happy memories
Group Blog
 
<<
กันยายน 2558
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
4 กันยายน 2558
 
All Blogs
 
เสพงานศิลป์ ๒๒๘





ภาพจากเวบ deviantart.com





"ฉันได้จากโลกนี้ไปแล้วโดยไม่เสียใจ

เพราะฉันได้อุทิศชีวิตของฉันให้กับ

บางสิ่งที่เป็นประโยชน์

ในฐานะเป็นผู้รับใช้ที่ต่ำต้อย

ในงานศิลปของฉัน

ชีวิตนั้นสั้น....แต่ศิลปะยืนยาว


ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี





Romance - Yuhki Kuramoto










นิทรรศการภาพถ่ายฝีมือชั้นครู โดย ๗ ช่างภาพ:



หอศิลปมหาวิทยาลัยกรุงเทพ วิทยาเขตกล้วยน้ำไทจัดนิทรรศการนิทรรศการภาพถ่ายฝีมือชั้นครู มีพิธีเปิด วันเสาร์ที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๘ เวลา ๑๘.oo - ๒o.๓o น.

***ก่อนพิธีเปิด ๑๕.oo – ๑๗.oo น. พูดคุยกับช่างภาพชั้นครู พรศักดิ์ ศักดิ์แดนไพร และภัณฑารักษ์ มานิต ศรีวานิชภูมิ

ช่วงเวลาจัดแสดง ๑๙ กันยายน - ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๘
นิทรรศการภาพถ่ายฝีมือชั้นครู โดย ๗ ช่างภาพ:

พุทธทาส ภิกขุ (๒๔๔๙ – ๒๕๓๖)
ม.ล.ต้อย ชุมสาย (๒๔๔๙ – ๒๕o๔)
เลี่ยงอิ้ว (๒๔๕๔ – ๒๕๓๕)
แสงจันทร์ ลิ่มโลหะกุล (๒๔๖๗ – ๒๕๔o)
เอส. เอช. ลิม (๒๔๗๓ –)
‘รงค์ วงษ์สวรรค์ (๒๔๗๕ – ๒๕๕๒)
พรศักดิ์ ศักดิ์แดนไพร (๒๔๘๑ –)

ภัณฑารักษ์โดย มานิต ศรีวานิชภูมิ

“ไทยเราไม่มีช่างภาพระดับมาสเตอร์ให้ศึกษาเลยหรือ?” มานิต ศรีวานิชภูมิ ศิลปินและอาจารย์พิเศษด้านภาพถ่ายตั้งคำถามนี้กับตัวเอง เพราะเมื่อต้องสอนหนังสือก็มีแต่ผลงานช่างภาพมาสเตอร์ของตะวันตกให้เรียนเท่านั้น ส่วนของไทยยังไม่มีตำราที่ศึกษาอย่างจริงจัง และนี่คือเหตุผลให้เขาเริ่มโครงการค้นหาครูภาพถ่ายไทยเมื่อปี ๒๕๕๔

“ช่างภาพไทยที่โลกลืม” คือหยาดเหงื่อแรงงานของมานิต ที่ค้นคว้ารวบรวมเอาผลงานภาพถ่ายอันหลากหลายทั้งเนื้อหาและสไตล์ของช่างภาพไทยฝีมือชั้นครูจำนวน ๗ ท่านมานำเสนอให้ชมกัน โดยผลงานเหล่านี้ของบางท่านไม่เคยเผยแพร่ที่ใดมาก่อน ช่างภาพบางท่านเป็นพระนักปราชญ์ผู้มีชื่อเสียง เช่น พุทธทาส ผู้ใช้ภาพถ่ายเป็นเครื่องมือสื่อธรรมะ บางท่านเป็นที่รู้จักในฐานะนักเขียนชื่อดังมากกว่าช่างภาพ เช่น ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ และ ม.ล.ต้อย ชุมสาย (ผู้เป็นอาจารย์สอนถ่ายภาพให้ ‘รงค์) บางท่านเมื่อเปิดร้านถ่ายรูปยังใช้แสงแดดในการอัดภาพ เช่น พรศักดิ์ ศักดิ์แดนไพร เพราะพิมายในปี ๒๕o๒ ยังไม่มีไฟฟ้าใช้

เทศกาลโฟโต้บางกอก ร่วมกับ หอศิลปะมหาวิทยาลัยกรุงเทพ และคัดมันดู โฟโต้ แกลเลอรี่ มีความภูมิใจในการมีส่วนร่วมสนับสนุนโครงการบันทึกประวัติศาสตร์ภาพถ่ายไทย เพื่อเป็นองค์ความรู้อันเป็นประโยชน์และเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ชมทั่วไป
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร o-๒๓๕o- ๓๖๒๖ หรือ //www.facebook.com/events/1632502200338966/



ภาพและข้อมูลจาก
portfolios.net














“สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกกับการสาธารณสุขไทย"



มูลนิธิสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ร่วมกับ ศูนย์การค้าสยามพารากอน โดยความร่วมมือของคณะแพทยศาสตร์ คณะทันตแพทย์ศาสตร์และคณะเภสัชศาสตร์ จากทุกสถาบันการศึกษาในประเทศไทย จัดงานนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ “สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกกับการสาธารณสุขไทย ผู้สูงวัย ใส่ใจสุขภาพ” เพื่อน้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อประเทศชาติ และทรงเป็นพระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันและการสาธารณสุขไทยโดยจะจัดแสดงนิทรรศการในรูปแบบสื่อผสมมัลติมีเดีย ซึ่งนิทรรศการจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๔-๘ กันยายน ๒๕๕๘ ณ ไลฟ์สไตล์ฮอลล์ (LifeStyle Hall) ชั้น ๒ ศูนย์การค้าสยามพารากอน






ในการนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนิน ทรงเป็นองค์ประธานเปิดงาน นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ “สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก” พร้อมทั้งพระราชทานรางวัลบัณฑิตแพทย์บัณฑิตทันตแพทย์ และบัณฑิตเภสัชศาสตร์ดีเด่น ประจำปี ๒๕๕๘ ที่ได้รับการคัดเลือกจากมูลนิธิฯ และพระราชทานเกียรติบัตรบัณฑิตแพทย์ บัณฑิตทันตแพทย์ และบัณฑิตเภสัชศาสตร์ที่มีผลการเรียนดีเยี่ยมของแต่ละสถาบัน พร้อมทั้งพระราชทานทุนการศึกษาแก่นิสิตนักศึกษาแพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชศาสตร์ ในวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๘ เวลา ๑๓.๓o น.






ภายในงานนิทรรศการจะจัดแสดงเกี่ยวกับพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจในด้านการศึกษา การแพทย์และสาธารณสุข อาทิ ทรงเป็นกำลังสำคัญในการขยายพื้นที่และกิจการของโรงพยาบาลศิริราช, ทรงเป็นผู้แทนฝ่ายไทยเจรจากับมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ในการขอความร่วมมือปรับปรุงและพัฒนาการศึกษาด้านการแพทย์ไทย และการให้ทุนแก่แพทย์ไปศึกษาเพิ่มเติมในต่างประเทศ ตลอดจนการพัฒนาโรงพยาบาลศิริราชและโรงเรียนนางพยาบาลและผดุงครรภ์ให้ก้าวหน้าไปพร้อมกัน, ทรงสอนวิชาประวัติศาสตร์และวิชากายวิภาคศาสตร์ในชั้นเตรียมแพทย์ คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, พระราชทานทุนทรัพย์สำหรับสร้างตึกคนไข้ในโรงพยาบาลศิริราช ๑ หลัง และพระราชทานทุนทรัพย์ครึ่งหนึ่งของราคาค่าก่อสร้างตึกอำนวยการของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล, พระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นเงินทุนทางด้านการศึกษาของแพทย์และพยาบาล และทรงพระราชนิพนธ์บทความด้านการแพทย์หลายเรื่อง เป็นต้น ซึ่งจากพระราชกรณียกิจใน สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ได้สะท้อนถึงพระวิสัยทัศน์อันกว้างไกลเกี่ยวกับการแพทย์และการสาธารณสุขของประเทศไทย ทรงมีพระราชปณิธานอันแน่วแน่ที่จะช่วยเหลือกิจการด้านการแพทย์สาธารณสุขของไทยให้ก้าวหน้าขึ้นทุกวิถีทาง จนกระทั่งได้รับพระบรมราชานุญาตพระราชทานพระราชสมัญญานามเป็น“พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันและการสาธารณสุขไทย”






นอกจากนี้ ยังมีนิทรรศการให้ความรู้การส่งเสริมสุขภาพจากคณะแพทยศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ และคณะเภสัชศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ได้แก่ นิทรรศการผู้สูงวัยใส่ใจสุขภาพ, นิทรรศการรู้จักการชะลอวัย, นิทรรศการรู้ใช้อาหารและเวชภัณฑ์, นิทรรศการรู้เท่าทัน ฟัน เหงือกดี ฯลฯ การบรรยายพิเศษเรื่อง “ผู้สูงวัย ใจสบาย กายแข็งแรง” โดย ศ.นพ.เสก อักษรนุเคราะห์, การแข่งขันตอบปัญหาชิงรางวัลด้านวิชาการและการแสดงต่าง ๆ จากศิลปินชั้นนำ อาทิ ตูมตาม เดอะสตาร์, ปาน-ธนพร, สุชาติ ชวางกูร และกลุ่มจิตอาสา โรงพยาบาลสิรินธรฯลฯ รวมทั้งการให้บริการทางการแพทย์ต่าง ๆ อาทิ การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ และการตรวจวัดสายตา โดยจะเปิดให้บริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ระหว่างเวลา ๑๓.oo-๑๘.oo น.

