เป็นหมอ แต่มีค่าน้อยกว่าหมากับคนใช้บ้านคนรวยที่รถทหารต้องเข้าไปรับ
พี่ที่ออฟฟิศไปตรวจร่างกายแล้วหมอปรับทุกข์ให้ฟัง เพราะว่าบ้านของคุณหมอน้ำท่วม หมู่บ้านคุณหมอราคาเป็น 10 ล้าน เงินทั้งชีวิตของคุณหมอเลย ตอนที่คุยกันน้ำท่วมเท่าหน้าอกได้
คุณหมอก็แนะนำให้เตรียมแพ็คของใส่กระเป๋าไว้เลย พวกของจำเป็นต่าง ๆ รวมถึงพวกยาด้วย เพราะขนาดหมอเอาของออกมา คุณหมอยังลืมคอนแท็คเลนส์กับยกทรงเลย เตรียมให้พร้อมไว้ทุกอย่าง น้ำไม่ท่วมก็ไม่เสียหลาย
แล้วที่คุณหมอเจ็บใจกว่านั้นคือ ตอนเดินลอยคอ ออกมาจากหมู่บ้านได้ครึ่งทาง เห็นรถ GMC ของทหารผ่านเข้ามา คุณหมอก็โบกขอขึ้นไปด้วย เค้าไม่รับ แล้วบอกว่า มีคนจ้างให้ไปรับหมากับคนใช้ที่บ้านหลังสุดท้ายของหมู่บ้านก่อน
คุณคิดดูสิ เรียนจบเป็นถึงหมอ ทำงานมาเป็นสิบ ๆ ปี แต่มีค่าน้อยกว่าหมากับคนใช้บ้านนั้น
แต่ก็เข้าใจนะว่าเค้าก็คงไม่รู้หรอกว่าคุณหมอเป็นหมอ ณ จุดนั้น แต่ฟังแล้วมันก็ขำปนหดหู่จริง ๆ
วันหลังคงต้องโบกรถ GMC ด้วยแบงค์ม่วง ๆ หรือเทา ๆ กันแล้วล่ะมั้งถึงจะมีสิทธิ์ขึ้นและได้รับความช่วยเหลือ
แต่เห็นรูปนี้แล้วเอาใจไปเลย
ตอนนี้ ทหารคนเดียว มีค่ากว่ารัฐบาลทั้งฝูง
เฮ้อ
เครียด วันนี้ยิ่งตามข่าวทั้งวันทั้งทีวีและ facebook ก็ยิ่งเครียด อ.ศศินบอกว่าเราจะท่วมกันเป็นเดือน ๆ ให้ระวังตัวเองอย่าให้น้ำกัดเท้า ทำส้วมส่วนตัวเอาไว้ ฯลฯ
นี่เราจะท่วมกันเป็นเดือน ๆ กันจริง ๆ เหรอเนี่ย โอย ยิ่งคิดยิ่งเครียด
เกิดก็เกิดกรุเทพ ไม่เคยมีบ้านต่างจังหวัดให้กลับอย่างใครเค้า เห็นป๊าชวนม้าไปเช่าหอพักแถวชลบุรีอยู่ก่อนที่น้ำจะท่วมบ้าน เพราะที่นั่นคงไม่ท่วม แล้วอย่ารอให้น้ำมันมาท่วมบ้านก่อนแล้วค่อยออก เพราะตอนนี้มันก็ออกไม่ทันแล้ว เดินทางไปก็ลำบากแล้วเพราะน้ำมันเต็มถนน ให้รีบไปตั้งแต่ตอนนี้
ถ้าเรากะน้องทำงานอยู่ ไว้รอน้ำท่วมบ้านก่อนค่อยลางานแล้วตามไปก็ได้ แต่หม่าม้ายังไม่ยอมไป บอกว่าอย่างมากก็คงแค่เข่าล่ะม้าง
โอย คนที่ไม่เคย คงจะเจ็บที่สุดล่ะงานนี้ถ้าน้ำมันจะมิดหัว
นี่ก็พยายามเก็บของสำคัญขึ้นชั้น 2 หมดแล้วนะ ทำให้เราปลงกับของได้เยอะเลย เพราะรื้อ ๆ ออกมาเนี่ย ขยะเยอะมาก เก็บมาได้ไงเป็น 10 ปี
แต่ขยะทางใจก็มีนะ พวกการ์ดแต่งงานและของชำร่วยทั้งหลาย 1 กองใหญ่ เราไม่เคยทิ้งเลย แต่เพื่อนก็บอกว่าเค้าก็ทิ้งกันทั้งนั้นแหละหลังจากกลับมาจากงาน
ไหนจะพวกของฝากที่เพื่อน ๆ ที่ทำงานเก่า-ใหม่ทั้งหลายไปต่างประเทศแล้วซื้อมาฝาก ใช้ได้มั่ง ไม่ได้มั่งก็เก็บ ๆ เอาไว้จนฝุ่นจับ
แต่ที่ต้องเก็บเป็นอย่างแรก ๆ เลยคือ
กองอัลบั้มรูปที่พ่อแม่เห่อด้วยความเป็นลูกคนแรกยันจบปริญญารวมแล้วเกือบร้อยอัลบั้ม ที่ถึงเสียหายไปแล้วก็หากลับมาไม่ได้
รวมถึงกองหนังสืออันมากมายมหาศาล ก็ทำให้ตัดใจได้เยอะ เลือกแบกหนังสือไม่ถึงร้อยเล่มขึ้นชั้น 2 ที่เหลือก็ทำใจแล้วกัน
