5 ปีที่ผ่านมา กับความคิดที่เปลี่ยนไป "เราจะไม่มีวันยอมให้จุฬาฯมาเปลี่ยนเรา"
มองกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้วที่ก้าวเข้ามาที่นี่ ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำไมถึง 5 ปีน่ะเหรอ ในเมื่อชาวบ้านเค้าเรียนกัน 4 ปี นั่นก็เพราะ เราเข้ามาเรียนที่นี่ด้วยความขัดแย้งในตัวเอง สาเหตุที่ยอม entrance ก็เพราะเรื่องหน้าตาเป็นสำคัญ อยากทำให้ที่บ้านภูมิใจ อยากให้ญาติๆเห็นว่า เด็กนอกห้องเรียน ผู้มุ่งทำกิจกรรมแหลกลาญ เรียนไปเล่นไปอย่างนี้ ก็เอ็นท์ติดได้เหมือนกัน ใจจริงแล้ว อยากจะไปเรียนเต้นต่อเมืองนอก หยิบ prospectus ของหลายต่อหลายโรงเรียนมาดู ส่งอีเมลล์ไปถามมากมายหลายแห่ง แต่ยังไม่ตัดสินใจ กูจะเอ็นท์ติดให้ดูก่อน บอกตัวเองอย่างนั้น แล้วค่อยคิดว่า จริงๆแล้วอยากทำอะไร มาคิดตอนนี้แล้ว แย่จัง ทำไมเราถึงเห็นแก่ตัวขนาดนั้นนะ
พอสอบเอ็นท์เสร็จ ถึงเวลาคะแนนออก ต้องเลือกว่าจะไปเรียนอะไร เรียนที่ไหน มธ. และศิลปากร คือที่ที่อยากอยู่ อยากเข้า ชอบท่าพระจันทร์ ไม่มีเหตุผลอะไรมาก แต่จุฬาฯใกล้บ้าน เดินทางไม่ลำบาก ตอนนั้นคิดอยู่อย่างเดียว กูคงไม่อยู่นาน อยู่จุฬาฯแล้ว เดินทางไปเรียนบัลเล่ต์ง่ายที่สุด ก็เลยเลือกจุฬาฯ คิดว่าอยู่แป๊บเดียว คงพอทน ไม่รู้นะว่าอะไรเหมือนกัน ที่ทำให้เรามีอคติกับมหาวิทยาลัยที่หลายๆคนอยากเข้า ภาพลักษณ์เด็กจุฬาฯในความคิด มันแสนจะขัดกับสิ่งที่เราเป็น ...หรือคิดว่าเราเป็น.... ห้องเชียร์ก็เข้านะ แต่เข้าไปป่วนพี่ๆ เข้าไปเพื่อแสดงอิทธิฤทธิ์ว่า กูไม่กลัวมึงหรอก แต่เมื่อให้กูทำ กูก็ทำให้ ถือซะว่าสงสาร แต่นั่นแหละ ในที่สุด เราก็เข้ามาอยู่ในคณะที่... ใครหลายคนบอกว่า หรูที่สุดในจุฬาฯแล้ว (โว้ย)
แล้วทำไม 5 ปี ...ไม่หรอก 1 ปี เว้น 1 ปี แล้วกลับมาต่ออีก 3 ปีตะหาก ก็คนมันอยากเต้นนี่นา ผลคือ ได้เรียนปี 1 แค่ปีเดียว แล้วก็เผ่น หนีไปเต้นอยู่ ฮ่องกงได้ 6 เดือน แล้วก็
........หนีกลับบ้าน........
