~ ~★ ~ ~★ ~ ~★ Blog Tag ทำดีเพื่อพ่อ ~ ~★ ~ ~★ ~ ~★





เนื่องจากได้รับ Tag จากคุณ cottonbook(คลิกเพื่ออ่านบทความทำดีเพื่อพ่อของคุณ cottonbook ได้)








Blog Tag ทำดีเพื่อพ่อคืออะไร?

เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม 2550 พวกเราในฐานะคนเขียนบล็อก/เว็บไดอารี่ ขอถวายพระพรให้พระองค์ทรงพระเจริญ มีพระพลานามัยที่แข็งแรง และพวกเราปรารถนาที่จะทำความดีคนละหนึ่งอย่างเพื่อพ่อหลวงของพวกเรา

Blog Tag ทำดีเพื่อพ่อ คือการเขียนลงในบล็อกว่าตั้งใจจะทำความดีอะไรหนึ่งอย่างเพื่อพ่อ แล้วส่งต่อไปให้คนอื่นอีก 5 คนเพื่อให้เขียนบล็อกแบบเดียวกัน




กติกา



1. ให้ copy เนื้อหาในหัวข้อ Blog Tag ทำดีเพื่อพ่อคืออะไร? ที่อยู่ด้านบน และหัวข้อกติกานี้ นำไป paste ลงในบล็อกของคุณ

2. เขียนบอกว่าใครที่ tag มาหาคุณ โดยให้ทำลิงก์ไปยังบทความที่ tag มาหาคุณด้วย เพื่อที่คนที่เข้ามาอ่านบทความของคุณ จะได้ตามไปอ่านบทความของคนที่ tag หาคุณได้

3. เขียนความดีหนึ่งอย่างที่คุณตั้งใจจะทำเพื่อพ่อ ถ้านึกไม่ออกว่าจะเขียนอะไร ให้เข้าไปดูในเว็บ //www.dogood.or.th

4. ให้ tag ไปหาคนอื่นอีก 5 คนเพื่อให้เขาทำเช่นเดียวกับคุณ โดยให้ทำลิงก์ไปยังบล็อกของทั้ง 5 คนด้วย และถ้าเจ้าของบล็อกเข้ามาเขียนบทความแล้ว ก็ให้แก้ลิงก์ไปที่ตัวบทความเลย คนที่เข้ามาอ่านบทความของคุณแล้วจะตามอ่านของคนที่คุณ tag ไปหา จะได้ไม่ต้องเสียเวลาหาว่าบทความอยู่ที่ไหนในบล็อก

5. เข้าไปขอแบนเนอร์โครงการทำดีเพื่อพ่อจากเว็บ //www.dogood.or.th/banner_exchange/ แล้วนำมาติดในบทความที่คุณเขียน

6. เข้าไปแจ้งที่ //blog.macroart.net/dogood/ ว่าคุณได้เขียนบทความทำดีเพื่อพ่อแล้ว

7. ข้อนี้สำคัญที่สุด เมื่อเขียนว่าจะทำดีอะไรแล้ว ขอให้มีความตั้งใจมั่นและลงมือ ทำความดีที่เขียนไว้ให้สำเร็จ สังคมเราจะดีขึ้นเพียงแค่ทุกคน ช่วยกันทำความดี กันคนละเล็กคนละน้อย






สำหรับเรา เนื่องจากตอนนี้ได้ทำงานที่มีโอกาสทำความดีค่อนข้างสูงค่ะ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ตนเองตั้งใจจะทำความดีเพื่อพ่อคือ



สิ่งที่ทำมาตลอดและจะพยายามทำให้ได้ตลอดไป


จะประพฤติตัวอยู่ในศีลธรรม ไม่ทำความเดือดร้อนให้แก่คนอื่นหรือสังคมรอบข้างเพียงเพื่อความสุขส่วนตัวของตนเอง ดูแลคนรอบๆ ข้างให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้และจะพยายามช่วยเหลือคนอื่นที่ประสบกับความลำบากเท่าที่จะสามารถทำได้ค่ะ





สิ่งที่ตั้งใจจะทำดีเพิ่มเติม


ตั้งใจจะทำงานให้เต็มที่สุดความสามารถ จะทำให้เด็กนักเรียนของตนเองเติบโตเป็นคนดี เป็นบุคลากรที่ดีของประเทศชาติให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะพยายามส่งเสริมให้ผู้อื่นมีโอกาสที่จะทำความดีได้อย่างสะดวกมากขึ้น พยายามทำให้คนชั่วมีโอกาสทำชั่วน้อยลง






