไป ก็จะมีการเสิร์ฟไวน์ค่ะ เป็นไวน์แดงตามภาพเลยนะฮับ
สำหรับไวน์แดงตัวนี้นะคะ พอจะเห็นขามั้ยเอ่ย? (ถ่ายมาได้ดีที่สุดเท่านี้ค่ะ แหะๆ) ค่อนข้างดื่มได้ลื่นดีค่ะ ดื่มง่าย ถ้าเปรียบไวน์ตัวนี้เป็นคนก็เป็นสาวน้อยวัยเยาว์หละค่ะ น่ารักตามวัย แต่ก็ไม่ได้งดงามขนาดต้องตะลึงพรึงเพริดหละนะคะ
ต่อไปค่ะกับ La Caille (Free range quail stuffed with foie gras served with potato puree and herb salad)
จานนี้เป็นจานหนึ่งที่เราค่อนข้างประทับใจนะคะ ซอสหอมกรุ่น นกกระทาเนื้อนุ่มฉ่ำ ตัวชิ้นอกยัดไส้ฟัวกราส์ ซึ่งจานนี้โอเคเลยค่ะ กินคำแรกก็อี้มมม เลยแหละ อย่างที่บอกว่าเชฟค่อนข้างถนัดหมัดตรงในคำแรกที่กินนะคะ ตัวมันบดที่มาด้วยกันก็อร่อยมาก เนยเต็มพิกัดและสามารถเติมได้ด้วยนะคะ เป็นจานหลักที่ดีเลยหละค่ะ
ต่อกับของหวานจานนี้ค่ะ Fleur Caramel (Caramel lightness, tangerine jelly and sorbet) แค่ตอนเสิร์ฟแล้วเห็นหน้าตานี้สาวๆ รอบโต๊ะว้าวกันเลยหละค่ะ สวยป๊ะหละ คือนอกจากการจัดพรีเซนเตชั่นจะออกมาสวยงามตามสไตล์แล้ว ตัวภาชนะที่ใส่ก็เลือกมาให้ตรงคอนเซปต์กับอาหารแต่ละจานด้วยค่ะ อาร์ทมากๆ ปลื้มค่ะ
ตัวนี้น่าจะสั่งต่างหากอีกเช่นกันค่ะ รวมทั้งชาปิดท้ายนะคะ ซึ่ง..ไม่มีเอิร์ลเกรย์ให้เลือกนะคะ แหะๆ เลยได้ดาร์เจียลิ่งมาแทนค่ะ ตัวช็อกโกแลตนี่ข้างในเป็นไส้คาราเมลเต็มๆ ด้วยนะคะ อร่อยดีค่ะ
ปิดท้ายงานวันนั้นด้วยกิจกรรมแลกของขวัญค่ะ ซึ่งทางวงในได้อีเมลบอกก่อนหน้านี้แล้วว่าให้เตรียมของขวัญไม่เกิน 200 บาทไป เราเองอ่านเมลแล้วยังต้องเมลกลับไปถามว่า "ไม่เกิน" หรือ "ไม่ต่ำ" ได้รับการยืนยันว่าไม่เกินค่ะ เราเลยเอาตัวแม็กเน็ตฮัลล์สแตทไปให้มัน 4.5 ยูโรน่ะนะ แต่พอไปถึงปรากฏว่ามีคนเตรียมของขวัญ 800 บาทไปด้วย (ไงหละ เหอๆ) เลยเอาหนังสือธรรมะที่เตรียมสแปร์เผื่อไว้ประกบไปด้วยเป็นสองอย่างค่ะ ให้ไม่น่าเกลียดเกินไปค่ะ
มีรูปแอบขอถ่ายกับคุณ Brett หนึ่งในอีลิทของวงในด้วยค่ะ แต่ขอเซนเซอร์หน้าเราเพื่อความสุนทรีย์ของคนอ่านนะคะ
ตบท้าย (อีกที) ด้วยการตัดเค้กพร้อมกับการกล่าวขอบคุณจากคุณยอด CEO ของวงในค่ะ รูปหมู่ และรูปของ GM ค่ะ (ขอรวบเป็นรูปเดียวเพราะไม่งั้นจะเกินที่ระบบกำหนดค่ะ)
สรุปสำหรับร้านนี้ เราว่าควรไปกินกันสักครั้งหละนะคะ เราเองก็ว่าจะไปลองคอร์สมื้อค่ำเร็วๆ นี้หละค่ะ แล้วจะมารีวิวอีกครั้งหนึ่งนะคะ
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาค่ะ
1,469,696+2535187=4004883/11702/983