บันทึกจากวันธรรมดาในสิงคโปร์
เกือบหนึ่งทุ่มแล้วเรายังนั่งอยู่ที่ออฟฟิศ วันนี้เกิดอาการคิดถึงบล็อกขึ้นมา เพราะนั่งรื้อบล็อกอยู่เมื่อเช้า เลยมานั่งเงียบๆ เขียนบล็อก
วันนี้ไม่เข้าออฟฟิศกัน เพราะสอนผู้สูงอายุข้างนอก แล้วต่อด้วยไปที่เอสพลานาด แต่เรากลับมาที่ออฟฟิศเพื่อมาเอาไฟล์งานผู้ป่วยความจำเสื่อมกลับบ้านไปพิมพ์ นี่คือเหตุผลที่เรายังอยู่ที่นี่ เราอยากเป็นผู้บำบัด อยากนำสิ่งที่ไร้ประโยชน์ในตัวมันมาทำประโยชน์
มันมาถึงจุดที่เราเรียกการเต้นว่าสิ่งที่ไร้ประโยชน์แล้วหรือ คือคอมพานีนี้รึเปล่าที่มันทำให้เราเปลี่ยนไป หรือว่าเราแค่โตขึ้น เราเริ่มมองโลกแบบที่ผู้ใหญ่มอง แปลว่าความเป็นเด็กในตัวเรามันหายไปแล้วเหรอ ในบล็อกชื่อเดียวกันนี้ไม่ใช่หรือที่เราบันทึกความฝันของเราไว้ แล้วยังในบล็อกอีกอันเล่าที่เปิดไว้สำหรับระบายเรื่องเต้นโดยเฉพาะ ไม่ได้เข้าไปในนั้นเป็นปีแล้ว มันคงไม่สำคัญอีกต่อไป น่าใจหาย หรือน่าดีใจ เราก้าวข้ามผ่านหรือว่าเราแค่เปลี่ยนใจ
การเต้นไม่สำคัญกับเราอีกต่อไป (แน่หรือ) คำถามเดิมนี้เคยถามมาแล้วสี่ห้าปีก่อน (สถานที่ที่นั่งอยู่ก็คือคอมพานีเต้นที่เราออดิชั่นข้ามน้ำข้ามทะเลไม่ใช่เหรอ) มันกลายเป็นคำสกปรกสำหรับเรา มันเป็นเพราะเราหรือเป็นเพราะเจ้านายเรา เมื่อเช้าคนอินเดียมาถามเราตอนเราเล่นโยคะอยู่ที่บิชานพาร์ค มาจากไหน มาทำอะไร เราตอบไม่ค่อยเต็มคำว่า เป็นคนไทย มาเป็นนักเต้น มันเป็นคำที่เราไม่ค่อยอยากใช้ มันให้ความรู้สึกด้านลบ มัน .. นั่นแหละ .. ไร้ประโยชน์
ศิลปะคืออะไรล่ะ เราพยายามจะบอกว่าการเต้นมันคือศิลปะนะ แต่มันก็มาถึงวันนี้จนได้ วันที่เราถามตัวเองว่า แล้วศิลปะคืออะไรล่ะ มีประโยชน์ยังไง จรรโลงใจ จรรโลงโลก .. คือคำที่เราเคยพยายามตอบ แต่ถึงวันที่เรื่องปากท้องเข้ามามีบทบาทสำคัญ หน้าที่การงาน หน้าตา สำคัญไม่แพ้กัน ศิลปะดูเหมือนจะทำให้สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ มันกลายเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร
ถ้าไม่ใช่เพราะงานบำบัด ศิลปะบำบัด เต้นบำบัด เหตุผลเดียวที่เรายังอยากทำงานศิลปะน่าจะเป็นเพราะการเชื่อมโยงอันนั้น เราพยายามทำให้มันเชื่อมโยงรึเปล่า หรือว่ามันเชื่อมโยงโดยตัวมันเอง อะไรที่เราทำแล้วเราใจสงบ อะไรกันที่เราทำแล้ว เราพร้อมจะตายได้ทุกเมื่อ โยคะแว่บเข้ามาเป็นคำตอบ เห็นไหม มันไม่เกี่ยวอะไรกับศิลปะเลย กลับมาสู่ความสับสนแบบเดิมอีกแล้วสินะ คำว่าเต้น ขยายขึ้นเป็นคำว่าศิลปะ การภาวนายังคงอยู่ในสภาวะเดิม นั่นคือ เรายังไม่พร้อม และโยคะเหมือนเป็นสะพานให้เราข้าม แต่เรายังคงติดอยู่กลางสะพาน
ไปๆ มาๆ อยู่ที่นี่มาจะครบสี่ปีแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะงานบำบัดเราคงไม่อยู่ แต่งานบำบัดทำให้เราเหมือนหาตัวเราอีกตัวเจอ ทำศิลปะนั้นให้มีค่า ให้ใช้งานได้ ให้รับใช้เพื่อนมนุษย์ โยคะกับงานบำบัดน่าจะไปด้วยกันได้ เราน่าจะเลิกสับสนได้ เราเลยยังอยู่
เพราะเรารักที่จะเห็นความสุขในแววตาคู่นั้น มันทำให้เราอิ่ม และมันทำให้เราไม่ประมาท เราควรทำใจให้อิ่ม ทุกวัน ทุกเวลา
แต่คำถามที่ว่า แล้วเราจะอยู่ไปถึงเมื่อไหร่ คำถามนี้แหละที่กวนใจยิ่งกว่า ไม่ง่ายเลย
Create Date : 25 มิถุนายน 2558 |
Last Update : 25 มิถุนายน 2558 17:44:33 น. |
|
3 comments
|
Counter : 1048 Pageviews. |
 |
|