Group Blog
 
<<
มกราคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
25 มกราคม 2552
 
All Blogs
 

คิดใหญ่แล้วไปให้ถึง : เป็น "นาย" ให้เป็น



หลายๆคนพูดว่า สิ่งที่ยากที่สุดในการทำธุรกิจ คือการจัดการเรื่องของ "คน"

ดิฉันเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เพราะการจัดการเรื่องคนนั้น เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยประสบการณ์ล้วนๆ
ยิ่งตอนนี้ มี CEO รุ่นหนุ่ม รุ่นสาว มากมาย ที่อาจไม่มีประสบการณ์ทางด้านการจัดการ
เรื่องทรัพยากรมนุษย์ที่ดีพอ ทำให้เรื่องนี้ กลายเป็นจุดอ่อนที่ใครหลายๆคน อยากแก้ไข

มีเพื่อนของดิฉัน คนหนึ่ง มี Strategic Thinking ที่ดีมาก ฉลาด เปรื่องแต่มีปัญหา
ในเรื่องของการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ยิ่งกับลูกน้อง ทีมงานด้วยแล้วไม่มีใครสามารถทำงานกับ
เขาได้นานสักคน ซึ่งตรงนี้นับเป็นเรื่องที่น่าเสียใจมาก เพราะเขาน่าจะไปได้อีกไกล
แต่การที่ไม่มีใครสามารถทำงานกับเขาได้นาน ทำให้การงานของเขามักสะดุดลง

ดิฉันรู้ถึงปัญหานี้ตั้งแต่ตอนที่ยังเรียนหนังสือกันแล้ว แต่ตอนนั้น ปัญหายังไม่หนักเท่ากับ
ตอนที่เขามาทำธุรกิจด้วยตัวเอง ซึ่งคำแนะนำที่ดิฉันให้กับเขาก็คือว่า ครั้งแรกลองเปิดใจ
คุยกับพนักงาน ก่อนว่ามีอะไรที่เขาสามารถแก้ไข ปรับปรุงได้บ้าง หรืออีกทางหนึ่งก็คือ
หาผู้ที่ไว้ใจได้ ทำธุรกิจเป็นหุ้นส่วนกันเลยดีกว่า เพื่ออุดจุดอ่อนและให้หุ้นส่วนจัดการเรื่อง
ของทรัพยากรบุคคลหรือเรื่องการติดต่องานกับบุคคลภายนอกไปเลย

อีกปัญหาหนึ่งที่เจอบ่อยสำหรับ CEO รุ่นหนุ่ม รุ่นสาว คือเรื่องของการควบคุมคน
บางทีเมื่อมีปัญหา คนเป็นนาย ก็ย่อมต้องคุยกับพนักงานด้วยตนเอง
แต่บางทีการว่ากล่าว ตักเตือนก็ดูจะเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสกับผู้ที่ยังไม่มีประสบการณ์
ยิ่งหากพนักงานอายุมากกว่าแล้วก็ยิ่งยากใหญ่

สำหรับคำแนะนำที่มีให้ในเรื่องนี้ก็คือว่า CEO หนุ่มสาวเหล่านั้น ควรลองหา Mentor
หรือผู้คอยดูแลเราในด้านการทำงาน อาจเป็นผู้ที่ทำธุรกิจร่วมกับเราที่มีประสบการณ์ที่เรา
ไว้ใจและรักเราอย่างแท้จริง เพื่อให้คำแนะนำกับเรา หรือคอยตักเตือนเราเมื่อมีปัญหา
เพราะบางที เขาเห็นปัญหาในสิ่งที่เรามองเห็น เพราะปัญหาบางอย่างเป็นปัญหาสะสมที่จะ
ไม่เกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ควรที่จะสะสางเสียให้เรียบร้อยก่อนปัญหาจะเกิด

สำหรับตัวดิฉันเอง Mentor ของดิฉัน คือคุณน้าที่มาช่วยดูเรื่องของบัญชี ซึ่งนับว่าทำงาน
ใกล้ชิดกับดิฉันมาก เราเข้ากันได้ดี และเมื่อมีอะไร คุณน้าก็มักจะกล่าวเตือนสติดิฉันอยู่
สม่ำเสมอ เช่นบางทีเมื่อเห็นว่าดิฉันอารมณ์ไม่ค่อยดี แล้วคุยกับคุณลูกค้าด้วยน้ำเสียงไม่
ค่อยดีนัก เมื่อเห็นว่าดิฉันอารมณ์เย็นลงแล้ว ก็เข้ามาตักเตือนดิฉันด้วยความหวังดีว่า
"เมื่อกี้ คุณพูดกับลูกค้าเสียงแข็งจังเลยค่ะ"