ถามว่าชอบมั้ยที่ไปเรียนที่ฮ่องกง ก็ชอบนะ แต่ความอ่อนแอในจิตใจ ทำให้อยู่ไม่รอด ถึงตอนนี้เสียดายมั้ย ถ้าถาม... ก็เสียดายมาก หลายครั้งที่โพยตีพาย ด่าทอตัวเองที่ตัดสินใจอย่างแสนจะโง่เง่า แต่เมื่อได้กลับไปอ่านสิ่งที่ตัวเองเพียรเขียน เพียรคุยกับตัวเอง ในสมุดบันทึกหมี pooh สีม่วงอ่อน ที่ใช้อยู่ในตอนนั้น ก็นึกย้อนระลึก และเข้าใจความคิดของตัวเอง มันก็สมเหตุสมผลดีในบริบทชีวิตช่วงนั้น อย่าไปเสียใจเลย
ที่ร่ายมาทั้งหมด คือ คำอธิบายว่า ทำไมต้อง 5 ปี นั่นแหละ 5 ปีที่แล้ว ที่ก้าวเข้ามาด้วยความไม่แน่ใจ ไฟฝันมากมาย สาดแสงสว่างอยู่ในหัว จนไม่รู้ว่าจะมุ่งไปตามลำแสงไหนดี
พอกลับมาจากฮ่องกง ก็ต้องเลื่อนรุ่นตัวเองลงมา 1 รุ่น เริ่มเรียนปี 2 ชีวิตนิสิตคณะรัฐศาสตร์เริ่มขึ้นอีกครั้ง แต่ยัง ยังไม่นิ่ง ส่งวิดีโอ audition ไปที่อังกฤษต่อ ภาควิชา Musical Theatre แห่ง London Studio Centre Audition ไปก่อน เพราะว่าอยากเป็นนักเต้น อยากเป็นนักแสดง เพียงแต่ว่า ยังตอบตัวเองไม่ได้แค่นั้นเองว่าเต้นไปเพื่ออะไร สุดท้าย ผลออกมาว่า London Studio Centre รับเรา กันยายน 2005 เราจะได้ไปใช้ชีวิตเป็นนักเรียนอังกฤษแล้ว ตื่นเต้นดีใจ ครูสอนเต้นของเราก็ต่างดีใจกับเราใหญ่
แต่อีกแล้ว ความคิดเดิมเข้ามา เต้นไปเพื่ออะไร ค่ากินอยู่ กับค่าเล่าเรียนแพงหูดับ คือการลงทุนใช่ไหม แล้วมันจะทำให้เรามีชีวิตที่เราจะมีความสุขกับมันจริงๆได้หรือเปล่า ถามว่าเรารักศิลปะสายนี้รึเปล่า ก็คงบอกว่า รักเท่าชีวิต จริงๆแล้ว...รักกว่าชีวิต เพราะก็เคยทำร้ายชีวิตเพื่อมันมาแล้ว แต่พอมองไป เรียนจบแล้ว ทำอะไรล่ะ นึกถึงคำพูดของเพื่อนสนิทชาวฮ่องกงที่ตื่นเต้นยินดีใหญ่ ที่เขา audition เข้าคณะบัลเล่ต์ที่เกาหลีได้ ตอนนั้นเราถามตัวเองว่า ถ้าเป็นเรา เราคงไม่ตื่นเต้นเลย เราไม่ได้อยาก audition เข้าคณะเต้นแบบนั้น ตื่นขึ้นมาเข้า class ตอนเช้า ตอนบ่ายซ้อม เย็นแสดง เป็นแบบนี้เรื่อยไป จนกว่าจะปลดระวาง ไม่ใช่คำตอบของเราเลย เราไม่รู้เลยว่าชีวิตแบบนั้นมันมีประโยชน์อย่างไร เราไม่กล้าลงทุนมากมายขนาดนั้นให้กับอนาคตที่เรายังไม่แน่ใจ
ชีวิตมันเหมือนกับมี 2 ด้าน 2 ขั้วที่ไปด้วยกันไม่ได้ ขั้วหนึ่งเราอยากเต้น อยากแสดง อยากสวยงาม อยากมีคนชื่นชม อยากโด่งดังมีชื่อเสียง อยากเป็น superstar อีกขั้วหนึ่งเราหลีกหนีสังคม หลีกหนีทั้งคำสรรเสริญเยินยอ และคำตำหนิติเตียน เราหลีกหนีมายาอันไม่จีรัง หลีกหนีการแข่งขันและความชิงดีชิงเด่นในวงการ และแล้ว เราก็สละสิทธิ์อันสวยหรูที่จะได้เข้าเรียนที่นั่นเสีย ส่งอีเมลล์ไปขอโทษโรงเรียนนั้น แล้วบอกเขาว่า เรามีปัญหาการเงิน
(คุณเหนื่อยจะอ่านเรื่องที่ไม่ค่อยเกี่ยวกับคุณหรือยัง)
ชีวิตนิสิตคณะรัฐศาสตร์เริ่มคงที่ เริ่มเข้าหาอาจารย์มากขึ้น ขวนขวายทำรายงานเต็มที่ ปี 2 ผ่านไป ไม่ยากเย็นเท่าไหร่ เรียนไป เต้นไป สอนไป มีความสุขดี พอขึ้นปี 3 อาการชักจะเริ่มหนัก ด้วยพายุรายงานที่ราวกับทอร์นาโด พื้นฐานปี 1 ที่ไม่ค่อยแน่น ด้วยการเรียนอย่างลังเลเริ่มแสดงผลตอนนี้ ต้องอ่านหนังสือเยอะมาก search internet ลูกกะตาแทบหลุด เรื่องไปเต้นอะไรไม่ต้องพูดถึง เวลานอนยังไม่มีเลย สุดท้าย....อ้วน!!! ได้แต่บอกตัวเองว่า กูไม่มีวันยอมให้จุฬาฯมาเปลี่ยนกู