ผู้สนใจเข้าชมนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ “สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก กับการสาธารณสุขไทย : ผู้สูงวัย ใส่ใจสุขภาพ” พร้อมร่วมรับฟังการบรรยายพิเศษจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ได้ตั้งแต่วันที่ ๔-๘ กันยายน ๒๕๕๘ ระหว่างเวลา ๑o.oo-๑๙.oo น. ณ ไลฟ์สไตล์ ฮอลล์ ชั้น ๒ ศูนย์การค้าสยามพารากอน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่โทร. o๒-๖๑o-๘ooo











ภาพและข้อมูลจาก
naewna.com














ภาพพิมพ์ใจหทัยทวยราษฎร์



"ภาพพิมพ์ใจหทัยทวยราษฎร์"
โดย พินิตย์ พันธประวัติ
ระหว่างวันที่ ๒o สิงหาคม - ๔ ตุลาคม ๒๕๕๘
ณ หอศิลป์ร่วมสมัยอาร์เดล (ถนนบรมราชชนนี)


นิทรรศการ “The Engravings of My Heart: ภาพพิมพ์ใจหทัยทวยราษฎร์” นำเสนอผลงานภาพพิมพ์แม่พิมพ์แกะสลัก (Engraving: เทคนิคการแกะสลักแม่พิมพ์ ลักษณะเดียวกับการทำแม่พิมพ์ธนบัตรไทย) ด้วยภาพพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์แห่งราชวงศ์จักรี โดยสร้างสรรค์ขึ้นด้วยเทคนิคการแกะสลักแม่พิมพ์ให้เกิดเป็นเส้นสายและแสงเงาอันงดงามอย่างละเอียดอ่อน ประณีตบรรจง แสดงให้เห็นถึงความอุตสาหะ ความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ นอกจากนั้นยังมีผลงานภาพพิมพ์ภาพทิวทัศน์และสถานที่สำคัญต่าง ๆ ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความงดงามอันวิจิตรอีกด้วย











































ภาพและข้อมูลจาก
FB ARDEL Gallery














เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ '๖o พรรษา เจ้าฟ้าอนุรักษ์'



โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) สำนักพระราชวัง ร่วมกับบริษัท ไทยนิวส์ เน็ตเวิร์ค (ทีเอ็นเอ็น) จำกัด, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, เครือเจริญโภคภัณฑ์, ทรูวิชั่นส์, กลุ่ม ปตท., ธนาคารไทยพาณิชย์, ธนาคารกรุงเทพ, และองค์กรภาครัฐและเอกชน จัดทำสารคดีชุด “๖๐ พรรษา เจ้าฟ้านักอนุรักษ์” เนื่องในโอกาส สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๖o พรรษา ๒ เมษายน ๒๕๕๘ เพื่อเผยแพร่ส่วนหนึ่งของงานพระราชดำริในด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน ๖o ตอน พร้อมจัดทำวีดิทัศน์และหนังสือชุด “๖๐ พรรษา เจ้าฟ้านักอนุรักษ์” แจกจ่ายให้กับห้องสมุดโรงเรียนทั่วประเทศ

ในการนี้ได้รับเกียรติจาก ศ.ดร.ธีระ สูตะบุตรประธานที่ปรึกษา อพ.สธ., นายพรชัย จุฑามาศ รองผู้อำนวย อพ.สธ., นายชนินทร์ ชมะโชติประธานบริษัท ดอคคิวเมเนีย จำกัด, นางสาวสมรักษ์เจียมธีรสกุล ผู้จัดการโครงการ บริษัท แปลน โมทิฟจำกัด และ นายสมพันธ์ จารุมิลินท ประธานคณะกรรมการบริหาร สถานีข่าวโทรทัศน์ TNN 24 ร่วมให้รายละเอียดการจัดทำสารคดีเฉลิมพระเกียรติ “๖๐ พรรษา เจ้าฟ้านักอนุรักษ์”

นายพรชัย จุฑามาศ รองผู้อำนวย อพ.สธ.กล่าวว่า อพ.สธ. เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากสายพระเนตรอันยาวไกลของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงเล็งเห็นว่าแนวทางหนึ่งในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ว่าในประเทศของเรามีพืชพันธุ์ชนิดใดบ้าง โดยเฉพาะพรรณไม้พื้นถิ่นที่นับวันจะสูญหาย เยาวชนคนรุ่นใหม่ก็ไม่รู้จัก จึงมีพระราชดำริให้จัดทำฐานข้อมูลพันธุกรรมพืชเพื่อรวบรวมพันธุ์พืชในประเทศไทยและหาแนวทางในการอนุรักษ์พันธุ์พืชเหล่านั้นได้อย่างถูกวิธี ซึ่งได้พระราชทานแนวพระราชดำริในการทำงานว่า “จากยอดเขาสู่ใต้ทะเล” คือจะต้องเก็บข้อมูลทั้งบนบกและใต้น้ำ เพราะล้วนมีความสำคัญเกี่ยวเนื่องกันทั้งสิ้น ทั้งนี้ อพ.สธ ได้ดำเนินงานอนุรักษ์ฐานทรัพยากรตามพระราชดำริในลักษณะการสร้างเครือข่ายร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั่วประเทศโดยงานที่สำคัญอย่างมากคืองานศูนย์ข้อมูลพันธุกรรมพืช ซึ่งเป็นระบบสารสนเทศที่เชื่อมต่อกันในหน่วยงานสนองพระราชดำริ ปัจจุบันงานอนุรักษ์ฐานทรัพยากรมี ๓ ด้าน คือ อนุรักษ์ฐานทรัพยากรกายภาพ ชีวภาพ และภูมิปัญญา

นายชนินทร์ ชมะโชติ ประธานบริษัท ดอคคิวเมเนีย จำกัด ผู้รับผิดชอบการทำสารคดีเฉลิมพระเกียรติชุดนี้ กล่าวว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงงานด้านการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชมากว่า ๒o ปี เป็นพระราชกรณียกิจที่น้อยคนจะทราบ เมื่อตนได้รับมอบหมายให้ทำสารคดีจึงนับว่าเป็นงานที่ยากที่จะรวบรัดเรื่องราวตลอด ๒o ปีของการทรงงานให้เหลือเพียง ๖o ตอน ตอนละ ๕ นาที เพื่อให้สารคดีเฉลิมพระเกียรติชุดนี้ออกมาอย่างสมพระเกียรติ ผู้ชมชมแล้วมีความเข้าใจและเกิดความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ คณะทำงานผู้ผลิตทั้งผู้เขียนบท ช่างภาพผู้กำกับ ได้ลงพื้นที่ศึกษารายละเอียดอย่างถ่องแท้เพื่อให้สารคดีมีความถูกต้องสมบูรณ์มากที่สุด และจากการทำงานครั้งนี้ทำให้พวกเรารู้สึกภาคภูมิใจที่ประเทศไทยมีเจ้าฟ้าที่ทรงงานหนักเพื่อให้ประเทศไทยมีทรัพยากรธรรมชาติที่สวยงามส่งต่อให้ลูกหลานรุ่นต่อไป

นางสาวสมรักษ์ เจียมธีรสกุล ผู้จัดการโครงการ บริษัท แปลน โมทิฟ จำกัด ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการจัดทำหนังสือประกอบสารคดี กล่าวว่าในชุดวีดิทัศน์เฉลิมพระเกียรติพร้อมหนังสือชุด“๖๐ พรรษา เจ้าฟ้านักอนุรักษ์” นี้ จะประกอบไปด้วยดีวีดี ๖o ตอน และหนังสือ ๖๐ พรรษา เจ้าฟ้านักอนุรักษ์ ความหนา ๒oo หน้า แบ่งเนื้อหาออกเป็น3 ส่วน ได้แก่ ส่วนแรกเป็นกาลานุกรม หรือ Timeline แสดงพระราชประวัติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และการอนุรักษ์ทรัพยากรพันธุกรรมพืชของไทยที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงริเริ่มและ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงสืบต่อ ส่วนที่สองเป็นเนื้อหาตามสารคดีทั้ง ๖o ตอน และส่วนที่เป็นปกิณกะหรือภาคผนวก สิ่งมีชีวิตในพระนามาภิไธย และสิ่งมีชีวิตที่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีพระราชทานนาม

นายสมพันธ์ จารุมิลินท ประธานคณะกรรมการบริหารสถานีข่าว TNN 24 กล่าวว่า จากการจัดทำสารคดีเฉลิมพระเกียรติชุด “๖๐ พรรษาเจ้าฟ้านักอนุรักษ์” ทำให้ตระหนักได้ถึงสายพระเนตรอันยาวไกลของพระองค์ท่านที่ทรงมีพระราชดำริให้ก่อตั้ง อพ.สธ. จนก่อให้เกิดงานอันทรงคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อประเทศและประชาชนชาวไทย การได้เห็นความร่วมแรงร่วมใจในการทำงานของหลายหน่วยงาน รวมถึงผู้ให้การสนับสนุนทุกภาคส่วนที่มีส่วนร่วมทำให้การผลิตสารคดีชุดนี้สำเร็จสวยงาม ทั้งนี้ ก็เพื่อร่วมกันเผยแพร่โครงการพระราชดำริที่ทรงคุณค่า ให้ประชาชนโดยเฉพาะเยาวชนคนร่นุใหม่ได้เห็นได้เข้าใจ ตระหนักถึงพระราชดำริที่ทรงมีต่อประเทศไทย เพื่อประชาชนของพระองค์ เพื่อประโยชน์สุขอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ ยังได้จัดทำวีดิทัศน์พร้อมหนังสือชุด “๖๐ พรรษา เจ้าฟ้านักอนุรักษ์” เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเนื่องในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๖o พรรษาจำนวน ๑,ooo ชุด เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ๕oo ชุด และอีก ๕oo ชุดจะส่งมอบให้กับห้องสมุดต่าง ๆ ทั่วประเทศต่อไป

สารคดีเฉลิมพระเกียรติชุด “๖๐ พรรษา เจ้าฟ้านักอนุรักษ์” จำนวน ๖o ตอน ความยาวตอนละ ๕ นาที จะออกอากาศทางสถานีข่าวโทรทัศน์ TNN24 (ทรูวิชั่นส์ช่อง ๗) เป็นตอนแรกในวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ เวลา ๒o.๕๕-๒o.oo น. ไปจนครบทั้ง ๖o ตอน และจะออกอากาศสถานีโทรทัศน์ในเครือ ได้แก่ ช่อง TNN2 (ทรูวิชั่นส์ช่อง ๗๘๔) วันที่ ๑ กันยายน เวลา ๒o.๒๕-๒o.๓o น. ออกอากาศซ้ำเวลา ๔.๕๕-๕.oo น. และ ๑๕.๒๕-๑๕.๓o น.ช่องทรูปลูกปัญญา (ทรูวิชั่นส์ช่อง ๖) วันที่ ๑ กันยายน เวลา ๗.๔๔-๘.oo น. ช่อง True4U (ทรูวิชั่นส์ช่อง ๔) วันที่ ๘ กันยายน ๒๕๕๘ เวลา ๑๘.๒o-๑๘.๒๕ น. ออกอากาศซ้ำเวลา ๑๙.๒๕-๒o.oo น.และไทยทีวีโกลเบิลเน็ตเวิร์ค (TGN ทรูวิชั่นส์ช่อง ๑) วันที่ ๑ ตุลาคม ทุกวันจันทร์-วันอาทิตย์





วีดิทัศน์พร้อมหนังสือชุด “๖๐ พรรษา เจ้าฟ้านักอนุรักษ์



พระฉายาลักษณ์ ภาพและข้อมูลจาก
naewna.com
photoontour.com














เสพศิลป์ กินอร่อย สไตล์ ม.จ.มารศีสุขุมพันธุ์



พระนามของ ม.จ.มารศีสุขุมพันธุ์ บริพัตร อาจจะไม่ค่อยคุ้นหูในหมู่คนรุ่นใหม่นัก แต่ถ้าในหมู่คนรักงานศิลปะทั้งในประเทศและทั่วโลกเชื่อว่าน้อยคนจะไม่รู้จัก เนื่องจากทรงสร้างสรรค์ผลงานภาพเขียนอันเป็นเอกลักษณ์ในแนวเซอร์เรียลลิสต์ แฟนตาสติก และจัดแสดงนิทรรศการผลงานหลายครั้ง ในขณะประทับอยู่ ณ เมืองอันนอต (Annot) ทางใต้ของประเทศฝรั่งเศส จนได้รับการยอมรับในกลุ่มศิลปินในภูมิภาคนั้น ซึ่งที่กรุงเทพฯ มูลนิธิหม่อมเจ้าหญิงมารศีสุขุมพันธุ์ บริพัตร นำโดย ศ.ดร.ม.ร.ว.ชิษณุสรร สวัสดิวัตน์ ประธานมูลนิธิ ก็เคยนำมาจัดแสดงแล้วสองครั้ง






ดังนั้นเพื่อมิให้พระนามของ ม.จ.มารศีสุขุมพันธุ์ บริพัตร เลือนรางไปจากความทรงจำของคนไทย ประกอบกับในจังหวะที่รอให้แกลลอรี่ย่านหลังสวน ซึ่งอยู่ในระหว่างดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จสมบูรณ์นั้น จึงเกิดแนวคิดในการเปิดร้าน “ลาเตอลิเยร์ เดอ มารศี หรือ สตูดิโอของท่านหญิงมารศีฯ” ขึ้น เพื่อเผยแพร่ผลงานภาพเขียนฝีพระหัตถ์ โดยการจำลองผลงานบนผืนผ้าใบ ส่วนภาพที่คัดเลือกมามีทั้งภาพความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสัตว์ ภาพความเป็นความตาย ฯลฯ ขณะเดียวกันก็ต้องการนำเสนอศิลปะอันทรงคุณค่าของศิลปินชาวไทยให้นักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติได้ชื่นชม อีกทั้งยังเป็นสถานที่พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของคนรุ่นใหม่ผู้มีใจรักศิลปะด้วย










ภายในงานซึ่งเลือกจัดขึ้นให้ตรงกับวันคล้ายวันประสูติของ ม.จ.มารศีสุขุมพันธุ์ เน้นแบบเรียบง่ายตามสไตล์ของศิลปิน ได้รับเกียรติจาก ม.ร.ว.เดือนเด่น กิติยากร, “คุณอาร์ต” ม.ล.อภิชิต วุฒิชัย - “กบ” อาภาศิริ เทพหัสดิน ณ อยุธยา, อาทิตยา กุลโมไนย, นุชนันท์ โอสถานนท์, พวงเพ็ชร ภาธรรัตน์, สินนภา สารสาส, ภควดี วัฒนศิริ, จีรภา สานกิ้งทอง, ปราง เวชชาชีวะ ศิลปินนักวาดภาพรุ่นใหม่ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากท่านหญิงมารศีสุขุมพันธุ์ และ ลักขณา คุณาวิชยานนท์ ผอ.หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร รวมถึงนักศึกษาที่ได้รับทุนการศึกษาจากมูลนิธิ มาร่วมแสดงความยินดี ทั้งนี้ “คุณปั๋ม” ม.ล.จันทราภา สวัสดิวัตน์ ซึ่งรับหน้าเสื่อดูแลทุกสิ่งอย่าง เปิดเผยว่า นอกจากผลงานภาพเขียนฝีพระหัตถ์ของ ม.จ.มารศีสุขุมพันธุ์แล้ว อาหารจานเดียว อาหารว่างและเครื่องดื่ม ที่จัดเสิร์ฟส่วนใหญ่ยังเป็นจานโปรดของพระองค์หญิง ซึ่งเป็นอาหารแบบง่าย ๆ อาทิ ข้าวน้ำพริกท่านหญิง, ข้าวผัดอันนอต, ข้าวคลุกเต้าหู้ยี้ไก่สับ, สปาเกตตีวาเลอร่า, สปาเกตตีกะเพราไก่ และแซนด์วิชลาเตอลิเยร์ เดอะมารศี เป็นต้น






ทั้งนี้ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ม.จ.มารศีสุขุมพันธุ์ประชวร ทำให้ไม่ทรงสามารถวาดภาพได้เช่นเดิม แต่ประทับในพระตำหนัก “Vellara” ในเมืองอันนอต ประเทศฝรั่งเศส จวบจนวาระสุดท้ายของพระชนม์ชีพเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖ สำหรับมูลนิธิ จัดตั้งขึ้นตามพระประสงค์ของ ม.จ.มารศีสุขุมพันธุ์ เมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๒ โดยพระญาติและพระสหายผู้ใกล้ชิด เพื่อส่งเสริมการศึกษาด้านศิลปะในประเทศไทย และดำเนินกิจกรรมสงเคราะห์สัตว์







คลิกอ่านบล็อกเกี่ยวกับท่านหญิงที่ลิงค์ข้างล่างค่ะ

นิทรรศการ "L'Art de Marsi"
ถวายอาลัย ม.จ.มารศี สุขุมพันธุ์ บริพัตร



ภาพและข้อมูลจาก
komchadluek.net
นิตยสาร Hello ฉบับวันที่ ๑๑ ก.ค. ๒๕๕๖














ภาคภูมิใจในความเป็นไทย เปิดมุมคิด 'นักภัณฑารักษ์' มิวเซียมสยาม



คำว่า “ภัณฑารักษ์” ในแวดวงพิพิธภัณฑ์ไทยนั้นหมายถึงผู้ดูแลรักษาวัตถุโบราณล้ำค่าของชาติ ในขณะที่ “มิวเซียมสยาม” พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ต้นแบบในการสร้างการเรียนรู้อย่างเพลิดเพลิน ภัณฑารักษ์กลับมีภารกิจและหน้าที่แตกต่างไปอย่างน่าสนใจ

