happy memories
Group Blog
 
<<
กันยายน 2558
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
19 กันยายน 2558
 
All Blogs
 
เสพงานศิลป์ ๒๓๑





ภาพจากเวบ deviantart.com





"ฉันได้จากโลกนี้ไปแล้วโดยไม่เสียใจ

เพราะฉันได้อุทิศชีวิตของฉันให้กับ

บางสิ่งที่เป็นประโยชน์

ในฐานะเป็นผู้รับใช้ที่ต่ำต้อย

ในงานศิลปของฉัน

ชีวิตนั้นสั้น....แต่ศิลปะยืนยาว


ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี





Romance - Yuhki Kuramoto










'ศิลป์ พีระศรี'กับงานประติมากรรมบนเหรียญชั้นบรมครู



ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี ผู้ก่อตั้งและครูผู้สอนศิลปะมหาวิทยาลัยศีลปากร บิดาแห่งศิลปะร่วมสมัยของไทย เดิมชื่อ คอร์ราโด เฟโรซี เป็นชาวอิตาลีสัญชาติไทย เกิดเมื่อ ๑๕ กันยายน พ.ศ.๒๔๒๓ อาจารย์ศิลป์ ชนะการประกวดออกแบบเหรียญเงินตราสยามที่จัดขึ้นในยุโรป และเข้ามารับราชการเป็นช่างปั้นประจำกรมศิลปากรในสมัยรัชกาลที่ ๖ เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๖ สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ท่านโอนสัญชาติมาเป็นไทยและเปลี่ยนชื่อเป็น “นายศิลป์ พีระศรี” ท่านจึงไม่ถูกเกณฑ์เป็นเชลยศึกให้สร้างทางรถไฟสายมรณะ และสะพานข้ามแม่น้ำแคว

พระราชานุสาวรีย์สำคัญของไทยที่เป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบและควบคุมการหล่อของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เช่น พระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ ๑ ที่เชิงสะพานพุทธ, พระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าตากสิน ที่ฝั่งธน, อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่ราชดำเนิน, อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) ที่โคราช รวมทั้งพระศรีศากยะทศพลญาณ เป็นพระพุทธรูปยืนปางลีลาขนาดใหญ่ ประดิษฐานเป็นองค์พระประธาน ณ พุทธมณฑล เป็นต้น

ศาสตราจารย์ศิลป์ นับเป็นผู้สร้างคุณูปการในทางศิลปะของไทยจนเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ท่านถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๕ ปัจจุบันนี้ ในวันที่ ๑๕ กันยายนของทุกปี ได้ถูกกำหนดให้เป็น “วันศิลป์ พีระศรี” เพื่อรำลึกถึงครูผู้อุทิศตนเพื่อนักเรียนและศิลปะจนวินาทีสุดท้าย ท่านเคยกล่าวไว้ว่า “ฉันนับถือศาสนาศิลปะ เผยแพร่สอนศิลปะ ศิลปินอดข้าว เขาไม่ตาย แต่ห้ามเขาไม่ให้ทำงานศิลปะ เขาต้องตาย เขาอยู่ไม่ได้”

นายศราวุฒิ วรพัทธ์ทวีโชติ หรือ “คุณเจมส์” เจ้าของกิจการร้าน Siam Coin & Antiques “ร้านกษาปณ์เมืองสยาม” หรือ “ร้าน Siamcoin” และเลขานุการสมาคมเหรียญที่ระลึกไทย บอกว่า ผลงานประติมากรรมของท่านเป็นที่ต้องการอย่างมากของนักสะสม โดยเฉพาะผลงานประติมากรรมรูปเหมือนบุคคลแบบลอยตัวชิ้นที่ดีเยี่ยมชิ้นหนึ่งคือ “พระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว” รัชกาลที่ ๖ โดยท่านโปรดมาประทับเป็นแบบให้ปั้นด้วยพระองค์เอง เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๘ ปัจจุบันงานหล่อชุดนี้มีให้เห็นอยู่หลายที่ ชิ้นหนึ่งอยู่ที่พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน จ.เพชรบุรี และมีพบเห็นอยู่ในมือนักสะสมบ้าง งานชิ้นนี้มูลค่าหลักล้าน ผลงานชิ้นนี้มีความงามดูมีชีวิตชีวา อาจารย์ศิลป์ สามารถถอดบุคลิกภาพของพระองค์ที่ทรงเป็นทั้งนักปราชญ์และนักกวี ออกมาได้อย่างดีเยี่ยม

ฝากไว้ในบวรพระพุทธศาสนา

“พระศรีศากยะทศพลญาณ ประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์” เป็นพระพุทธรูปยืนปางลีลาขนาดใหญ่ ประดิษฐานเป็นองค์พระประธาน ณ พุทธมณฑล อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม เป็นผลงานการออกแบบโดยศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี พระพุทธรูปองค์นี้ถือเป็นศูนย์รวมจิตใจชาวพุทธสืบเนื่องมาจวบกาลปัจจุบัน

พุทธลักษณะพระศรีศากยะทศพลญาณ ทรงยกพระบาทขวาจะก้าว ห้อยพระหัตถ์ขวาท่าไกว พระหัตถ์ซ้ายยกเสมอพระอุระป้องไปเบื้องหน้าเป็นกิริยาเดิน ประยุกต์พุทธลักษณะมาจากพระพุทธรูปปางลีลาสมัยสุโขทัย ซึ่งในตอนแรกที่ออกแบบไว้นั้น พระพุทธรูปมีความสูงเพียง ๒.๑๔ เมตร แต่เพื่อให้สอดคล้องกับโอกาสที่พระพุทธศาสนาอายุครบ ๒,๕oo ปี จึงมีการขยายขนาดเพื่อให้เป็น ๒,๕oo กระเบียด (๑ กระเบียดเท่ากับ ๑/๔ นิ้ว) ดังนั้นพระศรีศากยะทศพลญาณในปัจจุบัน จึงมีความสูงถึง ๑๕.๘๗๕ เมตร หล่อด้วยทองสำริดที่มีลักษณะงดงามและมีขนาดใหญ่ที่สุดในสมัยรัตนโกสินทร์

ความเป็นมาของพระพุทธรูปปางนี้มีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติ ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษา ณ ปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ภายใต้ไม้ปาริฉัตตกะ ณ ดาวดึงส์เทวโลก เมื่อออกพรรษามหาปวารณาแล้วจึงเสด็จลงจากเทวโลก ในการเสด็จลงจากเทวโลกนั้นเรียกกันว่า “เทโวโรหณสมาคม”

เหรียญกษาปณ์ผลงานชั้นครู

“คุณเจมส์” สำหรับเหรียญของไทยที่ออกแบบและปั้นต้นแบบโดยศาสตราจารย์ศิลป์ มีไม่มากนัก แต่เชื่อว่าท่านที่ชอบงานศิลปะของท่าน ชอบผลงานชั้นครู ข้อมูลของเหรียญต่อไปนี้ล้วนเป็นผลงานของท่าน และยังมีราคาที่ถูกมาก ๆ อย่างน้อยในตอนนี้ โดยต้องขอขอบคุณข้อมูลจากคุณอรรณพ แก้วปทุมทิพย์ นักสะสมอาวุโสผู้ที่ศึกษาผลงานของอาจารย์ศิลป์มาโดยตลอดทั้งยังได้บริจาคเหรียญต่าง ๆ ที่เป็นผลงานของอาจารย์ศิลป์กว่า ๓๐ เหรียญ ยกให้แก่พิพิธภัณฑ์อีกด้วย

๑. เหรียญกษาปณ์สมัยรัชกาลที่ ๗ เป็นเหรียญเงิน ด้านหน้าเป็นพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ครึ่งพระองค์ ทรงเครื่องแบบเต็มยศทหารมหาดเล็ก ผินพระพักตร์เบื้องซ้ายมีอักษร “ประชาธิปก สยามินทร์” ด้านหลังเป็นรูปช้างทรงเครื่องยืนบนแท่นหันหน้าไปทางซ้าย มีอักษร “สยามรัฐ ๒๔๗๒” เหรียญรุ่นนี้มีสองชนิดราคา โดยเป็นเหรียญรุ่นแรกที่เปลี่ยนจากการใช้คำว่า “สลึง” เป็น “๒๕ สตางค์” และ “สองสลึง” เป็น ๕๐ สตางค์ เหรียญมีขนาด ๒๕ และ ๒๐ มิลลิเมตร ทำจากเงิน ๖๕% และทองแดง ๓๕% ออกใช้เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ.๒๔๗๓ ปัจจุบันมีมูลค่าการสะสมหลักพันต้น ๆ

๒. เหรียญเฉลิมพระนคร ๑๕๐ ปี เหรียญนี้เป็นเหรียญราชอิสริยาภรณ์ที่ระลึก สร้างเมื่อปี ๒๔๗๕ เพื่อพระราชทานเป็นที่ระลึกในงานฉลองครบรอบแห่งการสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นราชธานี ด้านหน้าเป็นพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ ๑) คู่กับพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗) มีอักษรที่ริมขอบว่า “พระพุทธยอดฟ้า” “พระปกเกล้า” ด้านหลังมีอักษรว่า “เฉลิมพระนครร้อยห้าสิบปี พ.ศ.๒๓๒๕-๒๔๗๕” มูลค่าการสะสมหลักพันต้น ๆ

๓. เหรียญที่ระลึกเสด็จนิวัฒน์พระมหานคร เป็นเหรียญสร้างในวโรกาสที่ พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จนิวัตน์ประเทศไทยเพื่อทรงเยี่ยมเยียนพสกนิกรในคราวปิดภาคเรียน นับเป็นเหรียญที่ระลึกเหรียญแรกและเหรียญเดียวในรัชสมัยพระองค์ ด้านหน้าเป็นพระบรมรูปผินพระพักตร์เบื้องขวา ริมขอบมีอักษร "สยามินทร์อานันทมหิดล” ด้านหลังมีข้อความ “นิวัตน์พระมหานคร ๒๔๘๑” มีขนาด ๓๐ มิลลิเมตร เหรียญรุ่นนี้มีเนื้อเงินอย่างเดียวเป็นเหรียญที่หายาก มูลค่าการสะสมหลักหมื่นต้นถึงหลักหมื่นกลาง ๆ