ขอส่ง tag ให้บล็อกเกอร์ 2 คนตามนี้ค่ะ (ตอนแรกเลือกไว้ ๕ ค่ะ แต่เนื่องด้วยยอมรับแท็กแค่ ๒ ท่านนี้ จึง (หน้ามึน) ขอแท็กแค่สองท่านนะคะ)

1. =p o o k p u i=
2. ลวิตร์



ขอบคุณสำหรับการแวะมาอ่านค่ะ

140395/3008




 

Create Date : 08 ธันวาคม 2550    
Last Update : 8 ธันวาคม 2550 17:22:41 น.
Counter : 1905 Pageviews.  

~ ~★ ~ ~★ ~ ~★ นินทาเด็กเวร ~ ~★ ~ ~★ ~ ~★






สวัสดีค่ะ




เพื่อนบล็อกหลายท่านที่เคยแวะเวียนมาบ้านสาวไกด์ คงจะทราบดีว่าขณะนี้สาวไกด์ได้เปลี่ยนอาชีพมาเป็นคุณครูสอนเด็กแล้วนะคะ (เหอๆ – หัวเราะอย่างมีเลศนัย คิดถูกหรือคิดผิดฟระเนี่ยเรา) แล้วเนื่องจากความสิ้นคิด ไม่รู้จะอัพบล็อกเรื่องอะไร ก็เลยขอยืมไอเดียแพนด้ามหาภัย เอาเด็กมานินทาดีกว่า เหอๆๆๆ



ก่อนอื่นคงต้องปูพื้นก่อนว่า โรงเรียนที่สาวไกด์ฯ ไปสอนเป็นโรงเรียนเอกชน ที่เน้นภาพลักษณ์ให้เป็นโรงเรียนของเด็กไฮโซนิดหนึ่งน่ะค่ะ (หึๆ) แบบว่า..มีสอนตีกอล์ฟ เล่นโกะ การเรียนการสอนเน้นแสง สี เสียง ฯลฯ เพราะฉะนั้นเนี่ยเด็กที่มาเรียน โดยมากแล้ว (ก็คงเกือบๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์แหละ) เป็นเด็กฐานะค่อนข้างดี





เพราะฉะนั้น...


เพราะฉะนั้น...


เพราะฉะนั้น...




เด็กหลายคนจึงเรียกได้ว่าเป็น “เด็กเวร” สำหรับคุณครูจริงๆ



เป็น “เด็กเวร” ที่ชวนให้ครูอยากกระโดดถีบเป็นอย่างยิ่ง (อ่า..อาจดุเดือดไปบ้าง ขออภัย)








วันนี้ขอประเดิมด้วยเจ้าหมูอ้วน (เรียกด้วยชื่อน่ารักไปมั้ยเนี่ย) เด็กเอาแต่ใจตัวเอง

เราเข้าไปห้องนี้เป็นครั้งแรก ขณะที่กำลังเซ็ตอัพเตรียมจะฉายขึ้นจอเพื่อสอนอยู่นั้น ปรากฏว่าเด็กคนนี้เดินมา นั่งที่เก้าอี้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ แล้วก็บอกว่า

“ครู ผมจะคลิกให้”

ไอ้เราก็กลัวว่า เดี๋ยวจะโดนว่า แทนที่จะให้เด็กไปนั่งเรียน มาใช้เด็กคลิก ก็เลยบอกไปว่าไม่เป็นไรค่ะ ไปนั่งเรียนนะคะ เดี๋ยวครูคลิกเอง แล้วเดี๋ยวจะมีเล่นเกมด้วยค่ะ เจ้าตัวก็ส่ายหัวแล้วก็บอกว่า

“ก็ผมอยากคลิกอ้ะ”

ไอ้เราก็..นะ เป็นครูใหม่นี่หว่า ก็เลยพยักหน้าไป ปรากฏว่าสอนๆ ไป พอถึงช่วงตอบคำถามเล่นเกม เราก็บอกให้เจ้าตัวไปนั่งอีกรอบ เจ้าตัวก็ยังไม่ไป (ดื้อชิบเป๋ง) เราก็เลยเล่นไปเลย พอเล่นไปได้สักห้าคำถาม เจ้าตัวนี้ก็โวยวายขึ้นมาเลย

“ครูอ้ะ ผมยกมือไม่เห็นเรียกผมเลย”

“อ้าว..ก็หนูนั่งตรงนี้ ครูก็ไม่ค่อยเห็นสิคะ ไปนั่งที่ที่ตัวเองมั้ย?”