ทุลักทุเลผ่านปี 3 มาได้ อย่างไม่มีวันปิดเทอม เพราะปิดเทอมก็ยังคงทำรายงานหัวหกก้นขวิดอยู่ดี ขึ้นมาปี 4 ได้ในที่สุด ความรักความผูกพันกับคณะเริ่มมีมากขึ้น เริ่มมองเห็นความสวยงามของมิตรภาพระหว่างเพื่อนฝูงมากขึ้น เริ่มเข้าใจคำพูดของอาจารย์ และบังเกิดความรักความนับถือขึ้นอย่างมั่นคง มาถึงปี 4 เทอมปลาย ที่ใกล้จะจบอยู่รอมร่อ หมดเวลาเรียน เหลือแต่วันสอบ และรายงานที่ยืดเยื้อไปอีกประมาณ 3 สัปดาห์ แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า ที่เคยคิดว่าจะไม่ยอมให้จุฬาฯ มาเปลี่ยนนั้น วันนี้ ความคิดนั้นกลับเปลี่ยนไปเสียเอง
ถึงวันนี้ เราไม่ได้ทรุดนั่งหน้าเปียโน แล้วเล่นเพลงยูงทองอย่างที่เคยทำตอนปี 1 จุฬาฯก็คงเป็นเพียงแค่ชื่อ เป็นแค่สิ่งที่เรามองและตีความ ความเป็นจุฬาฯคืออะไร มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่สำคัญคือ ในรั้วจุฬาฯ เราเจอใคร และเราได้เรียนรู้อะไร ความเป็นคณะรัฐศาสตร์นั้นไม่สำคัญเท่ากับว่า เราได้พบใครในคณะนี้ ถึงตอนนี้ เรารู้แล้วว่า จุฬาฯ ไม่ใช่สิ ผู้คนที่เราพบเจอในจุฬาฯ ต่างหาก ได้ทำให้เราเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน ซึ่งเราเองก็ยินดีที่ได้เปลี่ยนแปลง เปลี่ยนที่ข้างใน เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนมุมมอง ซึ่งมาช่วยฉายความสว่าง และเห็นทางออก บุคคลเหล่านี้ไม่ได้เป็นเรือจ้าง หากเป็นสะพานเชื่อมต่อ ที่ทำให้เราได้อ่านหนังสือเหล่านี้ ได้พบสถานที่เหล่านี้ องค์กรเหล่านี้ ที่ทำให้เราพอเห็นเส้นทางข้างหน้าว่า เราจะไปทางไหน และจะละลายความคิดของเราทั้ง 2 แพร่งอันแสนจะขัดกันนั้น ให้กลายเป็นหนทางเดียวกันได้อย่างไร
การบอกใครๆว่า เราจบมาจากคณะนี้ ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้นั้น มันไม่น่าภูมิใจเท่ากับบอกว่า ...เราเป็นลูกศิษย์ของใคร
หนูรักอาจารย์วีระ สมบูรณ์ อาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ที่ทำให้หนูรู้ว่า หนูจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร
หนูรักอาจารย์ศุภมิตร ปิติพัฒน์ อาจารย์ที่ปรึกษา ที่ทำให้หนูเชื่อมั่นในเส้นทางที่จะเดินต่อไปในอนาคต
หนูรักอาจารย์ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ผู้ที่เป็นแรงบันดาลใจตั้งแต่วันที่หนูยังไม่รู้จักอาจารย์
อาจารย์ทำให้การเรียนที่นี่เป็นสิ่งที่ล้ำค่าเกินกว่าที่หนูเคยศรัทธา อาจารย์คะหนูสัญญาว่าหนูจะเป็นคนดี และจะไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวังแน่นอนค่ะ
ว่าจะเขียนนิดเดียว ยาวเลย

Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2551 |
|
19 comments |
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2551 14:49:55 น. |
Counter : 1731 Pageviews. |
|
 |
|
บางที โอกาสดีๆก็มาหาตอนที่เราสับสน ไม่พร้อม
เราจึงต้องพร้อมและเติมเต็มสิ่งดีๆทุกวันเพื่อโอกาสดีๆเช่นกัน
ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