เพราะ “ภัณฑารักษ์” หรือ “นักจัดการความรู้” ในสังกัดของ สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ และ มิวเซียมสยาม นั้นเป็นทั้ง “นักวิชาการ” และ “นักคิด” ที่ต้องผสมผสานระหว่างความคิดสร้างสรรค์ ข้อมูลเชิงวิชาการ มุมมองทางสังคมศาสตร์ หลักฐานทางมานุษยวิทยาและประวัติศาสตร์ มุมมองด้านวิทยาศาสตร์ หรือแม้กระทั่งเรื่องราวทางไสยศาสตร์ โดยนำประเด็นหรือเรื่องราวที่น่าสนใจมา “ตีความ” ในมุมมองที่แปลกใหม่ สร้างสรรค์เป็นนิทรรศการสุดเก๋และโดนใจ เพื่อเป็นเครื่องมือกระตุ้นให้เกิดการต่อยอดการเรียนรู้ให้กับผู้ชม

“พาฉัตร ทิพทัส” นักจัดการความรู้อาวุโส สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ กล่าวว่าการผลิตนิทรรศการสักเรื่องหนึ่ง มีวิธีการทำงานที่ไม่แตกต่างไปจากการทำ Thesis หรืองานวิจัย ลักษณะคล้ายวิทยานิพนธ์ขนาดย่อม และที่สำคัญคือมิวเซียมสยามไม่ได้จัดแสดงวัตถุจัดแสดงหรือวัตถุโบราณเหมือนพิพิธภัณฑ์อื่น ๆ ดังนั้นการนำเสนอจึงสร้างสรรค์ให้เกิดมุมมองในหลายมิติ

“เราไม่ได้แสดงวัตถุจัดแสดง เพราะว่าจริง ๆ แล้วเราจัดแสดงเรื่องราวของวัตถุนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวหรือแง่มุมทางประวัติศาสตร์ เชิงมานุษยวิทยา หรือเชิงวิทยาศาสตร์ นิทรรศการหลาย ๆ เรื่องที่ผ่านมาอย่างนิทรรศหลงรัก ซึ่งเรามีวัตถุจัดแสดงที่มีคุณค่า แต่เราใช้วัตถุจัดแสดงเป็นเครื่องมือในการเล่าเรื่องในประเด็นที่เชื่อมโยงไปสู่เรื่องราวในด้านต่าง ๆ มากกว่าการโชว์วัตถุชิ้นนั้น ๆ”

“วรกานต์ วงษ์สุวรรณ” นักจัดการความรู้อาวุโส สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ เล่าว่าการสร้างสรรค์นิทรรศการของมิวเซียมสยามแตกต่างไปจากพิพิธภัณฑ์ทั่วไปคือ ไม่ได้มีแนวคิดในการนำของโบราณที่มีอยู่แล้วมาตั้งจัดแสดง เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่กลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ต้องการเข้ามาชม

“มิวเซียมสยามทำนิทรรศการเชิงประวัติศาสตร์หลายครั้ง ถ้าเป็นที่อื่น ๆ ก็คงเอาของโบราณที่เกี่ยวข้องมาจัดแสดง แต่เราจะพยายามทำให้เรื่องราวในประวัติศาสตร์นั้นมาเชื่อมโยงกับเรื่องราวทางสังคมและเรื่องราว ๆ อื่นใกล้ตัว หรือแม้กระทั่งเรื่องของความเชื่อก็นำเอามาผนวกกับวิถีชีวิตของคน เพื่อให้ผู้ชมได้มองเห็นว่าเนื้อหาสำคัญของชุดนิทรรศการเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สามารถเข้าถึงและสัมผัสได้”

“ทวีศักดิ์ วรฤทธิ์เรืองอุไร” นักจัดการความรู้อาวุโส สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ ระบุว่าการที่จะทำนิทรรศการขึ้นมาสักเรื่องหนึ่ง การค้นหาข้อมูลจากในโลกออนไลน์แทบจะไม่เกิดประโยชน์ ต้องค้นคว้าจากเอกสารอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ ตำรา หรืองานวิจัยต่าง ๆ ทั้งจากห้องสมุดในเมืองไทยหรือแม้แต่ในต่างประเทศเป็นหลัก

“เพราะว่าถ้าเราใช้สื่อออนไลน์หาข้อมูล คนอื่น ๆ ก็หาได้ แล้วเขาก็รู้เหมือนกับเรา เมื่อทำออกมาเป็นนิทรรศการก็ไม่มีความน่าสนใจ เพราะเขารู้กันอยู่แล้ว”

หลายครั้งที่เหล่าภัณฑารักษ์ได้รับ “โจทย์” ที่แค่ฟังหัวข้อก็น่าเบื่อแล้วเช่น เรื่องของภูมิปัญญาไทยไม่ว่าจะเป็นการปลูกข้าวหรือผ้าไหมไทย แต่เมื่อหัวข้อเหล่านี้ได้รับการ “ตีความ” เรื่องราวทั้งหมดเสียใหม่ ก็เกิดเป็นนิทรรศการที่ดึงดูดความสนใจให้ผู้คนเข้ามาซึมซับรับรู้เข้าใจภูมิปัญหาไทยได้อย่างไม่รู้ตัว

“ภูมิปัญญาเป็นเรื่องที่วัยรุ่นฟังแล้วเบื่อ เพราะมันเป็นคำที่ตายไปแล้ว คิดอะไรไม่ออกบอกไม่ถูกก็ใช้คำว่าภูมิปัญญาไว้ก่อน เราก็ตีความเสียใหม่ อย่างเรื่องข้าวก็ตีความว่าชาวนาคือนักค้นคว้าหรือนักวิจัยแห่งท้องทุ่ง การปลูกข้าวเป็นวิทยาศาสตร์มีทั้งวิชาเคมี ชีววิทยา และฟิสิกส์ เช่นเครื่องจักรกล ๘ อย่าง เช่น รอก เฟือง คาน ที่เราเคยเรียนสมัยเด็กซึ่งลืมกันไปแล้ว เอาเรื่องนี้มาผสานกับเรื่องทางสังคมและนำภูมิปัญญามาอธิบายให้เป็นวิทยาศาสตร์” พาฉัตรกล่าว

“หรือการนำเสนอเรื่องไหมไทย ก็ถูกตีความใหม่และนำเสนอเป็นนิทรรศการมองใหม่ด้ายไหม โดยมองให้กว้างขึ้นว่าไหมเป็นอะไรได้มากกว่าเสื้อผ้า เช่น ไหมเย็บแผล ที่คนโบราณเอามาใช้เย็บแผล เมื่อก่อนไม่มีใครรู้ว่าเพราะอะไรถึงนำสิ่งนี้มาใช้ ก็บอกไปว่าเป็นภูมิปัญญา แต่ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์พบว่าเส้นไหมคือโปรตีนที่เข้ากันได้กับร่างกายมนุษย์ เมื่อนำไปเย็บแผลแล้วจะช่วยป้องกันไม่ให้แผลอักเสบ นี่คือการตีความที่ทำให้เกิดมิติใหม่ในการมองเส้นไหมที่ไปไกลกว่าแค่เสื้อผ้า” ทวีศักดิ์อธิบายเสริม

ใช่ว่าจะมองและตีความเรื่องเก่า ๆ ในมุมมองเชิงบวกเท่านั้น บางครั้งทีมภัณฑารักษ์ก็นำเสนอภูมิปัญญาเหล่านี้ในเชิงลบแต่สร้างสรรค์ เช่นนิทรรศการเรื่อง “กินของเน่า” ที่สวนกระแสภาพลักษณ์อาหารไทยที่ต้องรสชาติดีมีประโยชน์และสวยงาม แต่แท้ที่จริงแล้วอาจกำลังกินของเน่า เพราะวัตถุดิบบางอย่างก่อนจะนำมาปรุงเป็นอาหาร ต้องผ่านการเน่าเสียชนิดที่เรียกว่าเน่าจนเกินเน่า ซึ่งการนำเสนอแบบห่าม ๆ ในครั้งนั้นได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากผู้ชม

โดย “ภัณฑารักษ์” ทั้ง ๓ คนกล่าวถึงหัวใจในการสร้างสรรค์นิทรรศการให้ประสบความสำเร็จเป็นเสียงเดียวกันว่า ทุกครั้งเมื่อเปิดนิทรรศการแล้วพวกเขาจะเข้าไปแอบดูผู้ชมตามจุดต่าง ๆ คอยฟัง และดูพฤติกรรมของผู้ชม ว่าสนใจอะไร ดู อ่าน หยุด ตำหนิ หรือชื่นชมตรงจุดไหน เพื่อนำมาปรับปรุงรูปแบบและวิธีการนำเสนอในครั้งต่อไปให้สอดรับความพฤติกรรมและความต้องการของผู้ชมให้มากยิ่งขึ้น

“ภัณฑารักษ์เป็นอาชีพที่สอนกันไม่ได้ เพราะการทำงานแต่ละครั้งไม่มีอะไรที่เหมือนเดิม มันเหมือนกับการทำงานวิจัยใหม่ทุกครั้ง เบื้องหน้าย่อมดูสนุกและสวยงาม ในขณะที่เบื้องหลังค่อนข้างโหดร้าย ไม่ได้มีต้นแบบให้ใครสามารถทำตามได้ เพราะหัวข้อมักเปลี่ยนตลอด แต่ทุกคนก็สามารถเรียนรู้ พัฒนาตนเอง และสะสมประสบการณ์ให้เพิ่มพูน ที่สำคัญคือต้องลองผิดลองถูกและแก้ไข” พาฉัตรกล่าวถึงการเตรียมความพร้อมคนรุ่นใหม่ที่สนใจงานในสาขาอาชีพนี้

“นักจัดการความรู้” หรือ “ภัณฑารักษ์” นับว่าเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่มีความน่าสนใจ เพราะห้วงเวลานับต่อจากนี้ พิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้หลาย ๆ แห่งทั่วประเทศ กำลังยกระดับและพัฒนาตนเองให้ก้าวไปสู่การเป็นแหล่งเรียนรู้อย่างรื่นรมย์สำหรับผู้คนในสังคมทุกเพศวัย

Museum Culture จะเกิดขึ้นในสังคมได้หรือไม่ ค่านิยมหรือทัศนคติของคนไทยต่อพิพิธภัณฑ์จะเปลี่ยนไปมาน้อยแค่ไหน ส่วนหนึ่งคงต้องฝากความหวังไว้ที่ “ภัณฑารักษ์” รุ่นใหม่นับจากนี้.