“ไม่เอา ผมจะนั่งนี่”




อ้าว..ไอ้เวงงงงงงงง

(อยากร้องไห้เป็นภาษาอูกันดาจริงๆ)





เราก็เลยแอบโกงเด็กคนอื่นด้วยการที่คำถามต่อมา เลยให้เค้าได้ตอบ แต่พอเรียกเค้าตอบจริง เจ้าตัวกลับตอบไม่ได้ (ตอบผิดน่ะแหละค่ะ) ก็เลยไม่ได้การสะสมดาวไป เจ้าตัวก็โวยวายใหญ่เลย จะเอาดาวให้ได้ เราก็บอกว่าหนูตอบผิดไงคะ ครูจะให้ได้ยังไงหละ





สิ่งที่เจ้าตัวทำก็คือ


เตะตู้ที่วางคอมพิวเตอร์ (ซึ่งมีเครื่องเสียงอยู่ข้างในค่ะ) พร้อมกับตะโกนว่า “โว้ยยยยย”





อ๊ากซ์ซ์ซ์ซ์ซ์ซ์ซ์ซ์ซ์ อยากฆ่าเด็กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก





เราก็เลยดุไปว่า ทำอย่างนี้ไม่ดีนะ แต่เจ้าตัวก็เตะซ้ำอีกทีแล้วทำหน้าแบบ..แล้วไง?



...


...



อ๊ากซ์ซ์ซ์ซ์ซ์ซ์ซ์ซ์ซ์ อยากฆ่าเด็กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก (อีกรอบ)
(โรงเรียนนี้เค้าห้ามครูทำโทษเด็กค่ะ ตีไม่ได้ ว่าแรงๆ ก็ไม่ได้ เพราะเค้ากลัวเด็กจะเสียใจ – แต่ไม่กลัวเด็กจะเสียคนหรือไงฟระเนี่ย??????)




แต่เท่าที่ทำได้ เราก็เลยทำเป็นไม่สนใจเค้าเลยค่ะ ถามกับเพื่อนๆ คนอื่นๆ ในห้องต่อไป






ราวห้านาทีต่อมา เจ้าตัวหาวิธีเรียกให้เราไปสนใจด้วยการเหยียบสายไมค์ค่ะ ทำให้เราพูดต่อไม่ได้ เราก็เลยวางไมค์โครโฟนไปเลยแล้วใช้พูดปากเปล่าแทน (เพื่อนๆ ชองเค้าในห้องต่างก็ทำหน้าอิดหนาระอาใจมากๆ แต่ทุกคนก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา มีแต่เรียกชื่อเด็กคนนี้เหมือนช่วยกันปรามเพื่อน แต่ทำอะไรกันไม่ได้น่ะค่ะ )





หลังจากคาบนั้น เมื่อเราไปสอนอีก เค้าก็นั่งที่ที่ของเค้าค่ะ แล้วก็พยายามตอบ แต่ก็ยังมีอาการแบบว่า พอตอบผิด ก็เอาสมุดตีๆ ที่โต๊ะ แล้วบ่นโวยวาย “โธ่เว้ย..เมื่อไหร่จะได้วะ” (ทั้งที่เจ้าตัวน่ะ ก็ได้ไปสี่ดาวแล้วนะคะ แต่เพื่อนบางคนในห้องน่ะ ยังไม่ได้สักดาวด้วยซ้ำ) แสดงอาการแบบ..ยังไงดีหละ ค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเองน่ะค่ะ แถมมีอยู่ครั้งหนึ่ง เค้าเอาสมุดมาส่งเรา (เรากำลังถ่ายทอดดาวจากที่จดไว้ในกระดาษ ลงสมุดให้แต่ละคน) แล้วเค้าก็โวยวายว่าได้แค่สี่ดวง เพราะเห็นเพื่อนบางคนได้สิบดวงแล้ว แล้วเค้าก็เอาสมุดตีมาที่หน้าเรา ซึ่งพอหันไปดูหน้าเค้าก็รู้ว่าเค้าจงใจน่ะค่ะ ก็เลยว่าเค้าว่า ทำอย่างนี้ได้ยังไง ถ้าครูทำหนูบ้างหนูจะเจ็บมั้ย? เค้าก็ทำหน้ายิ้มๆ น่ะค่ะ เราก็เลยบอกให้เค้าไปนั่งที่ แล้วค่อยมาเอาดาววันหลัง