สิ่งเหล่านี้ หากว่าเป็นพนักงานปกติแล้ว คงไม่มีใครกล้าพูดอย่างนี้สักเท่าไหร่
แต่สำหรับคุณน้า Mentor ของดิฉันเลย เราตกลงกันไว้ตั้งแต่แรกว่า หากมีอะไรที่ดิฉัน
ทำพลาดหรือเผลอเรอไป ให้รีบบอกโดยด่วน ซึ่งเมื่อทราบเรื่องแล้ว ดิฉันจึงเริ่มรู้สึกตัว
และรู้สึกผิดมากๆ จึงได้โทรศัพท์ไปขอโทษลูกค้าด้วยตนเองว่าดิฉันเสียใจที่พูดจาไม่ดี
เท่าที่ควร ซึ่งลูกค้าก็เข้าใจโดยดี

สำหรับดิฉัน เวลาที่ต้องคุยเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นกับพนักงาน มักเป็น Moment ที่ดิฉันคิดว่า
ยากลำบากที่สุดในชีวิต ยิ่งกว่าเวลาต้องไปเจรจาคุยกับลูกค้าสำคัญ ๆ เสียอีก
เพราะประสบการณ์จริงในเรื่องนี้ ต้องเจอเข้ากับตัวจริงจึงจะรู้ จึงจะเก่ง
เพราะบางทีไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดีเวลาที่คุยกับพนักงานจริง ๆ
ดังนั้น การมี mentor มา coaching ก่อนจึงเป็นเรื่องที่ดี

อีกครั้งหนึ่งคือเมื่องานของดิฉันเริ่มมีปัญหาบางอย่าง ดิฉันกับ Mentor ก็มานั่งคุยกันว่า
เราควรแก้ไขอย่างไรดีและดิฉันควรจะเน้นย้ำการแก้ปัญหานี้อย่างไรกับพนักงานเมื่ออยู่ใน
ห้องประชุม นอกจากนี้ เรื่องบางเรื่องที่ Sensitive มาก ๆ เช่นเรื่องของเงินเดือน
โบนัส เรื่องของปัญหาในการทำงาน

คุณ Mentor ของดิฉัน ช่วยกันคิดเลยว่า ควรจะเริ่มพูดอย่างไรกับพนักงานอย่างไรดี
เป็นต้น ซึ่งตรงนี้ เป็นการช่วยอุดจุดอ่อนที่ดิฉันมี เพราะพนักงานของดิฉัน ดิฉันก็รัก
ดังนั้น การหาวิธีการพูดที่จะทำให้ทีมงานไม่รู้สึกแย่ แต่เข้าใจและช่วยกันแก้ไขปัญหาต่อไป
จึงเป็นเรื่องที่ควรกระทำและควรเตรียมตัว

นอกจากนี้ Mentor ยังเป็นเหมือน Spy ลับ ๆ ให้กับดิฉัน ว่า ทีมงานของดิฉัน
เป็นอย่างไรกันบ้าง หากใครตีกัน มีเคือง ๆ กัน หรือไม่สบายใจเรื่องอะไร
ก็จะรีบมารายงาน เผื่อที่ว่าดิฉันจะได้ลองพูดคุยกับพนักงานดูก่อนที่จะเกิดปัญหาขึ้น

นอกจากเรื่องของการมี Mentor แล้วอีกเรื่องหนึ่งที่ดิฉันอยากแนะนำคือ
การจะเป็นนายที่ดีได้ ควรจะได้ลองเป็นลูกน้องดูก่อน
การที่มีนายหลาย ๆ แบบ เห็นตัวอย่างทั้งที่ดีและไม่ดี
และการได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมงานนั้น จะได้เข้าใจถึงจิตใจของการเป็นลูกน้อง

สำหรับดิฉัน การที่ดิฉันเคยเป็นลูกน้องมาก่อน ทำให้ดิฉันเข้าใจลูกน้อง
เวลาที่ลูกน้องมาสาย เวลาที่เขาอู้งาน เล่นบ้าง เหนื่อยบ้าง งานไม่เสร็จบ้าง
และทำให้ดิฉันเข้าใจว่า ควรจะทำอย่างไรดี เพื่อที่จะ"ได้ใจ" ทีมงาน จะได้ช่วยกันทำงาน
อย่างถวายชีวิต เหมือนกับตอนที่ดิฉันทำงานใหม่ ๆ และได้เจอนายที่น่ารัก ทั้งสอน ทั้งดุ
ดูแลจนดิฉันได้เรียนรู้ อะไรมากมาย และรักนาย ทำงานอย่างไม่คิดชีวิตเลยทีเดียว

ฝากไว้ให้คิด
ศิลปะของการเป็นคนฉลาดคือศิลปะของการรู้ว่าควรจะมองข้ามเรื่องอะไรบ้าง

โดย ผจก.รายสัปดาห์




 

Create Date : 25 มกราคม 2552
2 comments
Last Update : 25 มกราคม 2552 18:44:55 น.
Counter : 700 Pageviews.

 

 

โดย: DOOM_MAN 28 มกราคม 2552 11:17:55 น.  

 

เนื้อหาดีมากมากเลยค่ะ

 

โดย: puyphay 6 พฤษภาคม 2552 22:02:32 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.