ภาพและข้อมูลจาก
ryt9.com
กระทู้ Museum Siam














ร่วมสืบสานเสน่ห์วิถีไทยในงาน
“เยือนถิ่นโบราณวิถีไทย...ตลาดน้ำกลางกรุง”



อีทไทย (Eathai) ศูนย์รวมสตรีทฟู้ด และครัว ๔ ภาค ชั้น LG ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ร่วมสืบสานเสน่ห์วิถีไทย จัดงาน “เยือนถิ่นโบราณวิถีไทย...ตลาดน้ำกลางกรุง” ชวนชิมอิ่มอร่อยกับสารพัดอาหารคาวหวานตำรับไทยโบราณที่หากินได้ยากจากตลาดน้ำและตลาดบกโบราณชื่อดัง จาก ตลาดน้ำดอนหวาย ตลาดน้ำอัมพวา ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง และตลาดน้ำคลองลัดมะยมพร้อมการสาธิตสร้างสรรค์งานหัตถกรรมและชวนซื้อสินค้าที่ระลึกภูมิปัญญาท้องถิ่น อาทิ การปั้นดอกไม้ดิน, ผลิตภัณฑ์จากกะลามะพร้าว, สาธิตการทอผ้าฝ้ายตลอดจนผลิตภัณฑ์คัดสรรที่โซนตลาดอีทไทย และเรียนรู้การทำอาหารไทยที่ อิษยา คุกกิ้ง สตูดิโอ พร้อมรับส่วนลดพิเศษเมื่อชำระด้วย Central Credit Card หรือแสดง The 1 Card และลูกค้า AIS Serenade ตั้งแต่ ๒ ถึง ๑๓ ก.ย. ๒๕๕๘



ภาพและข้อมูลจาก
naewna.com
kintrend.com














'รอยดุริยางค์' รอยทางแห่งความภาคภูมิใจ
นันทพร ไวศยะสุวรรณ์



แม้ว่าวันที่หนังสือพิมพ์วางแผง ละครเวทีเรื่อง “รอยดุริยางค์ เดอะมิวสิคัล” จะลาโรงไปแล้ว แต่ทว่า ยังมีสิ่งที่น่าจะพูดถึงอยู่...

เพราะอยากจะบอกว่า นี่เป็นละครเวทีที่ดีเรื่องหนึ่งของยุคทีเดียว!

ด้วยเรื่องราวที่สลับไปมา และสร้างเซอร์ไพรส์ได้ตลอดเวลา โดยมีการทำกราฟฟิก-เทคนิคประกอบในฉากต่าง ๆ ทำได้ละครดูมีมิติ สนุก ตื่นเต้น สวยงาม และอลังการอย่างพอดิบพอดี

ที่สำคัญ ละครได้ถ่ายทอดเรื่องราวความเจริญรุ่งเรือง และเสื่อมถอยของ “ดนตรีไทย” ได้อย่างเข้าใจที่มาที่ไป จนทำให้เรารู้สึกรักและหวงแหน “สมบัติ” ของชาติโดยไม่รู้ตัว

ผู้สร้างสรรค์ละครใช้ “ดนตรี” เป็นสื่อกลาง ที่จะสร้างความรู้สึกร่วมกัน ระหว่างคนรุ่นเก่าและใหม่ได้อย่างลงตัว

การเดินเรื่อง โดย “เหลน” หนุ่มรุ่นใหม่ที่เติบโตในยุคที่รอบ ๆ ตัวมีแต่โซเชียลเน็ตเวิร์ก และเครื่องดนตรีสมัยใหม่

ใช่แล้ว ละครเชื่อมดนตรียุคปัจจุบัน และอดีตให้เป็นเรื่องเดียวกัน โดยใช้เสียงดนตรีไทยเป็นจุดสลับ ให้เด็กหนุ่มเดินทางย้อนเวลากลับไปสู่โลกเมื่อกว่า ๑oo ปีก่อน! ไม่เพียงเสียงดนตรีสมัยใหม่ ที่แสดงให้เห็นถึงความร้อนแรง ดุดัน หนักแน่น ลีลาท่าเต้นที่แสดงถึงอารมณ์ความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา ตัดสลับกับความงดงาม นุ่มนวล อ้อนช้อยของท่าร่ายรำและเสียงดนตรีไทย มันช่างเพลิดเพลิน จนเผลอคิดไปว่าถ้า “เรา” มีทางเลือกในการเสพที่หลากหลาย ตามแต่ใจปรารถนาก็จะดีมาก ๆ

กระนั้น ก็เข้าใจในข้อจำกัดต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดการเสื่อมคลายสลายสูญของสรรพสิ่งไปด้วย!!

เวลาที่ “ไม้” เหลนวัย ๒๕ ของ “ทวดเชิด” มือระนาดเอกแห่งยุค พลัดหลงเข้าไป ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 อันเป็นยุคเริ่มต้นการวางรากฐานด้านคมนาคม และยุคที่ดนตรีไทยเฟื่องฟูถึงขีดสุด

จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ ๗-๘ กาลเวลาได้นำพาความเปลี่ยนแปลงสู่การปกครอง ประเพณีแบบตะวันตก เริ่มเข้ามามีบทบาท ดนตรีไทยจึงเดินทางมาถึงยุคตกต่ำ ในที่สุด ไม้จึงได้รู้ว่าชายหนุ่มที่เขาพบ ไม่เพียงแค่เป็นปู่ทวดของเขาเท่านั้น แต่เขาคือชายผู้มีบทบาทสำคัญต่อหน้าประวัติศาสตร์แห่งสยาม!!

รอยต่อช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ ละครเวทีที่ได้แรงบันดาลใจจาก ๑๙ ศิลปินไทยยุคบุกเบิก ผู้บรรเลงมโหรีต่อหน้าพระที่นั่งสมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรีย ที่ประเทศอังกฤษเป็นครั้งแรก ซึ่งทวดของ “ไม้” เป็นหนึ่งของคณะดนตรีไทยที่ได้ไปแสดงแสนยานุภาพแห่งเสียงดนตรีไทยในครั้งนั้นด้วย!!

ความอิ่มอกอิ่มใจจากเสียงดนตรี จากฉาก แสง สี เสียง และจากการเล่าเรื่องที่สนุกครบรส ทำให้เรามองข้ามการแสดงของบางคนที่ยังดูขัดเขินไปบ้าง รวมทั้งจุดพีคของเรื่องที่ยังไปไม่ถึงที่สุด

และอีกเหตุผลที่สำคัญ คือเรื่องนี้เกิดขึ้นจากความตั้งใจจริงของ “คุณหมอก” เกรียงกานต์ กาญจนะโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมบริษัทอินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) และผู้อำนวยการสร้าง และความพยายามของผู้กำกับ “คุณต้อ” มารุต สาโรวาท นักดนตรีไทยทุกท่าน นักแสดง อย่าง ณัฎฐ์ ทิวไผ่งาม, แบงค์ แคลช ฯลฯ และทีมงานทุกคน

หมดรอบการแสดงแล้ว ในใจดิฉันยังหวังว่า จากความประทับใจที่เกิดขึ้นกับผู้มาชม จะเกิดเป็นปรากฏการณ์การบอกต่อ ซึ่งจะทำให้คนไทยได้เห็นการรีสเตทละครเวทีเรื่องนี้ขึ้นอีกครั้ง!!

ซึ่งดิฉัน ก็จะขอเข้าไปดูอีกครั้ง เช่นกันค่ะ!















