โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ Urinary tract infection (UTI)
โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบเป็นโรคที่ฮิตติดอันดับ พบบ่อยในชีวิตประจำวัน พบผู้หญิง 1 ใน 5 เคยเป็นโรคนี้ ส่วนใหญ่ไม่เป็นแค่ครั้งเดียว ร้อยละ 80 ของคนที่เคยเป็นมักจะกลับเป็นซ้ำอีก โรคนี้คุณผู้หญิงเป็นมากกว่าคุณผู้ชาย 2 เท่า
โรคนี้ดูเหมือนไม่ร้ายแรง แต่โรคนี้ทั้งร้ายแรง ทั้งเรื้อรัง ทั้งมีผลกระทบต่อสุขภาพส่วนตัว ในคนที่ไม่ตั้งครรภ์นำไปสู่การเป็นหมันและเสียชีวิตได้ แต่หากตั้งครรภ์อาจจะมีอันตรายต่อมารดาและบุตรได้
ความน่ากลัวของโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ
ข้อมูลจากองค์การสุขภาพและอาหารแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา (National Health and Nutrition of America) พบผู้ใหญ่อายุ 20-24 ปี ร้อยละ 34 ให้ประวัติว่าตนเองเคยเป็นโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ เป็นเพศชายร้อยละ 13.9 เพศหญิงร้อยละ 53.5
ในประเทศสหรัฐอเมริกาต้องรับการรักษาจากแพทย์ปีละ 10 ล้านคน พบได้มากในเด็กอายุ 2 ขวบ ซึ่งเป็นวัยที่กำลังหัดขับถ่าย ในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ หากเป็นโรคนี้ต้องรีบตรวจรักษาและป้องกันการเกิดซ้ำ เพราะอาจจะมีผลต่อการทำงานของไต ทำให้ไตวายตั้งแต่ยังเป็นเด็กได้
หากเป็นในผู้ชายและเด็ก ส่วนใหญ่เกิดจากโรคที่แอบซ่อนอยู่ เช่น นิ่ว โรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ โรคเกี่ยวกับต่อมลูกหมาก หรือท่อทางเดินปัสสาวะตีบ มีการอุดตันอุดกั้น มีถุงกระเปาะเชื้อโรคอยู่ ฯลฯ ดังนั้นเมื่อเด็กและผู้ชายมีอาการของโรคนี้ ต้องหาสาเหตุนำของโรค โดยตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจเอ็กซเรย์ส่วนของไต (KUB) ฉีดสีดูการทำงานของไต ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ รูปัสสาวะ (IVP) อัลตร้าซาวนด์ เอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT-scan) หรือเอ็กซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
หากเป็นในคนตั้งครรภ์ อาการมักจะรุนแรง การอักเสบลุกลามไปที่ไต มีไข้สูง ปวดหลัง ปวดเมื่อยตัว ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์ เช่น แท้งบุตร คลอดก่อนกำหนด มารดาติดเชื้อในกระแสเลือด ทารกติดเชื้อ ควรได้รับการรักษาในโรงพยาบาล
โรคที่เกิดจากเชื้อโรคที่รุนแรง เช่น หนองในแท้ หนองในเทียม คลาไมเดีย (Chlamydia) อาจลุกลามเข้าไปทำลายอวัยวะภายในของผู้หญิง เช่น โพรงมดลูก ท่อนำไข่ รังไข่ ฯลฯ ส่วนของผู้ชาย เช่น ลูกอัณฑะ ต่อมลูกหมาก ฯลฯ ทำให้เป็นหมันได้
โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบที่เกิดในคนที่ภูมิต้านทานต่ำ ไม่แข็งแรง เช่นเป็นโรคเบาหวาน โรคภูมิแพ้ รวมทั้งโรค HIV เชื้ออาจเข้าไปในกระแสเลือดหรือลุกลามไปตามอวัยวะใกล้เคียง เกิดเลือดเป็นพิษ ทำให้เสียชีวิตได้
โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบคืออะไร
คือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อภายในท่อทางเดินปัสสาวะ อาจเป็นที่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งหรือหลายส่วนร่วมกัน ได้แก่