นี่เราไม่ได้สนพวกรถยนต์ ทีวี ตู้เย็น เครื่องซักผ้าเลยนะเนี่ย ก็ทำใจว่าถ้ามันจมไป เดี๋ยวก็ค่อย ๆ เก็บเงินซื้อใหม่เอาแล้วกัน รถยนต์ก็เก่าแก่มากแล้ว 10 กว่าปีแล้ว ก็ทำใจ เพราะป๊าก็ขับอยู่คนเดียว เรากับน้องชายก็ขับกันปีละไม่กี่ครั้ง
แล้วไม่อยากจะบอกว่าเรากลัวการขับรถด้วย เพราะเคยขับชนมอร์ไซด์ ถ้าไม่วิกฤตและจำเป็นสถานการณ์บังคับจริง ๆ เราไม่ขับแน่นอน นอกจากหม่าม้าอยากไปที่ไหนแล้วป๊าไม่ยอมไปเราก็ค่อยขับ แต่หม่าม้าก็จะรู้สึกได้ทันทีว่าเราขับไป กลัวไป ซึ่งมันก็เป็นความจริง
เออ ไม่อยากจะบอกว่า ปีนี้ จะหมดปีแล้ว เรายังไม่เคยขับรถเลย แต่ก็ดีแล้ว
ถ้าเราไปไหน หรือไปทำงาน เราขอเลือกที่จะเลือกที่จะขี่จักรยานมาจอดหน้าหมู่บ้าน ต่อมอร์ไซด์ รถเมล์ไปต่อรถไฟฟ้าบนดินแล้วก็ต่อใต้ดินแล้วก็เดินไปออฟฟิศจะดีกว่า หลายต่อแต่สบายใจและอุ่นใจกว่ากันเยอะ
เออ พูดถึงน้องชาย แบบว่าเซ็งมาก บอกให้จัดของ ๆ มัน่ขึ้นชั้นสอง แล้วก็เก็บของตรงที่มันวางกระเป๋าเวลากลับมาจากทำงาน ที่มันวางแหมะ ๆ รก เกะกะโต๊ะไปหมดให้มันเข้าที่ เข้าลิ้นชักให้เรียบร้อย มันก็ไม่ยอมทำ
แต่มันเสือกจิตอาสาไปช่วยเค้าแพ็คถุงยังชีพซะหลายวัน แต่บ้านตัวเองเสือกไม่เก็บ ไม่กวาด ไม่ทำห่าอะไร ปล่อยมันรก เละเทะเต็มโต๊ะแบบนั้นแหละ ลิ้นชักก็มี ไม่ยอมใส่ลงไป วางแม่งเต็มโต๊ะ
คาดว่าคงมีไอ้พวกผู้ชายแบบนี้ในครอบครัวพวกเราอีกเยอะ
เพราะเอาไปเล่าให้เพื่อนผู้หญิงที่ไหนฟัง มันก็จะบอกเหมือนกันหมดว่าพี่ชายหรือน้องชายเค้าก็เป็นแบบนี้แหละ มีอารมณ์ติสแตก ขี้หงุดหงิด ขี้โมโห ขี้รำคาญ เห็นแก่ตัว รักสบาย เอาแต่ใจ สกปรก ซกมกกันทั้งนั้น จนพวกเราไม่กล้าจะแนะนำพี่ชายหรือน้องชายพวกเราให้กับเพื่อน ๆ ที่ยังโสดกันเลย เพราะกลัวว่าเลิกกันแล้ว เราอาจจะมองหน้ากันไม่ติด
ได้แต่คิดสงสารคนที่จะมาเป็นแฟนหรือแต่งงานกับพวกมันซะจริง ๆ ถ้าไม่เป็นกรรมของผู้หญิงที่จะมาเป็นเมียมัน ก็คงเป็นผลบุญของผู้ชายถ้าสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมไปได้ (นานแค่ไหนวะ?)
เออ พูดถึงเรื่องนี้ มีเรื่องเม้าอีกเรื่องนึง คือเราก็เพิ่งรู้ว่าเพื่อนเราเพิ่งเลิกกับแฟนที่คบกันประมาณครึ่งปี แล้วแฟนเค้าก็อายุเกือบ 40 แล้ว ๆ ไม่เคยแต่งงาน
ตอนเลิกกัน เพื่อนเราก็บอกผู้ชายคนนั้นเลยนะ ว่าชั้นเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณถึงอยู่มาได้ถึงอายุปูนนี้
สาเหตุหลัก ๆ คือไอ้ผู้ชายมันเป็นคนเห็นแก่ตัวมาก เห็นแก่ตัวสุด ๆ แล้งน้ำใจสุด ๆ ไม่เฉพาะกับแฟนตัวเองนะ กับคนอื่นด้วย แต่มันก็ดันกังวลสุด ๆ ว่าคนอื่นจะพูดถึงมันว่ายังไง แต่ไม่คิดจะเปลี่ยนนิสัยของตัวเอง
ฟังแบบนี้ได้แต่ฮา แบบนี้คงต้องเจอกับผู้หญิงที่อยากแต่งงานสุด ๆ อายุรุ่นราวคราวเดียวกันซะล่ะม้างที่เค้าจะทนความเห็นแก่ตัวของเค้าได้
อ้าว เริ่มต้นด้วยน้ำท่วม แต่ไหงลงท้ายด้วยการพูดความจริงของผู้ชายล่ะเนี่ย
หรือว่าไม่จริง?
Create Date : 22 ตุลาคม 2554 |
|
4 comments |
Last Update : 22 ตุลาคม 2554 20:49:41 น. |
Counter : 2361 Pageviews. |
|
|
|