๔. เหรียญที่ระลึกเสด็จเยือนสหรัฐอเมริกาและยุโรป เหรียญนี้สร้างในวโรกาสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเยือนสหรัฐอเมริกาและยุโรป ๑๕ ประเทศ เหรียญรุ่นนี้มี ๒ ชนิดคือ ๑. ทรงกลมขนาด ๓.๕ เซนติเมตร มีทั้งเนื้อทองคำและเนื้อเงิน วงการสะสมจะแยกอีกว่าเป็นแบบบล็อกนอก (นิยม) และบล็อกทำในไทย มูลค่าการสะสมนั้นหากเนื้อทองคำ หลักแสนกลาง ส่วนเนื้อเงินหลักพันกลางถึงพันหลักปลาย ๆ ชนิดที่ ๒. เป็นทรงเสมา ขนาดกว้าง ๒.๔ เซนติเมตร สูง ๔.๕ เซนติเมตร มีทั้งเนื้อทองคำและเนื้อเงิน มูลค่าการสะสมจะต่ำกว่าแบบแรกเล็กน้อย

สำหรับนักสะสมที่ชื่นชอบการสะสมเหรียญสามารถเข้าไปศึกษาติดตามบทความต่างๆ ได้ที่ //www.เหรียญ.com หรือเฟซบุ๊กเพจ SIAMCOIN ซึ่งปัจจุบันเป็นเพจให้ความรู้ด้านการสะสมที่มีคนติดตามมากที่สุดเพจหนึ่งของไทย แต่ถ้าท่านอยากจะได้พระเครื่องหรือเครื่องรางของขลังดีๆ แท้ๆ สักชิ้นลองแวะเข้าไปดูที่ “ร้านเฮียไจ้” หรือร้าน “ธนานนท์” ที่อยู่ในเว็บ thaprachan.com กันได้นะครับ



















ภาพและข้อมูลจาก
komchadluek.net














งานศิลป์พู่กันจีน เทิด60ปีพระเทพฯ



ในโอกาสเฉลิมฉลอง ๔o ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน และเฉลิมพระเกียรติ ๖o พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำราชอาณาจักรไทย สภากาชาดไทย สมาพันธ์ศิลปินไทย-จีน และธนาคารกสิกรไทย แถลงข่าวจัดงานแสดงศิลปะการเขียนพู่กันจีนและภาพวาดจีนเพื่อการกุศล ที่ห้องประชุมชั้น ๙ ธนาคารกสิกรไทย พหลโยธิน เมื่อเร็ว ๆ นี้

เฉิน เจียง ที่ปรึกษาฝ่ายวัฒนธรรม สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำราชอาณาจักรไทย เผยว่าปีนี้เป็นปีแห่งการเฉลิมฉลอง ๔o ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน และเฉลิมพระเกียรติ ๖o พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี แต่จริงๆ แล้วความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน สามารถย้อนกลับไปได้นับพันปี และช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือระยะเวลา ๔o ปีที่ผ่านมา ผู้คนมักกล่าวว่าคนจีนและคนไทยเป็นพี่น้องกัน ซึ่งเป็นความจริง ความสัมพันธ์เช่นนี้หาได้ยาก ปัจจุบันความสัมพันธ์จีนและไทยสร้างสถิติเป็นที่ ๑ ในหลายรายการ เช่น ประเทศจีนและไทยมีการค้าระหว่างกันมากที่สุด นับมูลค่า ๑ แสนล้านดอลลาร์ ประเทศจีนเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้าไทย ๒.๕ พันล้านคนต่อปี เป็นนักท่องเที่ยวจีนมากที่สุดกว่า ๕ ล้านคน รวมทั้งมีนักศึกษาจากประเทศจีนเข้ามาศึกษาระดับอุดมศึกษาในประเทศไทยมากที่สุด

"จากการสอบถามประชาชนชาวจีนใน ๒o ประเทศ ที่มีระบอบกษัตริย์รู้จักพระนามใครบ้าง ส่วนใหญ่รู้จักสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยในปี ๒๕๕๔ ประชาชนชาวจีนยกย่องให้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นหนึ่งในสิบสุดยอดมิตรชาวต่างชาติของจีน"

เฉิน เจียง กล่าวด้วยว่า งานครั้งนี้ได้เล่าให้ศิลปินจีนถึงโครงการ ดังกล่าวว่า ขอให้บริจาคผลงานโดยรายได้มอบให้สภากาชาดไทยเพื่อสาธารณประโยชน์ ศิลปินต่างกระตือรือร้นยินดีที่จะให้ผลงานของตัวเอง โดยมีการคัดเลือกผลงานที่เข้าร่วมครั้งนี้ ทั้งนี้มีนักธุรกิจในประเทศไทยสนใจร่วมซื้อภาพทั้งที่ไม่เคยเห็นผลงาน

สวนิต คงสิริ ผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทย ฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ กล่าวว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีบทบาทสำคัญในการดำเนินงานของสภากาชาดไทยนับตั้งแต่ทรงเป็นยุวกาชาดจนถึงปัจจุบัน ทรงเป็นอุปนายิกาอำนวยการเป็นเวลาหลาย สิบปี และช่วยให้สภากาชาดไทยพัฒนาก้าวหน้า ขยายผลงานครอบคลุมทั่วประเทศ สำหรับความสัมพันธ์ไทย-จีน สภากาชาดจีนและสภากาชาดไทยเป็นไปอย่างใกล้ชิด มีความร่วมมือกันเป็นประจำ อาทิ น้ำท่วมใหญ่ปี ๒๕๕๔ และเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ที่มณฑลเสฉวน รายได้จากการประมูลภาพ ครั้งนี้จะนำไปช่วยเหลือผู้เดือดร้อนและมีความจำเป็น รวมทั้งงานด้านมนุษยธรรมต่อไป

ไพศาล ฉายาวรกุล นายกสมาพันธ์ศิลปินไทย-จีน เผยว่า "ภาพจัดแสดงและจำหน่าย มีทั้งหมด ๘๖ ภาพ ประกอบด้วยภาพศิลปะ การเขียนพู่กันจีน ๒๘ ภาพ และภาพวาดจีน เทคนิคต่าง ๆ ๕๘ ภาพ อาทิ ภาพสีน้ำมัน ภาพไหมปัก ผ้าบาติก เป็นศิลปหัตถกรรมจีนที่มีมายาวนานสืบทอดมาจากโบราณนับพันปี เคยแสดงระดับสากลหลายครั้ง ได้รับคำชมเชยมากมาย"

บัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า สมเด็จพระเทพรัตน ราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระอุตสาหะในการส่งเสริมความสัมพันธ์ไทย-จีนให้แน่นแฟ้น ในหัวใจคนจีนทั้งประเทศเคารพและยกย่อง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในระดับสูง คาดว่าการจัดงานครั้งนี้จะมีรายได้จากการจำหน่ายภาพวาดของศิลปินจีน จำนวน ๖o ภาพ เป็นเงิน ๖o ล้านบาท โดยจะนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อพระราชทานให้สภากาชาดไทยใช้ดำเนินงานที่เป็นสาธารณประโยชน์ต่อไป

การจัดงาน "แสดงศิลปะการเขียนพู่กันจีนและภาพวาดจีนเพื่อการกุศล ในโอกาสเฉลิมฉลอง ๔o ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์แห่งการทูตไทย-จีน และเฉลิมพระเกียรติ ๖o พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี" จะมีขึ้นในวันที่ ๑๘ กันยายน ที่ห้องแกรนด์ฮอลล์ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี การนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นประธานและทอดพระเนตรนิทรรศการ



ภาพและข้อมูลจาก
khaosod.co.th
manager.co.th














เทิดพระกียรติ 'สมเด็จพระเทพฯ ดวงแก้วในดวงใจ' ผ่านผลงานศิลปะ



กลุ่มบริษัท นานมี ร่วมเทิดพระเกียรติในวโรกาสมหามงคลที่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๖o พรรษา ขอเชิญน้อง ๆ เยาวชนร่วมถ่ายทอดความรู้สึก และแสดงความจงรักภักดีให้คนไทยได้ร่วมชื่นชมผ่าน การประกวดวาดภาพเยาวชน "ฮอร์สอะวอร์ด ครั้งที่ ๑o" ในหัวข้อ "สมเด็จพระเทพฯ ดวงแก้วในดวงใจ" ด้วย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เปรียบประดุจ "ดวงแก้ว" ที่ประทับตราตรึงอยู่ใน "ดวงใจ" ของพสกนิกรชาวไทยทุกคนด้วยพระอัจฉริยภาพ พระราชจริยวัตรอันงดงาม ที่ทรงพระเมตตาต่อพสกนิกรตลอดมา และเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เด็ก เยาวชน คนไทยทั้งประเทศ สามารถนำมาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต

โดยเป็นการประกวดเป็น 3 ระดับ คือ กลุ่ม ๑ ระดับอนุบาลและประถมศึกษาตอนต้น(อ.๑-ป.๓) กลุ่ม ๒ ระดับประถมศึกษาตอนปลาย(ป.๔-ป.๖) และ กลุ่ม ๓ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.๑- ม.๓) สามารถส่งผลงานได้ตั้งแต่วันนี้ - ๒๕ กันยายน ๒๕๕๘ สอบถามและดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ //www.nanmee.com โทร. o๒-๖๔๘-๘ooo ภาพผลงานจะนำมาจัดแสดงให้ประชาชนคนไทยได้ชื่นชมพระบารมีอันแผ่ไพศาลของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีในนิทรรศการ "หนึ่งทศวรรษ ฮอร์ส อะวอร์ด นานมีไฟน์ อาร์ต อะวอร์ด" โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เป็นองค์ประธานเปิดงาน ในวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ อาคารนานมี สาทรเหนือ