1. ติดเชื้อที่รูเปิดของปัสสาวะ
2. ติดเชื้อที่กระเพาะปัสสาวะ
3. ติดเชื้อที่ท่อไต
4. ติดเชื้อที่ไต
การติดเชื่อส่วนใหญ่เป็นเชื้อแบคทีเรียตัวร้าย ส่วนน้อยเป็นการติดเชื้อไวรัส เชื้อรา หรือเชื้อวัณโรค
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ
สุขอนามัยไม่ดี
ดื่มน้ำน้อย
กลั้นปัสสาวะ
ปัสสาวะและทำความสะอาดหลังปัสสาวะไม่ถูกวิธี
เป็นคนชอบนั่งอยู่กับที่
การมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกๆ
คู่ครองมีเชื้อโรค
ท้องผูกหรือท้องเสีย
หญิงชราหรือเด็ก เพราะสุขภาพของหญิงชราหรือเด็กที่อยู่ในสถานสงเคราะห์อาจเกี่ยวข้องกับความสะอาดและภูมิต้านทานโรคที่น้อยลง
ผู้หญิงวัยทอง วัยทองเป็นวัยขาดฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจน เนื้อเยื่อของระบบทางเดินปัสสาวะจะหดและห่อเหี่ยว ทำให้ภูมิต้านทานเชื้อโรคลดลง
การคาสายสวนปัสสาวะ
โรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ
เป็นโรคอัมพาต
เป็นโรคเบาหวาน
รับประทานยากดภูมิคุ้มกันของร่างกาย
ได้รับรังสีบริเวณกระเพาะปัสสาวะ
รูปัสสาวะตีบ
ตั้งครรภ์
การคุมกำเนิดโดยการสวมห่วงอนามัย ใช้หมวกหรือใช้แผ่นอุดกั้นปากมดลูก
โรคต่อมลูกหมากโต
อ้วนมากไปหรือผอมมากไป
พันธุกรรม
อาการของโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ
หากเป็นการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง มักจะเกิดอาการผิดปกติตามข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายๆ ข้อ ดังนี้
ปัสสาวะบ่อย
กลั้นปัสสาวะไม่ได้
ปวดแสบลำกล้องหรือรูปัสสาวะเวลาปัสสาวะ
ปัสสาวะสุดแล้วปวดหรือเสียว
ปวดท้องน้อย มักมีอาการเมื่อเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
เจ็บปวดเมื่อมีเพศสัมพันธ์
น้ำปัสสาวะสีขุ่น
น้ำปัสสาวะมีกลิ่นเหม็น
มีอาการไม่จำเพาะเจาะจง ซึ่งมักจะเป็นในเด็กหรือทารก เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ไม่ดูดนม ไม่กินอาหาร หงุดหงิด งอแง ร้องกวน ตัวเขียว มือ-เท้าเขียว ท้องผูก ท้องเสีย
มีอาการไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวจากการติดเชื้อ
ไม่มีอาการใดเลย
หากเป็นการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะส่วนบน มักจะเกิดอาการรุนแรงตามข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายๆ ข้อ ดังนี้
มีไข้สูงหนาวสั่้น
เจ็บปวดบริเวณสีข้าง ข้างใดข้างหนึ่งหรือสองข้าง ร้าวไปด้านหลัง
อ่อนเพลีย รับประทานน้ำและอาหารไม่ได้
น้ำหนักลดอย่างรวดเร็วจากความเจ็บป่วย ไข้สูง
คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร กินข้าว--ดื่มน้ำไม่ได้
ความดันโลหิตตก
ความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง ซึม เบลอ ไม่พูดไม่จา ฯลฯ
หากเป็นการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะที่ลุกลามไปยังอวัยวะใกล้เคียง ซึ่งมักเกิดในเพศชาย จะมีอาการผิดปกติดังนี้
1. อาการของต่อมลูกหมากติดเชื้อแบคทีเรียอย่างเฉียบพลัน จะมีอาการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะส่วนบน ที่เพิ่มเติมคือปวดท้องน้อย ปวดร้าวมาทางทวารหนัก ปัสสาวะขัดอย่างรุนแรงจนถึงกับปัสสาวะไม่ออก