ภาพและข้อมูลจาก
komchadluek.net
thaiticketmajor.com














มหัศจรรย์แห่งพันธุ์ไม้ ครั้งที่ ๓



กลับมาสร้างสีสันกับคนรักต้นไม้อีกครั้งกับงาน “เดอะมอลล์ มหัศจรรย์แห่งพรรณไม้ ครั้งที่ ๓” จัดโดย บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ร่วมกับ กรมป่าไม้, กรมส่งเสริมการเกษตร, บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน),, และบริษัท ไทยน้ำทิพย์ คอมเมอร์เชียล จำกัด ภายใต้คอนเซ็ปต์ “มหัศจรรย์สายพันธุ์กุหลาบ” ภายในงานพบกับการรวบรวมกุหลาบอังกฤษหลากสีสันกว่า ๑๔ สายพันธุ์ และพิเศษกับกุหลาบฝรั่งเศสที่หาชมยาก “La France” หรือเดือนฉาย ซึ่งเป็นกุหลาบที่นำเข้ามาปลูกในประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ ๕ ร่วมตื่นตาตื่นใจไปกับสถาปัตยกรรมสวนสวยสไตส์อังกฤษ ชมการประกวดไม้ดอกไม้ประดับระดับชาติ สนามในร่มที่ใหญ่ที่สุดในเอเซีย ชิงถ้วยประทานพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ พร้อมเงินรางวัลรวมมูลค่ากว่า ๑,๒oo,ooo บาท และช้อปจุใจกับไม้ดอกไม้ประดับนานาชนิด สินค้าแต่งบ้านและอุปกรณ์แต่งสวน กว่า ๑oo ร้านค้า พิเศษสำหรับสมาชิกคลับไทยประกันชีวิต ที่ถือบัตรไทยไลฟ์การ์ด ร่วมกิจกรรมเวิร์คช็อปจัดดอกไม้ พร้อมรับกล้าไม้พันธุ์ดี โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย งานจัดระหว่างวันที่ ๒๘ สิงหาคม - ๖ กันยายน ๒๕๕๘ (๑o วัน) ที่ เอ็มซีซี ฮอลล์ ชั้น ๔ เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน เข้าชมงานฟรี!



ภาพและข้อมูลจาก
posttoday.com














HORSE อะวอร์ด ครั้งที่ ๑o



กลุ่ม บริษัท นานมี ขอเชิญนักเรียนระดับอนุบาล - มัธยมศึกษาตอนต้น ส่งผลงานเข้าร่วมการประกวดวาดภาพเยาวชน HORSE อะวอร์ด ครั้งที่ ๑o ปี ๒๕๕๘ ชิงถ้วยรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา


ผู้ส่งผลงานเข้าประกวด แบ่งเป็น ๓ กลุ่ม
กลุ่มที่ ๑ ระดับอนุบาลและประถมศึกษาตอนต้น (อ.๑-๓ และ ป.๑-๓)
กลุ่มที่ ๒ ระดับประถมศึกษาตอนปลาย (ป.๔-ป.๖)
กลุ่มที่ ๓ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.๑-ม.๓)


กติกาการส่งภาพเข้าประกวด

๑. ภาพผลงานของผู้เข้าประกวดต้องเป็นผลงานใหม่ที่ทำด้วยฝีมือและความคิดของผู้เข้าประกวดเองไม่ได้ลอกเลียนหรือดัดแปลงมาจากผู้อื่น และผลงานนั้นต้องไม่เคยนำออกแสดง ประกวดตีพิมพ์หรือเผยแพร่ในสื่อใดๆ มาก่อน

๒. ผลงานที่ส่งเข้าประกวดไม่จำกัดประเภทสีที่ใช้ สามารถแต่งเติมโดยใช้เทคนิคการวาดภาพอื่น ๆ มาใช้ประกอบได้ตามความคิดสร้างสรรค์ โดยสีที่ใช้ต้องเป็น สีตราม้า ผู้ส่งผลงานต้องติดโลโก้ผลิตภัณฑ์สีตราม้า ในใบสมัครส่งมาพร้อมกับผลงาน

๓. ผู้เข้าประกวดสามารถส่งผลงานได้ท่านละไม่เกิน ๓ ชิ้น ขนาดไม่เล็กกว่า ๑๕ x ๒๒ นิ้ว และไม่ใหญ่กว่า ๓o x ๒๒ นิ้ว สำหรับผู้ที่ส่งผลงานและได้รับรางวัลมากกว่า ๑ ชิ้น ผู้จัดการประกวดขอสงวนสิทธิ์ในการมอบรางวัลสูงสุดเพียงรางวัลเดียวเท่านั้น

๔. ผู้เข้าประกวดต้องกรอกข้อมูลในใบสมัครให้ครบถ้วนและชัดเจน ซึ่งสามารถสำเนาแบบฟอร์มใบสมัครหรือดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ //www.nanmee.com และส่งผลงานด้วยตนเอง หรือส่งทางไปรษณีย์ (ถือวันประทับตราไปรษณีย์เป็นสำคัญ)

โดยส่งมาที่ บริษัท นานมี จำกัด เลขที่ ๑๔๖ ถนนสาทรเหนือ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ ๑o๕oo


ระยะเวลาส่งผลงาน ๑ มิถุนายน - ๒๕ กันยายน ๒๕๕๘
สถานที่ส่งผลงาน บริษัท นานมี จำกัด ๑๔๖ ถนนสาทรเหนือ
แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ ๑o๕oo โทร. o๒-๖๔๘-๘ooo
ติดต่อฝ่ายการตลาด E-mail : horse@nanmee.com
การตัดสิน วันพฤหัสบดีที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘
การประกาศผล วันพฤหัสบดีที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๘
ดูผลการประกวดจาก //www.nanmee.com



ภาพและข้อมูลจาก
rama9art.org
nanmee.com














Principles of Survival #1



นิทรรศการ:
(Principles of Survival #1)

ศิลปิน:
ชลวิชญ์ โรจน์จตุรกุล, ปวรงค์ บุญช่วย, สืบแสง แสงวชิระภิบาล (Chonlawit Rodjaturakun, Powarong Boonchoui, Suebsang Sangwachirapiban))

ลักษณะงาน : สื่อผสมและจัดวาง

ระยะเวลาจัดแสดง : วันที่ ๒๖ สิงหาคม – ๒o กันยายน ๒๕๕๘

พิธีเปิดนิทรรศการ : วันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๘ เวลา ๑๘.๓o น.

สถานที่จัดแสดง : หอศิลป์จามจุรี ห้องนิทรรศการชั้น ๑ ห้อง ๒

ติดต่อศิลปิน: o๘-๔oo๙-๖๓๒๙ สืบแสง

แนวความคิด :

ด้วยการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ตลอดจนความเชื่อและค่านิยม ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้คนเปลี่ยนแปลงไปด้วย ซึ่งแสดงออกมาอย่างชัดเจนผ่านความสัมพันธ์ต่อสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และวัตถุ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน หรือแม้กระทั่งความลักลั่นย้อนแย้งในตนเอง ล้วนวิวัฒน์ไปตามการเปลี่ยนแปลงข้างต้น ซึ่งปรากฏการณ์เหล่านี้ได้กลายเป็นเงื่อนไขใหม่ของการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมของศตวรรษที่ ๒๑

สืบแสง ยังคงให้ความสนใจอย่างชัดเจนต่อความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และวัสดุพื้นถิ่น การเปลี่ยนแปลงของรูปทรงและหน้าที่ใช้สอย ในบริบทของสังคมร่วมสมัย โดยนำเสนอผ่านแนวความคิด ‘เป็นคนมีรสนิยมสูง’
ในส่วนของชลวิชญ์ ให้ความสนใจในวิธีการการนำเสนอตัวตนของแต่ละบุคคล ต่อสถานการณ์และเงื่อนไขต่าง ๆ ผ่านกระบวนการคัดกรอง การแบ่งแยก และวิเคราะห์ผ่านทัศนคติและประสบการณ์ของแต่ละบุคคล เพื่อให้ตนเองเป็นที่ยอมรับในสังคมหรือสถานการณ์นั้น ๆ ได้

ปวรงค์ ให้ความสนใจในเรื่องมายาคติ การหล่อหลอมกระบวนการคิด ที่ส่งผลต่อการรับรู้ และการพิจารณาตัดสินเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นรอบตัว การเปลี่ยนแปลงเป็นสังคมแห่งการบริโภคสัญญะ ก่อให้เกิดความขัดแย้งกัน ระหว่างสัญชาตญาณและสัญลักษณ์

นิทรรศการครั้งนี้จะนำเสนออัตลักษณ์และปรากฏการณ์ต่าง ๆ ของสังคมในศตวรรษที่ ๒๑ ผ่านมุมมองและแนวความคิดของศิลปิน ออกมาในรูปแบบของศิลปะสื่อประสมและสื่อสมัยใหม่











ภาพและข้อมูลจาก
chamchuriartgallery.chula.ac.th














คลาสวาดภาพเหมือนแบบคลาสสิคที่รร.ภรณสคูลออฟอาร์ท



ขอชวนศิลปินรุ่นเยาว์คนเก่งมาร่วมเรียนรู้เทคนิคการวาดภาพเกี่ยวกับทฤษฎีของลีโอนาโด ดา เวนซี่ เรื่องกายภาพและสัดส่วนใบหน้า เพื่อสร้างสรรค์ผลงานอันยอดเยี่ยมในแบบฉบับของตนเองกันเถอะ

โรงเรียนสอนศิลปะ ภรณ สคูล ออฟ อาร์ท (PARON School of Art) ที่ใช้ชื่อเดียวกันกับผู้ก่อตั้ง ‘ภรณ มีด’ (Paron Mead) ศิลปิน และคุณครูหนุ่มผู้มากทั้งพรสวรรค์ และความสามารถ พร้อมกิตติศัพท์จากการเป็นบัณฑิตจากสถาบันอันเลืองชื่อด้านศิลปะของโลกกลางกรุงลอนดอนอย่าง เซ็นทรัล เซนต์ มาร์ตินส์ (Central Saint Martins) เปิดโรงเรียนต้อนรับศิลปินรุ่นเยาว์อายุ ๙-๑๔ ปีกับคลาสสุดพิเศษ “วาดภาพเหมือนแบบคลาสสิค” (Classical Self Portraits) ใน วันเสาร์ที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๘ เวลา ๑o.oo – ๑๕.oo น. ณ สตูดิโอของโรงเรียนสอนศิลปะ ภรณ สคูล ออฟ อาร์ทที่ได้มีการตกแต่งอย่างสวยงามและเป็นธรรมชาติ ตั้งอยู่ระหว่าง ซอยเอกมัย ๑๑ และ ๑๓ ชั้น ๒ ของร้านแฮปปี้เนส คาเฟ่ (Happiness Café)
 