ภาพและข้อมูลจาก
sanook.com














๑oo ปี “สะพานร้องไห้” มรดกเมืองที่ต้องรักษา



ใครที่ใช้สะพานข้ามคลอง บริเวณท่าเรือผ่านฟ้า ที่ชื่อว่า “สะพานมหาดไทยอุทิศ” หรือที่หลายคนเรียกติดปาก "สะพานร้องไห้" เป็นเส้นทางในการสัญจรอยู่บ่อย ๆ ทราบหรือไม่ว่าสะพานแห่งนี้มีอายุครบ ๑oo ปี ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. ๒๕๕๗)

ในบรรดาสะพาน ในเขตกรุงเทพมหานคร ที่มีความเก่าแก่และ สวยงาม ส่วนใหญ่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่ง “สะพานมหาดไทยอุทิศ” ก็เป็นหนึ่งในจำนวนสะพานเหล่านั้น

แต่ “สะพานมหาดไทยอุทิศ” มีความพิเศษกว่าสะพานอื่น ๆ ตรงที่ โครงสร้างเดิมของสะพาน ยังมีความสมบูรณ์ ๑oo เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ประติมากรรมและลายปูนปั้นประดับสะพาน หลงเหลือมาถึงปัจจุบัน ๙๕ -๙๘ เปอร์เซ็นต์

โดยงานประติมากรรม ซึ่งเป็นงานปูนปั้นรูปคนเต็มตัว ตลอดจนลายปูนปั้นประดับสะพาน สันนิษฐานว่าเป็นฝีมือของ นายวิตโตริโอ โนวี (Vittorio Novi) ประติมากร ชาวอิตาเลียน ที่เข้ามารับราชการอยู่ในสยาม ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๕๕ และยังเป็นผู้ปั้นลวดลายประดับตกแต่งพระที่นั่งอนันตสมาคม เคยได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ทิพยาภรณ์ช้างเผือก ชั้นที่ ๕ หรือ เครื่องราชอิสริยาภรณ์เบญจมาภรณ์ช้างเผือก ในปัจจุบัน

ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้กล่าวกันว่า “สะพานมหาดไทยอุทิศ” เป็นหนึ่งใน “เพชรน้ำงาม” ของ “มรดกเมือง” ที่ยังหลงเหลืออยู่ของกรุงเทพมหานคร










อย่างไรก็ตาม สะพานแห่งนี้ก็มีความเสี่ยงต่อการชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลาไม่แตกต่างจากสะพานอื่นๆ ด้วยเป็นสะพานเก่าที่ไม่สามารถรับน้ำหนักได้มาก และมีความกว้างไม่มากพอต่อการสัญจร เวลาเกิดอุบัติเหตุบนสะพาน และเรือชนสะพาน ส่งผลให้ประติมากรรมและลวดลายประดับสะพานแตกร้าว และโครงสร้างของสะพานชำรุด รวมไปถึงความชำรุดทรุดโทรมของสะพานอันเกิดจาก การเดินท่อ เดินสายไฟ เดินสายวิทยุ เดินสายโทรศัพท์ ฯลฯ

ที่ผ่านมาบางสะพานเลือกแก้ไขปัญหา ด้วยการขยายโครงการสร้างของสะพาน แต่ยังคงรักษาประติมากรรมและลวดลายประดับตกแต่งสะพานเอาไว้ ขณะที่บางสะพานเลือกขยายเพียงโครงสร้าง แล้วทุบประติมากรรมและลายปูนปั้นประดับสะพานทิ้งไป










ล่าสุดจึงได้เกิด “โครงการอนุรักษ์ประติมากรรมและลายปูนปั้นประดับสะพานในกรุงเทพมหานคร” ซึ่งเป็นโครงการบริการวิชาการแก่ชุมชมของคณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งจะมีการเก็บข้อมูลด้านต่าง ๆ ของประติมากรรมและลายปูนปั้นประดับสะพานที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ และ ๖ เนื่องจากสะพานกลุ่มนี้มีความเสี่ยงต่อการหมดคุณค่าทางสุนทรีย์ลง ดังนั้นข้อมูลต่าง ๆ จะถูกเก็บไว้ใช้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการอนุรักษ์สะพานในอนาคต

ในขั้นต้นโครงการฯ ได้เลือก “สะพานมหาดไทยอุทิศ” เป็นกรณีศึกษาแรก และเพื่อเป็นการฉลองอายุครบ ๑oo ปี ของสะพานแห่งนี้ด้วย เป็นการเก็บข้อมูลที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลาย ๆฝ่าย เนื่องจากต้องอาศัยทั้งความรู้ทางด้านศิลปะและเทคโนโลยีควบคู่กันไป รวมไปถึงความร่วมมือจากเจ้าของพื้นที่ เป็นความร่วมมือระหว่าง คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสำนักผังเมือง กรุงเทพมหานคร










อาจารย์จักรพันธ์ วิลาสินีกุล อาจารย์ประจำคณะจิตรกรรมประติมากรรมและ ภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร หัวหน้าโครงการ "อนุรักษ์ประติมากรรมและลวดลายปูนปั้นประดับสะพานในกรุงเทพมหานคร”

ให้ข้อมูลว่า การเก็บข้อมูลของประติมากรรมและลายปูนปั้นประดับสะพานมหาดไทยอุทิศ มี ๒ รูปแบบคือ ๑. แบบดั้งเดิม ที่มีการถอดแบบด้วยปูนปาสเตอร์ และ ๒. แบบที่ต้องอาศัยเทคโนโลยี

“แบบที่เป็นปาสเตอร์แบบดั้งเดิม คือถอดพิมพ์ออกมา แต่แบบนี้ก็มีข้อเสีย คือมีขนาดใหญ่น้ำหนักมาก ต้องใช้พื้นที่เก็บ ผมเริ่มมองว่า การที่เราดึงเทคโนโลยีเข้ามาใช้ที่เรียกว่า 3D Scan แล้วเก็บไว้เป็นไฟล์ดิจิตอล ถ้าวันหลังต้องการซ่อม ไฟล์เหล่านี้ก็เอาไปแปลงลงวัสดุต่าง ๆ โครงการนี้เราจึงใช้เครื่องมือหลายแบบมาก เพื่อสะดวกต่อเอาข้อมูลไปใช้ในอนาคต”










นอกจากนี้อาจารย์จักรพันธ์ ยังบอกด้วยว่า ผลลัพธ์ของโครงการยังเป็นประโยชน์กับสังคมในหลายด้าน

“ข้อมูลจะถูกนำไปใช้ได้อย่างกว้างขวาง สร้างการตระหนักในเรื่องมรดกเมือง เสริมภาพลักษณ์เรื่องการท่องเที่ยว นำไปสู่ความสนใจในการเดินชมเมือง ผมอยากกระตุ้นให้มองว่าประติมากรรม และลวดลายปูนปั้น มันไม่ได้มีเฉพาะสะพานนะครับ ยังมีตามอาคารเก่าอีกหลายแห่ง ของกรุงเทพมหานคร การมีชีวิตอยู่ในเมือง มันมีวัฒนธรรม มีความงาม มีเรื่องราว ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก ถ้าไม่มีการเก็บรักษา

อาจารย์ศิลป์ (พีระศรี) เขียนไว้ในบทความครั้งหนึ่งว่า ..เมืองที่ประดับตกแต่งไปด้วยศิลปะอันงดงามมันจะทำให้จิตใจดีงาม”











ภาพและข้อมูลจาก
manager.co.th














พบภาพสเก็ตซ์สุดท้ายฝีมือ‘ศิลป์ พีระศรี’



เมื่อวันที่ ๑๗ ก.ย.ที่ผ่านมา นายชาย นครชัย ผอ.สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า ตนได้รับแจ้งจากนายกมล ทัศนาญชลี ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ ที่พำนักอยู่ที่นครลอสแองเจลิสประเทศสหรัฐอเมริกาโดยได้รับการประสานงานจาก น.ส.สิริมา จุลดุลย์ น้องสาว ของนายเทพ จุลดุลย์นักสะสมผลงานศิลปะชาวไทยที่ย้ายถิ่นฐานไปอยู่รัฐออริกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา ว่านายเทพได้เสียชีวิตลงเมื่อช่วง ๑ ปีที่ผ่านมา โดยเมื่อครั้งที่มีชีวิตอยู่ ได้เก็บสะสมผลงานศิลปะของผลงานศิลปินที่มีชื่อเสียงของไทยมาอย่างยาวนานรวมทั้งยังมีการรวบรวมหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติไทยไว้หลายรายการและก่อนเสียชีวิต ก็ได้แสดงความจำนงที่จะยกของสะสมบางส่วนไว้เป็นสมบัติของชาติ

นายชาย กล่าวว่า จากนั้น นายกมล ได้เดินทางไปยังเมืองออริกอน ซึ่งเป็นที่ตั้งบ้านของน.ส.สิริมา เพื่อตรวจสอบของสะสมต่างๆของนายเทพพบหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์จำนวนมาก ซึ่งไม่สามารถประเมินค่าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บันทึกประวัติการปรับปรุงวงดนตรีกองทัพเรือ และ ต้นฉบับสมุดโน้ตเพลงชาติไทยฉบับจริง ซึ่งพระเจนดุริยางค์ (ปีติ วาทยะกร) บุคคลสำคัญในวงการดนตรีของประเทศไทยเป็นผู้ประพันธ์ทำนองเพลงชาติไทยโดยได้เขียนด้วยลายมือตัวเองและมอบให้นายเทพ นำไปพิมพ์ดีด คัดลอกต้นฉบับเก็บรักษาไว้ ๓ ชุดลงวันที่ ๑๑ ก.พ. ๒๔๙๒ ซึ่งมีการบันทึกเหตุการณ์เรื่องราวของการแต่งทำนองเพลงชาติไทย ตั้งแต่เริ่มแต่งไปจนแก้ไขปรับปรุงจนนำมาใช้ในปัจจุบัน ไว้อย่างครบถ้วนรวมทั้ง ยังมีต้นฉบับพจนานุกรมเกี่ยวกับดนตรีของโลก จำนวน ๒,ooo หน้า ซึ่งบันทึกไว้ด้วยลายมือด้วย