2. อาการของลูกอัณฑะและท่อน้ำอสุจิอักเสบอย่างเฉียบพลัน ลูกอัณฑะบวมแดง กดเจ็บ ภาวะนี้หากเป็นที่ลูกอัณฑะทั้งสองข้าง เมื่อหายแล้วอาจทำให้เป็นหมันได้
3. เนื้อบริเวณอวัยวะเพศชายตาย จากการลุกลามของการติดเชื้อซึ่งมักจะมีเชื้อร้ายแรงหลายชนิด ทั้งชนิดที่ต้องการออกซิเจนและชนิดที่ไม่ต้องการออกซิเจน เชื้อรา ฯลฯ
4. ภาวะนี้มักจะเป็นกับคนไข้ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะที่มีร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว
การรักษา
การดูแลรักษาตนเองเบื้องต้น
1. ธรรมชาติบำบัด
- พักผ่อนให้มาก
- เว้นการกระทบกระเทือน ในช่วงที่เป็นต้องไม่ขี่มอเตอร์ไซด์ ยกของหนัก มีเพศสัมพันธ์ เดินทางไกล หรือ ออกกำลังกายฯ
- ดื่มน้ำมากๆ วันละเกิน 2 ลิตร
- ไม่กลั้นปัสสาวะ
- รับประทานสมุนไพร ได้แก่ ผลไม้จำพวกเบอร์รี่ กระเจี๊ยบ หญ้าหนวดแมว ส่วนใหญ่อยู่ในรูปของชาชง
2. ใช้ยารักษาตามอาการ เช่น ยาแก้ปวดท้อง ยาแก้ปัสสาวะบ่อย ยาแก้ปวด ฯลฯ
3. ใช้ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน ที่ครอบคลุมเชื้อที่มักเป็นสาเหตุ เช่น Ampicillin, Amoxycillin, TMP-SMX, Norfloxacin หรือพวก Fluoroquinolones อื่นๆ
การรักษาโดยแพทย์
กรณีติดเชื้อทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง คนไข้ที่ไม่แข็งแรง ไม่สามารถรับประทานน้ำและอาหารได้ ต้องไปพบแพทย์
1. รับไว้รักษา ให้นอนพักในโรงพยาบาล
2. ให้น้ำเกลือเพื่อป้องกันการขาดน้ำ
3. ให้ยาปฏิชีวนะทางกระแสเลือดจนกว่าจะรับประทานได้หรือมีอาการดีขึ้น
กรณีติดเชื้อทางเดินปัสสาวะส่วนบน ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ ไม่ควรรักษาตนเอง เพราะอาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้
1. รับไว้รักษา ให้นอนพักในโรงพยาบาล
2. ให้น้ำเกลือ
3. ให้ยาปฏิชีวนะที่ครอบคลุมเชื้อหลายชนิดทางกระแสเลือด จนกว่าผลการเพาะเชื้อจะออกมา
4. หากเป็นฝีที่ไต กรวยไต หรือฝีเนื้อเยื่อรอบๆ ไต อาจต้องผ่าตัดเจาะฝีออก
5. หากเป็นฝีที่ไต กรวยไต หรือเนื้อเยื่อรอบๆ แต่เนื้อไตถูกทำลายมากอาจต้องตัดไต
รักษาความสะอาดร่างกาย อาบน้ำทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศด้วยสบู่อ่อน
ทำความสะอาดหลังถ่ายอุจจาระทุกครั้งโดยเช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลัง
ดื่มน้ำปริมาณมาก ประมาณวันละ 8-10 แก้ว
ไม่กลั้นปัสสาวะ เพราะปัสสาวะที่ค้างในกระเพาะปัสสาวะเป็นเวลานานเป็นแหล่งเพาะเชื้ออย่างดี
ในผู้ที่มีแนวโน้มเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อยๆ ควรถ่ายปัสสาวะทุกครั้งหลังจากมีเพศสัมพันธ์เพื่อชะล้างเชื้อโรคที่อาจเข้าไปในท่อปัสสาวะออกไป
ทำความสะอาดมือและอวัยวะเพศทุกครั้งทั้งก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์
เปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยขึ้น เพราะเลือดเป็นแหล่งเพาะเชื้อชั้นดี
ใช้ชุดชั้นในที่ทำด้วยผ้าฝ้าย และไม่คับจนเกินไปเพื่อป้องกันความอับชื้น
บล็อคนี้อยู่ในหมวดสุขภาพค่ะ