ค่าเรียนคลาสละ ๑,๘oo บาทต่อคลาส รวมอาหารกลางวัน พร้อมอาหารว่างสุดอร่อย และอุปกรณ์การเรียนทั้งหม เปิดรับนักเรียนจำนวนจำกัด
 
ด้วยบรรยากาศที่ผ่อนคลาย และเป็นกันเองของคลาสเรียน ในสภาพแวดล้อมของการเรียนการสอนที่จะสรรค์สร้างความสำเร็จให้กับผู้เรียน  โดยเน้นรูปแบบการให้อิสระในการจินตนาการชิ้นงาน และความคิดสร้างสรรค์  ซึ่งคลาส “วาดภาพเหมือนแบบคลาสสิค” (Classical Self Portraits) นี้ ภรณ มีด จะนำนักเรียนสู่เวิร์คช็อปเกี่ยวกับทฤษฎีของ เลโอนาโด ดา วินชี่ เรื่องกายภาพและสัดส่วนใบหน้า นอกจากนี้ ศิลปินรุ่นเยาว์คนเก่งทุกคนจะมีผลงานชิ้นเอกเป็นของตัวเองกลับบ้านอีกด้วย พร้อมความรู้ที่อัดแน่นทั้งทางความคิดสร้างสรรค์และฝีมือเทคนิค

ภรณ มีด เป็นอาจารย์ฝึกสอนศิลปะที่ได้รับการรับรอง และเป็นอาจารย์ฝึกสอนศิลปะที่โรงเรียนนานาชาติฮาร์โรว์ หรือ Harrow International School นักเรียนของภรณประสบความสำเร็จในการสอบแข่งขันหลักสูตรเคมบริดจ์ล่าสุด ด้วยรางวัลผลงานศิลปะซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงานที่ “ดีที่สุดในโลก” (Best in the world) และ “ดีที่สุดในประเทศไทย” (Best in Thailand) ภรณยังมีประสบการณ์ในการทำงานร่วมกับผู้เรียนผู้ใหญ่ในทุกระดับ
 
ตารางกิจกรรมเวิร์คช็อปทุกวันเสาร์สัปดาห์แรกของเดือน มีดังนี้
 
·  วันเสาร์ที่ ๓ ตุลาคม – คลาส Cubist guitars and pianos
·  วันเสาร์ที่ ๗ พฤศจิกายน – คลาส Fashion Design 101
·  วันเสาร์ที่ ๕ ธันวาคม – คลาส Life Drawing
 
 
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรงเรียนสอนศิลปะ ภรณ สคูล ออฟ อาร์ท หลักสูตรต่าง ๆ หรือมีความประสงค์เข้าเยี่ยมชม กรุณาติดต่อได้ทาง
 
• อีเมล์ ParonSchoolofArt@gmail.com 
• โทรศัพท์ o๘๙-๗๙๕-๘๗๖๕
• เฟซบุ๊ก https://ww.facebook.com/ParonSchoolofArt  
• เว็บไซด์ //www.ParonSchoolofArt.com



ภาพและข้อมูลจาก
newsplus.co.th














ดิ เอ็ม ดิสทริค อาร์ท เฟสติวัล 2015



ดิ เอ็ม ดิสทริค ย่านการค้าระดับโลก ซึ่งประกอบไปด้วย ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรี่ยม และ ดิ เอ็มควอเทียร์ จัดงาน “ดิ เอ็ม ดิสทริค อาร์ท เฟสติวัล ๒o๑๕” (The EM District Art Festival 2015) งานแสดงศิลปะและผลงานสร้างสรรค์อันไร้ขีดจำกัด ภาพใต้คอนเซ็ปต์ ‘บียอนด์ เดอะ บาวน์ดารี’ (Beyond The Boundary)โดยศิลปินชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศ อาทิ วศินบุรี สุพานิชวรภาชน์ ศิลปินผู้เปลี่ยนจังหวัดราชบุรีให้เป็นเมืองศิลปะร่วมสมัย The Cracking Art Group กลุ่มศิลปินชื่อดังจากยุโรปที่เคยสร้างสรรผลงานร่วมกับ แบรนด์แฟชั่นชื่อดังและจัดแสดงผลงานมาแล้วทั่วโลก นอกเหนือจากนี้ยังมี Pop-Up Sculptures (พ็อพ-อัพ สครับเจอรส์) ผลงานจากศิลปินรุ่นใหม่ เป็นผลงาน Sculptures ลอยตัว โดย หอศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร(The Art Centre, Silpakorn University) แสดงอยู่ตามจุดต่างๆ ใน ควอเทียร์ วอเทอร์ การ์เดน, นอกจากนี้ยังมีผลงานโดย Gary Gagliano และ Bruno Tanquerel ศิลปินชั้นนำจาก เย็นอากาศ วิลล่า ที่รวบรวมผลงานจิตรกรรมและศิลปะจัดวาง (Installations) มาจัดแสดง ณ เดอะ กลาส ควอเทียร์พบกับงาน “ดิ เอ็ม ดิสทริค อาร์ท เฟสติวัล ๒o๑๕” (The EM District Art Festival 2015) ได้ระหว่างวันที่ ๒๗ สิงหาคม – ๑๓ กันยายายน ๒๕๕๘ ณ ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์



ภาพและข้อมูลจาก
FB นิทรรศการ
wikalenda.com














คลิกอ่านรายละเอียดงานและการสมัคร nanmeebooks.com



ภาพและข้อมูลจาก
expernetbooks.com














เทศกาลภาพยนตร์อาเซียนแห่งกรุงเทพมหานคร ๒๕๕๘



กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับ สมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ และ โรงภาพยนตร์ในเครือ เอส เอฟ จัด “เทศกาลภาพยนตร์อาเซียนแห่งกรุงเทพมหานคร 2558 (BANGKOK ASEAN FILM FESTIVAL 2015)”

ครั้งแรกกับการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของเทศกาลภาพยนตร์ พร้อมต้อนรับการก้าวสู่ประชาคมอาเซียนอย่างเต็มตัว โดยคัดสรรภาพยนตร์คุณภาพเยี่ยม ๑o เรื่องจาก ๑o ประเทศสมาชิกในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน อาทิ “Big Father, Small Father And The Other Stories” จากเวียดนาม, “1021” จากสิงคโปร์, “Bwaya” จากฟิลิปปินส์, “Golden Kingdom” จากเมียนมาร์,“Men Who Save the World” จากมาเลเซีย, “Siti” จากอินโดนีเซีย, “The Last Reel” จากกัมพูชา, “Ada Apa Dengan Rina” จากบรูไน, “Really Love 2 หรือ ฮักอีหลี ๒” จากลาว และ“ละติจูดที่ ๖” จากประเทศไทย พร้อมเข้าถึงและเป็นมิตรคนไทยด้วยบทบรรยายไทย - อังกฤษ โดยจัดฉายฟรี ทุกเรื่อง ทุกรอบ ระหว่างวันที่ ๒๗-๓o สิงหาคม ๒๕๕๘ ณ โรงภาพยนตร์ เอส เอฟ เวิลด์ ซีเนม่า ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

และเพื่อเปิดโอกาสให้คอหนังในจังหวัดต่าง ๆ ได้รับชมภาพยนตร์ที่มีความหลากหลายจึงได้จัดฉายเทศกาลฯ ยังต่างจังหวัด โดยมีโปรแกรมออกฉายดังนี้ เชียงใหม่ ระหว่างวันที่ ๓-๖ กันยายน ๒๕๕๘ ณ โรงภาพยนตร์ เอส เอฟ เอ็กซ์ ซีเนม่า เมญ่า ไลฟ์สไตล์ ช็อปปิ้ง เซ็นเตอร์ เชียงใหม่, ขอนแก่น ระหว่างวันที่ ๑o-๑๓ กันยายน ๒๕๕๘ ณ โรงภาพยนตร์ เอส เอฟ ซีเนม่า ซิตี้ ศูนย์การค้า เซ็นทรัล พลาซา ขอนแก่น และสุราษฎร์ธานี ระหว่างวันที่ ๑๗-๒o กันยายน ๒๕๕๘ ณ โรงภาพยนตร์ เอส เอฟ ซีเนม่า ซิตี้ ศูนย์การค้า เซ็นทรัล พลาซา สุราษฎร์ธานี

สำหรับ “เทศกาลภาพยนตร์อาเซียนแห่งกรุงเทพมหานคร ๒๕๕๘” เปิดให้คอหนังได้ชมฟรีทุกเรื่อง ทุกรอบ ทุกจังหวัด โดยสามารถรับบัตรชมภาพยนตร์ฟรีก่อนรอบฉาย ๓o นาที (รับบัตรชมภาพยนตร์ได้1ท่านต่อ ๑ ใบ) ได้ที่จุดประชาสัมพันธ์เทศกาลภาพยนตร์ บริเวณหน้าโรงภาพยนตร์ ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ SF Call Center 02-268-8888 และ //www.sfcinemacity.com หรือ //www.facebook.com//Welovesf