ผอ.สศร. กล่าวด้วยว่า ขณะเดียวกัน ยังพบผลงานศิลปะของศิลปินที่มีชื่อเสียง และศิลปินแห่งชาติไทย ที่ทรงคุณค่า และหาชมไม่ได้อีกแล้ว มากกว่า ๑oo รายการ ซึ่งเกือบทุกภาพได้มีการบันทึกเหตุการณ์ที่มาของภาพดังกล่าวโดยละเอียดอาทิ ผลงานภาพสเก็ตซ์รูปคนนั่ง ซึ่งเป็นภาพสุดท้ายของ ศ.ศิลป์ พีระศรี ที่ได้เขียนไว้ เพื่อสอนนักเรียนก่อนเสียชีวิต ๓ วันลงวันที่ ๑o พ.ค. ๒๕o๕ ผลงานจิตรกรรม ของ นายเฟื้อ หริพิทักษ์ซึ่งได้สร้างสรรค์ในค่ายกักกัน ช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่ประเทศอินเดีย และยังเป็นภาพที่ได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดภาพวาดในอินเดียพ.ศ. ๒๔๘๘ และภาพดอกไม้ ซึ่งเป็นผลงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศงานศิลปกรรม แห่งชาติครั้งที่ ๑ ของ มหาวิทยาลัยศิลปากร พ.ศ. ๒๔๙๒ ผลงานของ นายทวี นันทขว้าง อาทิ ภาพวัดโพธิ์ได้รับรางวัลชนะเลิศการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติครั้งที่ ๔ ศิลปากรผลงาน ภาพพิมพ์ชุดแรกของ นายชะลูด นิ่มเสมอ ที่พิมพ์บนกระดาษสา ซึ่งได้รับรางวัลของ พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ แห่งเมือง ริจิก้าในการประกวดศิลปกรรมครั้งที่ 5 ที่ พิพิธภัณฑ์ลุบยาน่า ประเทศ ยูโกสลาเวีย ปี ๒๕o๖ และภาพของนายสวัสดิ์ ตันติสุขเป็นภาพFloweraได้รับรางวัลที่ ๒ การประกวดศิลปะนานาชาติครั้งที่ ๑ ไซ่ง่อน ประเทศเวียดนาม ปี พ.ศ. ๒๕o๕ ฯลฯ

“ผมได้นำเรื่องดังกล่าวรายงานต่อ นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รมว.วัฒนธรรม แล้วและต้นเดือนต.ค. นี้ ตนจะเดินทางไปรัฐออริกอนเพื่อเจรจาถึงการนำงานศิลปะกลับมาประเทศไทย ซึ่งเท่าที่ทราบทางญาติประสงค์ที่จะบริจาคผลงานบางส่วน และบางส่วนกระทรวงอาจจะขอซื้อมาจัดแสดงภายในหอศิลป์ร่วมสมัยรัชดา ที่มีความยิ่งใหญ่และทันสมัยที่สุดในภูมิภาคเอเชีย ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จ ปี ๒๕๕๙” ผอ.สศร. กล่าว

นายกมล กล่าวว่าตนกับนายเทพ และครอบครัวรู้จักกันมานานกว่า ๓o ปี เนื่องจากเป็นผู้ที่มีความสนใจสะสมงานศิลปะของศิลปินหลายแขนง และอีกทั้ง นายเทพเป็นผู้ที่ใกล้ชิดพระเจนดุริยางค์ท่านจึงมีความไว้วางใจมา มอบของมีค่าเหล่านี้ไว้ให้นายเทพเก็บรักษา ทั้งนี้ น.ส.สิริมา ได้ให้ข้อมูลว่า ก่อนที่นายเทพเสียชีวิต เคยหารือว่า อยากให้ของที่สะสมนั้นอยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่ดีของประเทศไทย แต่เนื่องจากที่ผ่านมา เห็นจุดอ่อนของการบริหารพิพิธภัณฑ์ของไทย ที่ไม่มีประสิทธิภาพ เหมือนต่างชาติเกรงว่าการเก็บรักษาผลงานจะไม่ดีพอแต่เมื่อทางญาติทราบข่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม กำลังจะมีการสร้างหอศิลป์ร่วมสมัย ถ.รัชดา จึงติดต่อมาเพื่อที่จะให้นำของสะสมมาให้ประชาชนชาวไทยชาวต่างชาติ ได้เห็นผลงานอันล้ำค่าของแผ่นดินซึ่งไม่อยากให้เป็นของสะสมไปติดตั้งไว้ที่บ้านใดบ้านหนึ่งเท่านั้น







ภาพและข้อมูลจาก
komchadluek.net














รับมอบและขอซื้องานศิลปะ ของนักสะสมไทย มาแสดงที่ “หอศิลป์ร่วมสมัยรัชดา”



เหล่านี้คือส่วนหนึ่งของผลงานศิลปะที่อยู่ในการครอบครองของ นายเทพ จุลดุลย์ นักสะสมชาวไทยในรัฐโอเรกอน สหรัฐอเมริกา ซึ่ง นายกมล ทัศนาญชลี ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ นำมาโพสต์ผ่าน facebook ส่วนตัว ในวันนี้ (๑๘ ก.ย. ๕๘)

พร้อม ๆ กับที่มีข่าวเผยแพร่ผ่านสื่อหลายสำนักในช่วงหนึ่งถึงสองวันมานี้ว่า นายกมล ซึ่งขณะนี้พำนักอยู่ที่นครลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา แจ้งว่าได้รับการประสานงานจาก น.ส.สิริมา จุลดุลย์ น้องสาวของนายเทพ ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วเมื่อ ๑ ปีที่ผ่านมาว่าพี่ชายเคยได้แสดงความจำนงเอาไว้ก่อนเสียชีวิตว่าจะยกผลงานศิลปะที่อยู่ในการครอบครองบางส่วนเป็นสมบัติของประเทศไทย

และนายกมลได้แจ้งเรื่องมายังสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม รวมถึงได้เดินทางไปยังบ้านของ น.ส.สิริมา ทำให้ได้เห็นผลงานศิลปะที่อยู่ในการครอบครองของนายเทพหลายรายการ

อาทิ ผลงานภาพสเกตช์รูปคนนั่ง ซึ่งเป็นภาพสเกตช์ภาพสุดท้ายของ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ที่ได้เขียนไว้ เพื่อสอนนักเรียนก่อนเสียชีวิต ๓ วัน พร้อมลงวันที่ ๑o พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕o๕

ภาพวาดผลงานของนายเฟื้อ หริพิทักษ์ ซึ่งวาดขึ้นขณะอยู่ในค่ายกักกัน ที่ประเทศอินเดีย เมื่อช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นภาพที่ได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดภาพวาดในอินเดีย พ.ศ. ๒๔๘๘ และภาพดอกไม้ ซึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศงานศิลปกรรมแห่งชาติครั้งที่ ๑ ของมหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๒

ภาพวัดโพธิ์ ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติครั้งที่ ๔ ผลงาน ของนายทวี นันทขว้าง

ตลอดจนผลงานภาพพิมพ์ชุดแรกพิมพ์บนกระดาษสา ของนายชะลูด นิ่มเสมอ ซึ่งได้รับรางวัลของพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ แห่งเมืองริจิก้า ในการประกวดศิลปกรรมครั้งที่ ๕ ที่พิพิธภัณฑ์ลุบยานา ประเทศ ยูโกสลาเวีย พ.ศ. ๒๕o๖

และภาพ Flowera ผลงานของนายสวัสดิ์ ตันติสุข ที่ได้รับรางวัลที่ 2 การประกวดศิลปะนานาชาติครั้งที่ ๑ เมืองไซ่ง่อน ประเทศเวียดนาม พ.ศ. ๒๕o๕ ฯลฯ

นอกจากนี้นายกมลยังแจ้งว่าได้พบหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ อาทิ บันทึกประวัติการปรับปรุงวงดนตรีกองทัพเรือ และต้นฉบับสมุดโน้ตเพลงชาติไทยฉบับจริง ซึ่ง พระเจนดุริยางค์ (ปีติ วาทยะกร) เป็นผู้ประพันธ์ทำนองเพลงชาติไทย เขียนด้วยลายมือตัวเอง แล้วมอบให้นายเทพนำไปพิมพ์ดีด คัดลอกต้นฉบับเก็บรักษาไว้ ๓ ชุด ลงวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๒ และต้นฉบับพจนานุกรมเกี่ยวกับดนตรีของโลก จำนวน ๒,ooo หน้า ซึ่งบันทึกไว้ด้วยลายมือ

หลังจากที่ นายชาย นครชัย ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ได้นำเรื่องรายงานต่อ นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม

ต้นเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ นายชัยจะเดินทางไปรัฐโอเรกอน เพื่อไปนำงานศิลปะที่นายเทพแจ้งความจำนงจะยกบางส่วนเป็นสมบัติของแผ่นดิน กลับมาประเทศไทย

รวมถึงจะขอซื้ออีกบางส่วน ในนามกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อนำมาจัดแสดงใน หอศิลป์ร่วมสมัยรัชดา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และคาดว่าจะแล้วเสร็จ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ และว่ากันว่าจะเป็นหอศิลป์ที่มีความยิ่งใหญ่และทันสมัยที่สุดในภูมิภาคเอเชีย

"คุณเทพ จุลดุล นักสะสมศิลปะที่ผมรู้จักมากว่า ๔o ปีเดินทางมาอยู่สหรัฐอเมริกา ต้ังแต่ปี ๑๙๖๗ อยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี Los Angeles. และย้ายไปอยู่ที่ Portland , Oregon. ประมาณ ๒o ปี หลังแผ่นดินไหวที่แอลเอ ผมรู้จักครอบครัวและน้องสาวและญาติ ๆ ที่อยู่แอลเอ และเคยยืมผลงานส่วนหนึ่งของท่านและนักสะสมศิลป์ Morris Pressและคัดเลือกผลงานแสดง”

คือข้อความของนายกมล ที่โพสต์ผ่าน facebook พร้อมผลงานศิลปะที่อยู่ในการครอบครองของนายเทพ





นายเทพ จุลดุลย์











ภาพและข้อมูลจาก
manager.co.th














อาลัย ประภัสสร เสวิกุล ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์



มีรายงานว่า ช่วงเช้าของวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๘ เวลา o๒.oo น. ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประภัสสกร เสวิกุล ได้เสียชีวิตอย่างกะทันหันด้วยโรคหัวใจที่บ้านพัก ด้วยวัย ๖๗ ปี

ประภัสสร เสวิกุล เกิดเมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๑ ที่ กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของ ร้อยโท รังษี เสวิกุล และนางศจี เสวิกุล (สกุลเดิม สีมันตร) สมรสกับนางชุติมา เสวิกุล (สกุลเดิม วรฉัตร) มีบุตร ๒ คน คือ นายชาครีย์นรทิพย์ เสวิกุล และนายวรุตม์ชัย เสวิกุล

ประภัสสร เสวิกุล ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ พุทธศักราช ๒๕๕๔ เป็นนักเขียนที่ได้รับความนิยมจากนักอ่านและเป็นที่ยอมรับในวงวรรณกรรมร่วมสมัยของไทยในช่วงเวลากว่า ๔o ปี ท่านได้สร้างสรรค์ผลงานอันมีคุณค่าทั้งนวนิยาย เรื่องสั้น บทกวี สารคดี จำนวนมาก ผลงานจำนวนไม่น้อยได้รับรางวัลในระดับชาติหลายเรื่อง ได้มีผู้นำไปสร้างสรรค์เป็นศิลปะแขนงอื่น คือ ละครโทรทัศน์ และภาพยนตร์ อีกจำนวนหนึ่งได้รับการแปลเป็นภาษาต่างประเทศ






วรรณกรรมของ ประภัสสร เสวิกุล มิใช่เพียงให้ความบันเทิงใจแก่ผู้อ่าน แต่ให้ภาพสมจริงของสังคมและชีวิตมนุษย์ ผลงานที่สร้างขึ้นอย่างประณีต ผสมผสานข้อมูลกับจินตนาการอย่างเหมาะสม นำเสนอด้วยฝีมือการประพันธ์ และภาษาที่เลือกสรรแล้ว พร้อมทั้งให้ข้อคิดคติธรรมแก่ผู้อ่าน ได้แสดงให้เป็นที่ประจักษ์ว่าท่านเป็นนักเขียนที่มีอุดมคติและมีสำนึกความรับผิดชอบต่อนักอ่านและสังคม งานประพันธ์ทุกเรื่องของท่านจะฉายภาพให้ผู้อ่านได้เห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์ คุณธรรมและค่านิยมประการต่าง ๆ ได้แก่ ความเป็นผู้นำ มิตรภาพ การพึ่งตนเอง ความขยันหมั่นเพียร ความกล้า สู้ชีวิต ความอดออม ความเมตตา ความกตัญญู ความซื่อสัตย์ ความสามัคคี การเคารพเชื่อฟังผู้อาวุโส การหมั่นแสวงหาความรู้ ตลอดจนการเห็นคุณค่าของศิลปะและวัฒนธรรมของชาติ เพราะท่านเชื่อมั่นว่าด้านดีของมนุษย์และคุณลักษณะที่ดีของคนไทย จะเป็นพลังสำคัญที่จะธำรงรักษาสังคมและมนุษยชาติไว้

นอกจากการสร้างสรรค์ผลงานวรรณกรรมไว้เป็นสิ่งจรรโลงใจแก่ผู้อ่านแล้ว ประภัสสร เสวิกุล ยังมีบทบาทสำคัญในการเชิดชูเกียรติและศักดิ์ศรีของนักเขียนรุ่นอาวุโส ส่งเสริมให้เกิดความสัมพันธ์ทางวรรณกรรมระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่วงการนักเขียนและวงวรรณกรรมร่วมสมัยของไทย รวมทั้งถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ด้านการประพันธ์เพื่อสร้างนักเขียนรุ่นเยาว์ให้ก้าวไปสู่การเป็นนักเขียนอาชีพ

ประภัสสร เสวิกุล เริ่มเขียนบทกวีมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕o๕ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากบิดามารดาที่สอนให้ท่องจำโคลงโลกนิติ และลิลิตตะเลงพ่าย ตั้งแต่อายุ ๓ - ๔ ขวบ ทำให้จิตใจรักงานกวีนิพนธ์ และศิลปะการใช้ภาษาของกวีในอดีต จึงเริ่มหัดเขียนโคลงสี่สุภาพและกลอนแปด ผลงานกลอนแปดชิ้นแรกชื่อ "แม่จ๋า" ได้ลงพิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๕o๘ ในนิตยสารสามทหาร ซึ่งมีฉัชทิชย์ กระแสสินธุ์ เป็นบรรณาธิการ หลังจากนั้นก็เขียนส่งไปตามคอลัมน์กลอนในนิตยสารต่าง ๆ เช่น แม่บ้านการเรือน ศรีสัปดาห์ คุณหญิง ฯลฯ ต่อมานำเพลงสากลมาแปลเนื้อเพลงแล้วแต่งเป็นบทกลอน ลงพิมพ์ในหนังสือเพลง เช่น I.S. Song Hits, Current Songs และ Star Pics เป็นต้น บทกลอนเหล่านี้ได้เผยแพร่ออกอากาศในรายการเพลงทางสถานีวิทยุต่าง ๆ






หลังจาก ประภัสสร เสวิกุล ได้อ่านวรรณคดียิ่งใหญ่ระดับโลก วรรณคดีไทย และผลงานชั้นเยี่ยมของนักเขียนร่วมสมัยไทยเป็นจำนวนมาก เช่น หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช, มนัส จรรยงค์, มาลัย ชูพินิจ, ประมูล อุณหธูป, พนมเทียน และ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ ในสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ต่อมาเรื่องสั้นเรื่องแรก คือ "หอมกลิ่นดอกงิ้ว" ได้ลงพิมพ์ในหนังสือเฟื่องนคร ฉบับกันยายน นลิน เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๔ ในการเขียนเรื่องสั้นช่วงแรก ๆ ท่านได้รับอิทธิพลด้านสำนวนภาษาของ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ แต่ในเวลาต่อมาก็เริ่มเปลี่ยนแปลง ทำให้สามารถสร้างผลงานที่มีความเป็นตัวของตัวเอง และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานเขียนที่สร้างสรรค์ขึ้นในช่วงรับราชการอยู่ที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเวียงจันทร์ เรื่องสั้น "อีกวันหนึ่งของตรัน" ซึ่งมีความโดดเด่นทั้งรูปแบบและเนื้อหาได้รับรางวัลดีเด่น รางวัลอนุสรณ์ ว. ณ ประมวญมารค และต่อมาได้รับรางวัลเรื่องสั้นดีเด่นจากสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ใน พ.ศ. ๒๕๒๑ อีกด้วย

เขียนเรื่องสั้นมาเป็นเวลา ๑๑ ปี ประภัสสร เสวิกุล ได้รับคำแนะนำจาก นิลวรรณ ปิ่นทอง บรรณาธิการนิตยสารสตรีสาร ให้ลองเขียนนวนิยายดูบ้าง นวนิยายเรื่องแรก คือเรื่อง "อำนาจ" ลงพิมพ์ในสตรีสาร เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๕ เมื่อพิมพ์รวมเล่มแล้ว นวนิยายเรื่องนี้ได้รับรางวัลชมเชยจากการประกวดหนังสือดีเด่น ของคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ ใน พ.ศ. ๒๕๒๖ หลังจากนั้น ท่านก็มีผลงานนวนิยายลงพิมพ์ในนิตยสารต่าง ๆ ติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอมาจนถึงปัจจุบัน นวนิยายหลายเล่มพิมพ์ซ้ำหลายครั้ง เช่น เวลาในขวดแก้ว, ชี้ค, ขอหมอนใบนั้น... ที่เธอฝันยามหนุน, ลอดลายมังกร, อำนาจ และนวนิยายหลายเรื่องได้นำไปสร้างเป็นละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ เช่น ช่อปาริชาต, เวลาในขวดแก้ว, ขอหมอนใบนั้น... ที่เธอฝันยามหนุน, ขอให้รักเรานิรันดร, อำนาจ, ซิงตึ๊ง, บ้านก้านมะยม, สำเภาทอง, ลอดลายมังกร ฯลฯ

ประภัสสร เสวิกุล มีความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงานหลากหลายประเภท มีผลงานเรื่องสั้นกว่า ๑๕o เรื่อง นวนิยายมากกว่า ๖o เรื่อง กวีนิพนธ์กว่า ๒oo บท วรรณกรรมเยาวชน สารคดี บทละครเวที "ข้าวต้มชามแรก" (แสดงหน้าพระที่นั่ง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวาระ ๑oo ปี มูลนิธิป่อเตีกตึ๊ง) และบทละครโทรทัศน์อีกจำนวนหนึ่ง

ผลงานรวมเรื่องสั้น ได้แก่ กลีบนั้นและกลีบนี้บนแดงดอกงิ้ว, หยาดฝน, คืนนั้นที่ฉันเหงา, ทุ่งดอกหญ้า, บันทึกหลังฟอกสบู่, คืนนี้ไม่มีแสงดาว, อีกวันหนึ่งของตรัน, คนบนยอดตึก, ซิ้มใบ้, เรือกระดาษ, ครีบหัก, แม่น้ำสายนั้นชื่อฝันสลาย ฯลฯ

ในส่วนของผลงานนวนิยาย ได้แก่ อำนาจ, เมเปิ้ลแดง, ลับสุดยอด, เวลาในขวดแก้ว, ช่อปาริชาต, ชี้ค, ลอดลายมังกร, สวนผีเสื้อ, ของหมอนในนั้น...ที่เธอฝันยามหนุน, ขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศ, หิมาลายัน, ซิงตึ้ง, ดวงใจในสายรุ้ง, ดอกไม้ใต้หมอน, ครีษมายัน, ขวัญข้าว, พิมานแพร, รายาแห่งทะเล, เพื่อนทางสายพระจันทร์เสี้ยว, ขอให้รักเรานั้นนิรันดร, ม่านมรสุม, ความรัก ความหลัง และหนังเรื่องหนึ่ง ฯลฯ