ภาพและข้อมูลจาก
manager.co.th














ชมศิลปะจัดวางกลางห้างหรู



ศิลปะเป็นสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา การจะเสพงานศิลป์จึงไม่จำเป็นต้องมุ่งตรงไปที่หอศิลป์เท่านั้น หากแต่สามารถหาชมได้ง่ายขึ้น อย่างล่าสุด ดิ เอ็ม ดิสทริค จับมือเหล่าพันธมิตรจัดงาน “ดิ เอ็ม ดิสทริค อาร์ต เฟสติวัล ๒o๑๕” งานแสดงศิลปะและผลงานสร้างสรรค์ไร้ขีดจำกัด ภายใต้คอนเซ็ปต์ “บียอนด์ เดอะ บาวน์ดารี” โดยเปิดให้ผู้มีใจรักงานศิลปะชมกันฟรี ตั้งแต่วันนี้ถึง ๑๓ กันยายน ที่ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์

ภายในงานได้รวบรวมผลงานศิลปะจากศิลปินชั้นนำทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ โดยจัดแสดงผลงานในรูปแบบศิลปะจัดวาง ที่นำมาจัดแสดงให้ชมทั่วบริเวณศูนย์การค้า สำหรับไฮไลท์ของงานคือผลงาน “ดีดี แอนด์ เดอะ ทเวลฟ์ ชีพ” โดย วศินบุรี สุพานิชวรภาชน์ ถือเป็นผลงานประติมากรรมไฟเบอร์กลาสขนาดใหญ่ที่สุดที่ศิลปินเคยสร้างมา ด้วยความสูงกว่า ๗ เมตร และยาวกว่า ๑o เมตร พร้อมผลงานฝูงแกะรูปทรงเหมือนการ์ตูน ๑๒ ตัว ที่ได้กลุ่มศิลปินแถวหน้าของประเทศไทย เช่น ชลิต นาคพะวัน, “ป๊อด” ธนชัย อุชชิน, “ปอม” ธัชมาพรรณ จันทร์จำรัสแสง, “ณัฎ” ณิชชา ธนาลงกรณ์ และกลุ่มศิลปินราชรี มาร่วมสร้างสรรค์ผลงาน ซึ่งเป็นงานที่ถูกต่อยอดออกมาจากความคุ้นเคยของความจริง ความหมายที่ซ้อนอยู่ภายใต้รูปลักษณ์ภายนอก หมาที่ถูกฝึกไว้ให้ต้อนแกะ แต่เมื่อทุกอย่างกลับตาลปัตร แกะที่เล็กกว่าหมา แต่ถูกนำมาให้พยายามทำบางสิ่งที่เหนือความคุ้นเคยที่เกินกว่าจะเป็นจริงได้ หมาเลี้ยงแกะคือภาพของความปกติ แต่แกะที่เลี้ยงหมาคืออะไร

“โดยส่วนตัวชอบสุนัขอยู่แล้วจึงเลือกดีดีสุนัขของตัวเองมาเป็นแบบ สร้างขนาดใหญ่เหนือจริงแต่รูปทรงเหมือนจริง เพราะเรากำลังพูดถึงความจริงที่ถูกบิดเบือนด้วยขนาดเเละคำถามของความจริงว่าเรากำลังเลือกมองสิ่งไหน ขนาด หรือ รูปร่างหน้าตาที่ดึงความคิดไปสู่อุดมคติมายาคติของสุนัขปกติทั่วไป หมาที่ลักษณะเหมือนจริงเเต่ตัวใหญ่เกินจริง ยังเป็นความจริงหรือเหนือจริง เเกะที่เท่าจริงเเต่มีลักษณะไม่เหมือนจริง คำถามคืออะไรคือความจริงที่เเท้จริงเราถูกชักจูง ให้สร้างกรอบมาตรฐานของความจริง ที่จริงแล้วมาตรฐานตัวนี้อาจไม่ได้มีอยู่จริง แต่คือความคุ้นเคยจนเราคิดว่าเรื่องที่ปกติที่อยู่ในชีวิตประจำวันนั้น ก็คือ ความ(เสมือน)จริงที่เรายอมรับนั่นเอง” เจ้าของผลงานเผยแรงบันดาลใจ

ผลงานไฮไลท์อีกชิ้นได้แก่ “เมียร์แคต” โดย เดอะ แคร็กกิ้ง อาร์ต กรุ๊ป กลุ่มศิลปินชื่อดังจากยุโรปได้นำเมียร์แคตสีสันสดใสจำนวน ๑๕ ตัว มาจัดแสดงเหมาะสำหรับให้ผู้คนถ่ายภาพเก็บความประทับใจ โดยแนวคิดสำคัญของกลุ่มศิลปินคือ การณรงค์และสร้างจิตสำนึกในการรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สะท้อนผ่านผลงานที่เลือกใช้วัสดุพลาสติกที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่มารังสรรค์เป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ โดยเลือกใช้สีสันสดใสและสัดส่วนไม่เหมือนจริง สื่อสารถึงการตระหนักถึงความสำคัญและความรับผิดชอบต่อธรรมชาติ

"เมียร์แคตเป็นสัตว์ในแอฟริกาที่ใช้ชีวิตอยู่เป็นฝูงและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จึงถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของความสามัคคีและการทำงานร่วมกัน ความอยู่รอดของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กนี้ขึ้นอยู่กับการร่วมมือกันของทุกชีวิตในฝูง แต่ละฝูงจะมีสมาชิกประมาณ ๒o-๒๕ ตัว ทุกตัวในฝูงร่วมกันทำหน้าที่เฝ้าระวังอันตราย มีความตื่นตัวและคอยสังเกตความเคลื่อนไหวต่าง ๆ และสถาพแวดล้อมโดยรอบ เมียร์แคตจึงถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อยู่ร่วมกัน ช่วยกันปกป้องระวังภัย และยินดีที่จะเปิดบ้านเพื่อต้อนรับสมาชิกใหม่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของฝูง" คิกโค่ หนึ่งในกลุ่มศิลปินเผยที่มาของผลงาน 

นอกจากศิลปินทีมีชื่อเสียงแล้ว งานนี้ยังเปิดเวทีให้น้อง ๆ ศิลปินหน้าใหม่จากมหาวิทยาลัยศิลปากร ส่งผลงานลอยตัวมาจัดแสดงตามจุดต่าง ๆ ในควอเทียร์ วอเตอร์ การ์เด้นท์ ทั้งหมด ๘ ผลงานจาก ๗ ศิลปิน ร่วมด้วย ๒ ศิลปินจากเย็นอากาศวิลล่า ที่รวบรวมผลงานจิตรกรรม ภาพสีน้ำมัน และศิลปะจัดวางมาจัดแสดง ที่ เดอะ กลาส ควอเทียร์ ซึ่งหนึ่งในผลงาน ได้แก่ “ยุคสมัยนิยม” โดย พิเชฐ ฉัตรพัชรภิญโญ เจ้าของผลงานเผยว่า ได้แรงบันดาลใจจากวิวัฒนาการการพัฒนาสังคมกับกระแสแฟชั่นที่เปลี่ยนแปลงจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ ถ่ายทอดเรื่องราวความบิดเบือนของกระแสแฟชั่นกับผู้คนที่มาการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ผลงานนี้ใช้เวลาทำนานถึง ๑ เดือน ความยากอยู่ที่วิธีการสร้างรูปทรงให้ออกมาตรงกับแนวความคิดที่ตั้งโจทย์ไว้

ด้าน วริศนันท์ จิตรสุขปลื้ม เจ้าของผลงาน “ติด” เผยว่า ติดในที่นี้หมายถึงเสพติดการใช้โซเชียล โดยหยิบยกเยาวชนมาเป็นตัวแทนจัดแสดง เพราะเยาวชนเป็นวัยเปราะบางขาดการตระหนักรู้ ขาดความยั้งคิด โดยเฉพาะในโลกโซเชียลที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย จึงสื่อออกมาโดยใช้ลูกแก้วมีไฟข้างใน เวลาส่องไฟจะเห็นผลึกในลูกแก้วตกตะกอน แล้วปูดออกมาเหมือนคนเป็นโรค เปรียบได้กับสิ่งไม่ดีที่ต้องระบายออกมา





ดีดี แอนด์ เดอะ ทเวลฟ์ ชีพ





ผลงานจากเย็นอากาศวิลล่า





“ติด” ผลงานของ วริศนันท์ จิตรสุขปลื้ม









พิเชฐ ฉัตรพัชรภิญโญ กับผลงาน “ยุคสมัยนิยม”





คิกโค่ กับผลงาน “เมียร์แคต”



ภาพและข้อมูลจาก
komchadluek.net




บล็อกนี้อยู่ในหมวดศิลปะ



บีจีจากคุณเนยสีฟ้า ไลน์จากคุณญามี่ กรอบจากคุณ Hawaii_Havaii

Free TextEditor


ne;}


Create Date : 04 กันยายน 2558
Last Update : 10 กันยายน 2558 23:52:43 น. 0 comments
Counter : 2318 Pageviews.

haiku
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 161 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add haiku's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.