ภาพและข้อมูลจาก
manager.co.th














งิ้วกวางตุ้งบนเวทีความรักไทย-จีน



ปัจจุบันลูกหลานเชื้อสายจีนมีอยู่มากมายทั่วโลก ในเมืองไทยบ้านเรานั้นมีเชื้อสายมาจากแต้จิ๋วส่วนใหญ่ และมีอีกหลายมลฑลที่อพยพไปอีกหลายพื้นที่ น่าสนใจว่าถึงจะอยู่ต่างบ้านต่างเมืองความแน่นแฟ้นของศิลปะการแสดง วัฒนธรรม ประเพณีต่าง ๆ ชาวจีนก็ไม่เคยทอดทิ้งหรือปล่อยให้กลืนหายไปกับวัฒนธรรมใหม่มากนัก ยังคงทำการบอกเล่าอนุรักษณ์ให้ลูกหลายในยุคปัจจุบันได้รู้จักรุ่นต่อรุ่น โดยเฉพาะการแสดงงิ้ว อุปรากรโบราณที่เป็นภาพลักษณ์ให้แก่ชาวจีนมาเนิ่นนาน ที่ในสังคมวันนี้เราอาจไม่ค่อยเห็นการแสดงงิ้วได้ทั่วไปเหมือนแต่ก่อน แต่ความจริงแล้วยังมีสถานที่ชมและฝึกฝนงิ้วในประเทศไทย มีคนจำนวนมากที่ชอบชมความงามของการแต่งหน้า แต่งกาย และผู้เล่นเองยังมีการแสดงตอนใหม่ๆ เกิดขึ้นเสมอ ยิ่งในจีนแผ่นดินใหญ่นั้นงิ้วถูกเปรียบเป็นดั่งการแสดงชั้นสูงในโรงละครโอเปร่าเลยทีเดียว

เพื่อให้เห็นภาพชัดของอุปรากรที่ไม่มีวันเลือนหาย ในโอกาสครบ ๔o ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - จีน สมาคมกว๋องสิวแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยสมาคมนักธุรกิจกว๋องสิว (ประเทศไทย) และ ชมรมศิลปะงิ้วกวางตุ้ง ใด้รับเกียรติจากสถานทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศไทย มอบหมายให้เป็นผู้ดำเนินงานจัดแสดงงิ้วกวางตุ้งชุดพิเศษ ที่ยิ่งใหญ่ตระการตาจากมลฑลกวางตุ้งโดยโอเปร่าจีนกวางตุ้ง ให้เหล่าผู้รักศิลปะและลูกหลานชาวไทยเชื้อสายจีนได้รับชมกันอย่างยิ่งใหญ่ โดยมีการจัดงานแถลงข่าวรายละเอียดงานพร้อมเรื่องราวที่จะนำมาจัดแสดง ภายในโรงแรมแชงกรี-ลา เมื่อวันก่อน

สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง นายกสมาคมกว๋องสิวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในนามของสมาคมกว๋องสิว (ประเทศไทย) และชาวไทยเชื้อสายจีนกวางตุ้ง ถือเป็นเกียรติอันสูงสูดที่ได้รับมอบหมายจาก ฯพณฯ ท่าน หนิง ฟู่ขุย เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย พร้อมด้วยท่านอุปทูตด้านวัฒนธรรมจีน ฉัน เจียง และคณะฯ ให้เป็นผู้จัดงานแสดงในครั้งนี้ ทราบมาว่า การแสดงอุปรากรจีนกวางตุ้ง ชุดนี้เป็นชุดพิเศษที่หาชมได้ยาก และการแสดงแต่ละชุดนั้นมีความวิจิตร สวยงาม อลังการมากๆ ไม่ว่าจะเป็นชุดนักแสดง ฉาก แต่ละชุดที่ยิ่งใหญ่ตระการเหมือนละครเวทีสมัยใหม่เรื่องหนึ่ง เชื่อว่าการแสดงอุปรากรจีนงิ้วกวางตุ้งชุดนี้ จะเป็นงานศิลป์อันทรงคุณค่าที่จะเปิดประตูสู่เส้นทางสายไหมแห่งวัฒนธรรมการเรียนรู้ให้กับลูกหลานไทยจีนต่อไป

“ความจริงแล้วไทยกันจีนมีคามสัมพันธ์ไมตรีกันมากว่า ๑oo ปี ผมเองก็เป็นคนไทย-จีนเชื้อสายกวางตุ้ง เราได้รับการปลูกฝังวัฒนธรรม เรื่องราวประวัติศาสตร์ ตำนานจีนต่าง ๆ ด้วยการไปดูงิ้วกับครอบครัวในวันหยุด ศิลปะชนิดนี้ไม่ว่าจะเป็นงิ้วกวางตุ้ง ไต้หวัน หรือแต้จิ๋ว เราดูได้กว่า ๑o ครั้ง บางคนอาจไม่รู้ภาษาจีนทั้งหมด แต่ก็เข้าใจเรื่องราวได้ด้วยความสวยงามของฉาก ท่าทางการแสดงออก อารมณ์ของนักแสดง ฟังเสียงดนตรี ธรรมชาติของมนุษย์เราจะรับรู้เองว่ากำลังรับฟังเรื่องอะไร ผมดีใจที่เราจะได้เห็นวัฒนธรรมสวยงามยิ่งใหญ่แบบนี้ในบ้านเราอีกครั้งที่จริงแล้วไม่ใช่เฉพาะของคนกวางตุ้ง งิ้วทั้งหมดควรจะเป็นศิลปะล้ำค่าชนิดหนึ่งของโลก หลาย ๑o ปีมาแล้วเราไม่เคยมีงานแบบนี้ ผมอยากจะฝากผู้ใหญ่ในบ้านเมืองให้รื้อฟื้นกลับมาดูแลวัฒนธรรมศิลปะในไทยกลับมา ไม่ใช่แค่อุปรากรจีนเท่านั้นสมัยเด็กๆ ผมอยู่ติดกับวัดแถววรจักร ในวัดมีงานเกือบทุกอาทิตย์ ไม่จำอวด ก็รำตัด ลิเก โขน และโขนที่ไม่ใส่หน้ากากหรือที่เรียกว่าหนังสด ตอนนี้ก็ค่อย ๆ จะเลือนหายไป อยากให้เรามาร่วมกันอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมในบ้านเราไม่ว่าจะของเชื้อชาติไหนก็ตาม” สวัสดิ์ กล่าว

ด้าน ศักดา หอรุ่งเรือง ผู้เชี่ยวชาญในศิลปะงิ้วกวางตุ้ง กล่าวเสริมว่า ในปี ๑๙๔o ประเทศต่าง ๆ ต้องการแรงงานจากชาวจีนมาก มีชาวจีนเข้ามาในทวีปยุโรป อเมริกา เอเชียเยอะมาก หลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ จบลง คณะงิ้วจากจีนเริ่มมีการนำศิลปะแขนงนี้มาแสดงในเอเชีย ส่งผลให้เกิดคณะงิ้วหลาย ๆ คณะ มีการฝึกฝนร่วมกัน เดินทางแสดงไปทั่วประเทศและต่างจังหวัด ในปัจจุบันมีการสืบทอดงิ้วกวางตุ้งอยู่ ไม่ต่างจากงิ้วอื่น ๆ เพียงแต่ร้องคนละภาษาคนไทยจะชินกับงิ้วแต้จิ๋ว ส่วนยุโรปจะรู้จักงิ้วกวางตุ้งมากกว่า ทั้งในออสเครเลีย อเมริกา ก็มีคณะงิ้วเช่นกัน เท่าที่เห็นปัจจุบันมีคนไทยเชื้อสายจีนสนใจมาเรียนงิ้วมากพอสมควร เพราะเป็นศิลปะที่ลูกหลานอยากอนุรักษ์ไว้ งานครั้งนี้ผมเชื้อว่าจะทำให้งิ้วกวางตุ้งเป็นที่สนใจมากขึ้น เราทำสไลด์เรื่องที่จะแสดงเป็นภาษาไทยฉายให้ดูเพื่อความเข้าใจเนื้อเรื่องมากขึ้น อันที่จริงท่าทางการแสดงออก และชุดของงิ้วกวางตุ้งส่วยวิจิตรมาก รวมถึงฉากที่พัฒนามาได้สวยงามสมจริง อยากให้ลองได้มาดูอีกมิติหนึ่งของงิ้วในปัจจุบัน

ปิดท้ายที่ จันทร์เพ็ญ จงจินตนาการ ประธานชมรมศิลปะงิ้วกวางตุ้ง (ประเทศไทย) กล่าวถึงความพิเศษการแสดงครั้งนี้ว่าเป็นอุปรากรจีนงิ้วกวางตุ้งที่ยิ่งใหญ่ตระการตา หยิบเรื่องราวบทละครมาแสดงไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน เริ่มจาก วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๘ ในการแสดงชุด ความเมตตาของพระโพธิสัตว์กวนอิม, วันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๕๘ เปิดการแสดงในชุดนางพญางูขาว ส่วนวันที่ ๓o กันยายน ๒๕๕๘ จะเป็นการแสดงชุด กวางตุ้งคลาสสิกโอเปร่า รวมหลากหลายบทเพลงและบทละครงิ้วดัง ๆ ให้ได้ชม อาทิ เรื่องความสุขในเรือนหอ, เรือหนานไห่1 ตอนตลาดกวางโจว, ลิงเผือกแย่งลูกท้อ, เรือหนานไห่1 ตอนสวนดอกไม้แห่งเปอร์เซีย, หลิวจินติ้ง ตอนโซ่วโจวช่วยกษัตริย์ เป็นต้น นำแสดงโดยสำนักงิ้วกวางตุ้งเริ่มก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ ๑๙๕๘ ผู้ก่อตั้งสำนักงิ้วกวางตุ้งนั้นเป็นอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงทางด้านอุปรากรจีนกวางตุ้ง “Ma Shi Zhen” มีนักแสดงได้รับรางวัลอุปรากรจีนดีเด่นมากที่สุด สำนักงิ้วกวางตุ้งได้สร้างพื้นฐานให้ผู้รับช่วงคงลักษณะดีเด่นของคณะงิ้วไว้ ในปี ค.ศ ๒o๑๓ คณะงิ้วกวางตุ้งนั้นได้รับรางวัลจากกระทรวงวัฒนธรรมจีนเป็นคณะงิ้วที่ได้ชื่อว่ามีการแสดงยอดเยี่ยมระดับประเทศ และได้ออกเดินทางแสดงทั่วโลก เช่น อังกฤษ แคนาดา สิงคโปร์ เป็นต้น รวมทั้งฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวั่น ก็ได้ไปแสดง คณะงิ้วกวางตุ้งได้รับการยอมรับมากมายจากผู้ชมทั้งในและนอกประเทศ

การแสดงในโอกาสครบ ๔o ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - จีน โดยเราจะจัดแสดงระหว่างวันที่ ๒๗, ๒๙ และ ๓o กันยายน ๒๕๕๘ เวลา ๑๘.๓o – ๒o.oo น. หอประชุมสมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย ซอยเย็นจิตร ถนนจันทน์ โดยการแสดงแต่ละวันจะจัดแสดงวันละ ๑ รอบ ๆ ละ ๕oo ที่นั่งเท่านั้น เชิญชวนผู้ที่รักในศิลปะงิ้วจีน และชาวไทยเชื้อสายจีนทุกท่านเข้ารับชมได้ฟรี ติดต่อรับบัตรได้ที่สมาคมกว๋องสิวแห่งประเทศไทย โทร. o-๒๒๒๕-๙๗o๑-๒ หรือ //www.kwongsiewthai.com







ภาพและข้อมูลจาก
komchadluek.net














สตรีตอาร์ตเบ่งบานทั่ว “ราชประสงค์” สื่อความหมาย STRONGER TOGETHER



หลังเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมด้วยการวางระเบิดเมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ณ ย่านราชประสงค์ เพื่อเป็นการคืนความสุขให้พื้นที่ และดึงนักท่องเที่ยวให้กลับมาเยือนอีกครั้ง ล่าสุดวันนี้ (๑๕ ก.ย. ๒๕๕๘) เหล่าผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ ได้ร่วมกันจัดงาน STRONGER TOGETHER with Steet Arts at Ratchaprasong ด้วยการเชิญศิลปินแนวสตรีตอาร์ต,นักวาดภาพ,นักวาดภาพประกอบ และนักออกแบบ ของไทยและต่างประเทศ ได้แก่ P7, Rukkit,Chip7, Nev3r,Zids, TRk, ภัทรีดา-นวลตอง ประสานทอง, โอ๋ ฟูตอง, กิตติพงษ์ คำศาสตร์ หรือ เอ็ม วง Buddha Bless, สมนึก คลังนอก, ชลิต นาคพะวัน, ตือ-สมษัษร ถิระสาโรช, ธงยศ บุญผลิตผล, Jeremy Ville,Spanky Studio และDSTGR CREW

มาสร้างสรรค์ผลงานไว้ ณ ๑๑ จุด ทั่วย่านราชประสงค์ให้ผู้ที่สัญจรไปมาบริเวณนั้นได้ชม อาทิ ด้านหน้าศูนย์การค้าเกษร , ศูนย์การค้าเอราวัณ แบงค็อก, ศูนย์การค้าอัมรินทร์ พลาซ่า, โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ, ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, เดอะ แพลทินัม แฟชั่น มอลล์ (ประตูน้ำ) และบนสกายวอล์กระหว่างศูนย์การค้าเกษรและศูนย์การค้าอัมรินทร์ พลาซ่า

ตัวอย่างเช่น ผลงานชื่อ Stronger With Pink สร้างสรรค์ด้วยเทคนิคสีอะคริลิกของสองพี่น้องนักวาดภาพประกอบ ภัทรีดา- นวลตอง ประสานทอง บริเวณด้านหน้าศูนย์การค้าเกษร ซึ่งเป็นภาพผู้หญิง ตามแบบฉบับของนวลตอง ใส่แว่นตา และสะท้อนถึงความสดใสของวันนี้ผ่านท้องฟ้าสีฟ้าใสและเมฆ จับมือกับ Happy characters ตามแบบฉบับของภัทรีดา ที่มีสีสันสดใสและแก้มชมพูอย่างมีสุขภาพดี

มีแนวคิดและแรงบันดาลใจมาจาก “ไม่ว่าเราจะเป็นใคร มีความแตกต่างกันอย่างไร เราก็อยู่ในสังคมเดียวกัน เป็นเหมือนจิ๊กซอว์ของกันและกัน ถ้าเราเข็มแข็ง พวกเราทุกคนก็จะเข้มแข็งไปด้วยกันอย่างมีความสุข”

ขณะที่ผลงานชื่อ Strongly Protection เทคนิคสีอะคริลิกของ สมนึก คลังนอก บริเวณสกายวอล์ก ระหว่างศูนย์การค้าเกษรและศูนย์การค้าอัมรินทร์ พลาซ่า มีแนวคิดและแรงบันดาลใจมาจาก

“ภาพของเด็กๆในชุดคลุมโคคูน หมายถึงอนาคตของชาติที่เราต้องปกป้องดูแล การจับมือกัน หมายถึง ความสามัคคีของคนในชาติ และนกหลากสี หมายถึง คนต่างจิตต่างใจ ต่างความคิด แต่ทุกคนรักสิ่งเดียวกันคือประเทศของเรา เราจะเข้มแข็งไปด้วยกัน”

รวมไปถึงผลงานชื่อ Stronger Together ของ ๕ ศิลปินสตรีตอาร์ต ได้แก่ P7, Rukkit, Chip7, Nev3r, Zids และ TRk ซึ่งเป็นภาพกราฟิตี้ความยาว ๑๒.๕ เมตร บริเวณด้านหน้าศูนย์การค้าอัมรินทร์ พลาซ่า

นอกจากศิลปินทั้งหมดจะมาพ่นเสเปรย์ สร้างสรรค์ผลงานให้ได้ชมกันสด ๆ ตั้งแต่ช่วงเช้าจดบ่าย

P7 ยังได้เป็นตัวแทนกล่าวถึงผลงานซึ่งเป็นการนำเอาตัวคาแรกเตอร์อันเป็นเอกลักษณ์ของศิลปินแต่คนมานำเสนอว่า

“ตัวคาแรกเตอร์แต่ละตัว เปรียบเป็นตัวแทนของคนแต่ละประเทศที่เคยมาเดินเที่ยวย่านราชประสงค์”

ผลงานของศิลปินทั้งหมด ณ ๑๑ จุด ทั่วย่านราชประสงค์ จะจัดแสดงให้ชมตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๘

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมเชิญชวนชาวไทยและต่างประเทศ ร่วมวาดภาพและเขียนข้อความแทนความรักและส่งต่อกำลังใจให้แก่กัน บนอินสตอลเลชันอาร์ตรูปตัวอักษร STRONGER TOGETHER ขนาดสูง ๑.๖ เมตรและยาว ๒๕ เมตร บริเวณด้านหน้าศูนย์การค้าอัมรินทร์ พลาซ่า พร้อมถ่ายภาพคู่ผลงานศิลปะ และใส่ #strongertogetherbkk แชร์ไปยัง facebook หรือ Instagram

เพื่อแสดงถึงความเข้มแข็งและพลังแห่งความสามัคคีของคนไทย ที่พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาย่านราชประสงค์และประเทศไทย

“เป็นโอกาสดีที่เราจะมาร่วมกันแสดงพลัง และมีศิลปะที่น่ารัก ๆ ให้มาชมและถ่ายภาพกัน แล้วแชร์ให้ต่างชาติได้เห็นว่าเรา STRONGER TOGETHER” ชาย ศรีวิกรม์ นายกสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ กล่าวทิ้งท้าย















































































ภาพและข้อมูลจาก
manager.co.th














“นามธรรม: สัจจะแห่งศิลปะ” อิทธิพล ตั้งโฉลก



วันที่ : ๑๘ สิงหาคม - ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
สถานที่: หอศิลป์กรุงเทพฯ ห้องนิทรรศการหลัก ชั้น ๘
จัดโดย ฝ่ายนิทรรศการ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
สนับสนุนโดย บริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และ มูลนิธิเอสซีจี
พิธีเปิด ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ เวลา ๑๘.oo น. ณ ห้องอเนกประสงค์ ชั้น ๑

ผลงานศิลปะเกือบ ๑oo ชิ้น ทั้งเก่า ใหม่และที่ยังไม่เคยจัดแสดงมาก่อน จากทุกช่วงเวลากว่า ๕o ปี ในชีวิตการทำงานของ "อิทธิพล ตั้งโฉลก" เป็นหนึ่งในศิลปินร่วมสมัยของไทยจำนวนน้อยที่คงยืนหยัดบนเส้นทางการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะนามธรรมอย่างมั่นคงและมั่นใจ

นิทรรศการครั้งนี้รวบรวมผลงานของอิทธิพล ตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรีและปริญญาโท ผลงานจากนิทรรศการเดี่ยวครั้งแรก “Recent Paintings” (๒๕๓๔), “สีสันแห่งแสง” (๒๕๔๓), “วัตถุแห่งจิต” (๒๕๔๕), “จิตวิญญาณบรรพบท” (๒๕๔๙), “ปัญญาญาณและปรีชาญาณ” (๒๕๕๑), “อักขระ” (๒๕๕๖), รวมถึงผลงานชุดล่าสุดที่จะนำมาแสดงเป็นครั้งแรก “การเดินทางของเส้นพากินสัน” (๒๕๕๗-๒๕๕๘)

เส้นทางของการทำงานสร้างสรรค์ของอิทธิพลเริ่มต้นที่การฝึกฝนเชิงเทคนิคภาพพิมพ์ตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรีที่คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งช่วงเวลานั้นยังไม่ได้รู้จักกับศิลปะนามธรรมอย่างเป็นทางการ เทคนิคหลักของภาพพิมพ์ที่อิทธิพลศึกษาได้แก่ ภาพพิมพ์ตะแกรงไหม (Silkscreen) ภาพพิมพ์ร่องลึก (Etching) ภาพพิมพ์แกะไม้ (Woodcut) และภาพพิมพ์หิน (Lithograph) เทคนิคทั้งสี่นำมาสู่แนวเรื่องของการทำงานที่แตกต่างกัน ได้แก่ รูปทรงอินทรีย์ของเมล็ดพืช ต้นไม้ในเมือง ผนังและกำแพง และรูปทรงมนุษย์กับพื้นที่ว่าง อิทธิพลใช้วิธีการค่อย ๆ ตัดทอนรูปทรงเหมือนจริงจนกลายไปสู่ความเป็นนามธรรม จากเมล็ดพืชที่สามารถรับรู้ได้จนกลายเป็นรูปทรงเรขาคณิต จากพุ่มไม้ใหญ่จนเป็นเส้นอิสระ และจากรูปทรงของมนุษย์จนกลายเป็นกลุ่มเศษเสี้ยวของกลุ่มรูปร่างเรขาคณิต เป็นต้น และในเวลาต่อมาเทคนิคพื้นฐานก็นำไปสู่การค้นคว้าหาเทคนิคใหม่ ๆ เฉพาะตนซึ่งได้กลายเป็นเนื้อหาของงานด้วย

หลังจากจบการศึกษาในระดับปริญญาตรี อิทธิพลได้เดินทางไปศึกษาปริญญาโทต่อที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน (University of Washington) ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้รู้จักศิลปะนามธรรมอย่างเป็นทางการ อิทธิพลพบว่า แนวทางปฏิบัติเดิมของตนนั้นสามารถเชื่อมต่อกับปรัชญาของศิลปะนามธรรมได้อย่างลงตัว การเรียน การชมผลงานในแกลเลอรี่และพิพิธภัณฑ์ รวมถึงการเดินทางท่องเที่ยวในสหรัฐอเมริกาได้เปิดประสบการณ์และทัศนคติซึ่งส่งผลต่อการทำงานศิลปะในเวลาต่อมาเมื่อกลับถึงเมืองไทย

อิทธิพลได้พัฒนาการสร้างสรรค์จิตรกรรมในแนวทางนามธรรมให้มีลักษณะเป็นตะวันออกมากขึ้น จนเป็นที่ยอมรับในวงการศิลปะร่วมสมัยของประเทศไทยและนานาชาติ ดังเห็นได้จากการได้รับรางวัลการประกวดศิลปกรรมในต่างประเทศและการประกวดศิลปกรรมแห่งชาติอยู่หลายครั้ง จนได้รับเกียรติให้เป็นศิลปินชั้นเยี่ยมในปีพ.ศ. ๒๕๒๒

หลังจากทศวรรษ ๒๕๒o ศิลปะนามธรรมในประเทศไทยเริ่มเสื่อมความนิยมลง ศิลปินในรุ่นเดียวกันก็เริ่มขยับขยายไปสร้างสรรค์ผลงานในรูปแบบอื่น ๆ และแม้ว่าในเวลานั้นจะมีเพื่อนในวงการแนะนำให้เปลี่ยนแนวทางบ้าง แต่อิทธิพลกล่าวตอบอย่างมั่นใจว่า “ศิลปะนามธรรมได้ผลสำหรับผม”

การยืนหยัดบนเส้นทางสายนี้อย่างสงบนิ่ง ต่อเนื่อง และค่อยเป็นค่อยไปได้ทำให้อิทธิพลค้นพบ “สัจจะ” หรือความจริงของศิลปะในหลากหลายมิติ ตั้งแต่ความจริงของตัววัตถุจิตรกรรม ความจริงของภาษาภาพ ความจริงของความสัมพันธ์ระหว่างศิลปินและวัตถุจิตรกรรม ความจริงของจักรวาลที่ประกอบไปด้วยคู่ตรงกันข้าม ไม่ว่าจะเป็นเก่ากับใหม่ แสงกับเงา รูปทรงกับพื้นที่ว่าง อารมณ์กับเหตุผล ปัญญาญาณและปรีชาญาณ เป็นต้น

ในที่สุด การสร้างสรรค์และนำเสนอผลงานศิลปะในแนวทางที่ศิลปินเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่องนั้น ทำให้สาธารณชนประจักษ์ถึงตัวตนและความมั่นคงของอิทธิพลที่มีต่อศิลปะนามธรรม ความเรียบง่ายของศิลปะนามธรรมมีคุณค่า เสมือนกุญแจที่ไขประตูบานใหญ่ที่ศิลปินกล่าวไว้ว่า "นามธรรมเป็นเรื่องของใจ และ "ใจ" คือ กลไกสำคัญที่ทำให้ศิลปินค้นพบ “สัจจะ” ของศิลปะอย่างแท้จริง



ภาพและข้อมูลจาก
bacc.or.th














นิทรรศการศิลปะ "รวมกันเฉพาะกิจแห่งเป็ดเทศไทย"



นิทรรศการศิลปะ "รวมกันเฉพาะกิจแห่งเป็ดเทศไทย" ผลงานโดย กลุ่ม Re-Ducks. รัก D และแขกรับเชิญพิเศษมากมาย จัดแสดงระหว่างวันที่ ๑๕ - ๓o กันยายน ๒๕๕๘ และจะมีพิธีเปิดในวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๘ ณ หอศิลป์ต้นตาล



ภาพและข้อมูลจาก
contestwar.com














“อาร์ตโค้ด” ไขความลับงานศิลปะ



โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ ขอเชิญชมงานแสดงนิทรรศการ “อาร์ตโค้ด” ไขความลับงานศิลปะ โดย ชลสินธุ์ ช่อสกุล ณ บริเวณสกายล็อบบี้ ชั้น ๒๓ ของโรงแรมฯ ตั้งแต่ ตั้งแต่วันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๘ จนถึงวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๙ ระหว่างเวลา ๑o.oo น. ถึง ๒o.oo น. รายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายงานศิลปะร่วมสบทบทุนแก่ “มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี (พอ.สว.)” เพื่อนำไปบำเพ็ญสาธารณประโยชน์แก่ส่วนรวมตามความประสงค์ของทางมูลนิธิฯ

นิทรรศการฯ ครั้งนี้ เสนอผลงานในรูปแบบกึ่งนามธรรม ไปจนถึงนามธรรมที่แปลกตาออกไป ซึ่งผลงานบางชิ้นไม่เคยนำออกแสดงที่ใดมาก่อน และบางชิ้นยังจัดทำขึ้นใหม่เพื่อการแสดงในครั้งนี้โดยเฉพาะ มีทั้งผลงาน ๒ มิติ ๓ มิติ และสื่อประสม แฝงไปด้วยเสน่ห์ความงดงามจากรูปทรง เทคนิค พื้นผิว สีสัน จังหวะการจัดวาง และรายละเอียดองค์ประกอบอื่น ๆ ซึ่งศิลปะในแนวนี้ถือเป็น “ศิลปะที่แท้จริง”

ผู้สนใจสามารถเข้าชมนิทรรศการ และเลือกซื้อผลงานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่โทร. o๒-๑oo-๑๒๓๔ ต่อ ๖๗๕๓-๕๖







ภาพและข้อมูลจาก
matichon.co.th














Visual Showcase



นิทรรศการ Visual Showcase 2015 : 0.506 ผลงานโดยนักศึกษานักศึกษาภาควิชาทัศนศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยากรุงเทพ จัดแสดงระหว่างวันที่ ๑๑ - ๒๖ กันยายน ๒๕๕๘ ณ หอศิลปมหาวิทยาลัยกรุงเทพ วิทยาเขตรังสิต

Visual Showcase 2015
0.506 Exhibition
๑๑ - ๒๖ กันยายน ๒๕๕๘
ณ หอศิลปมหาวิทยากรุงเทพ วิทยาเขตรังสิต
สามารถเข้าชมได้ทุกวันจันทร์ - เสาร์ ตั้งแต่เวลา ๑o.oo - ๑๖.๓o น.
*หยุดวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์

เสวนานิทรรศการ: วันเสาร์ที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๘ เวลา ๑๓.oo - ๑๖.oo น.
โดย คุณสันติ ลอรัชวี (Practical Design Studio) และ คุณใจทิพย์ ใจดี (ศิลปิน)

บ่อเกิดเล็ก ๆ ของแรงสั่นสะเทือนจากการกระพือปีกของผีเสื้ออาจส่งผลกระทบที่ทำให้เกิดการ แผ่กระจายออกสู่วงกว้าง สร้างความเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงที่เราไม่อาจทำนายได้ (ดังทฤษฎี Butterfly Effect) หรืออาจไม่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เลย นอกเสียจากการพยุงของลมใต้ปีกให้ผีเสื้อนั้นโบยบินขึ้นสู่อากาศ

หากจะกล่าวโดย (ด่วน) สรุป สิ่งที่เล็กน้อยที่สุดของการกระพือ ก็คือการ “ขยับ” อาจจะมากหรือน้อย อาจมุ่งสู่ทิศทางข้างหน้า ทางซ้าย ทางขวา ทางทแยงหรือแม้แต่ถอยหลัง แต่ที่แน่นอนก็คือ มันเป็นการเคลื่อนที่ออกจากจุดเดิม

ผลงานศิลปะในนิทรรศการ 0.506 ที่จัดขึ้นโดยนักศึกษาภาควิชาทัศนศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ในครั้งนี้ คือความพยายามสะท้อนให้เห็นถึงแรงสั่นสะเทือน (เล็ก ๆ) ที่อาจส่งผลกระทบออกสู่ผู้ชม พื้นที่ หรือแม้แต่ตัวนักศึกษาผู้สร้างผลงานเอง โดยการทำให้ (ถูก) เห็น ทำให้เกิดการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง ผ่านการบริหารจัดการผลงานของตนเองและการจัดการนิทรรศการศิลปะร่วมกัน เพื่อเป็นการขยับทั้งด้านทักษะ ทัศนคติและประสบการณ์

...และเหนือสิ่งอื่นใด นับตั้งแต่วันที่นิทรรศการได้เปิดแสดง ต่อสาธารณะแรงสั่นสะเทือนอันน้อยนิดดังว่า ได้แพร่กระจายออกไปแล้ว...



ภาพและข้อมูลจาก
contestwar.com




บล็อกนี้อยู่ในหมวดศิลปะ



บีจีจากคุณเนยสีฟ้า ไลน์จากคุณญามี่ กรอบจากคุณ Hawaii_Havaii

Free TextEditor





Create Date : 19 กันยายน 2558
Last Update : 19 กันยายน 2558 22:47:32 น. 0 comments
Counter : 3368 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

haiku
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 161 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add haiku's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.