เราเคยถามเพื่อนครูคนอื่นๆ เค้าก็บอกว่า เด็กคนนี้ต้องใช้วิธียอและตามใจ เค้าอยากได้อะไร ให้ให้เค้าไป ซึ่งเราก็มานั่งคิด (ตามประสาคนที่ไม่เคยเป็นครูเด็กเล็กน่ะนะคะ) ว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า?



เด็กคนหนึ่งที่เอาแต่ใจตัว อยากได้อะไรต้องได้ ที่บ้านเค้าได้มาแล้ว แต่พอถึงโรงเรียน ไม่มีคนสอนเค้า กลับตามใจเค้าไปอีก เค้าจะโตขึ้นเป็นอย่างไรหละคะ? (หรือว่า..จริงๆ ควรจะตามใจเค้า เพื่อให้ห้องเรียนสงบสุขดีหว่า เฮ้อ )


เราเองเคยเทศน์เค้าไปหนหนึ่ง บอกเค้าว่า เค้าทำตัวอย่างนี้ไม่ได้ เพราะเค้าต้องอยู่ร่วมกับคนอื่น เพื่อนคนอื่นๆ ก็มีสิทธิ์เท่าเทียมกับเค้า เค้าจะมาเรียกร้องอะไรมากกว่าคนอื่นๆ นั้น..ไม่ได้ เค้าก็ต้องใช้ความพยายามเหมือนกับคนอื่นๆ เช่นกัน


แต่พอดีว่า หลังจากที่เทศน์เค้าไปแล้ว หลังจากนั้นโรงเรียนได้ครูอีกคนมาค่ะ ก็เลยรับสอนชั้นนั้นไป เราก็เลยไม่ต้องไปผจญกรรมกับเค้าอีก (อะฮึกๆ)






จริงๆ เด็กโรงเรียนนี้หลายคนค่ะ ที่เรียกได้ว่า อยู่ในขั้นวิกฤตมากๆ แบบ..ประเภทชอบใช้ความรุนแรงกับเพื่อน เตะหน้าเพื่อนบ้าง ต่อยกันบ้าง ฯลฯ ค่อนข้างก้าวร้าวมากๆ






ก็เลยยิ่งทำให้เรารู้สึกอย่างที่เคยคิดมาหลายครั้งแล้วค่ะว่า



“คนรวยนี่ น้อยคนจริงๆ ที่จะเลี้ยงลูกให้ได้ดี”



จริงๆ นะคะ








ขอบคุณสำหรับการแวะมาอ่านค่ะ




124100/2872








 

Create Date : 29 กันยายน 2550    
Last Update : 29 กันยายน 2550 12:47:49 น.
Counter : 1939 Pageviews.  

Will be right back - Coming Soon kaaaaaaaaaaaaaaaa





ไม่มีอะไรค่ะ แบบว่า บล็อกเดิมร้อยห้าสิบกว่าคอมเม้นท์แล้ว

เกรงใจเน็ตบ้านเพื่อนๆ บางท่านที่อาจโหลดนานโคตร (ใช่มะ hunjang อิอิ) เลยอัพบล็อกใหม่ซะหน่อย




ความคืบหน้า..

ยังไม่มีสถานการณ์ที่มีทีท่าว่าจะได้เล่นบล็อกทุกวันอย่างที่เคย หะเหยๆ




ตอนนี้สถานการณ์ของงานการคือ ยังออกทัวร์อย่างเดียว และพยายามหางานสอนหนังสือทำต่อไป (เพิ่งสมัครไปที่เดียวเองง่ะ แหะๆ)


สำหรับสถานการณ์การเล่นบล็อก (เพิ่มเติม) อาจจะเป็นการได้เล่นวันเสาร์-อาทิตย์ (ข่มขู่คนใกล้ตัวให้เอาแล็ปท็อปกลับบ้านมาให้เล่น กร๊ากกกกกกกกกกกก)






คิดถึงเพื่อนๆ ทุกคนมากๆ นะคะ อย่าเพิ่งลืมกันเน้อ








 

Create Date : 13 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 13 กรกฎาคม 2550 13:27:34 น.
Counter : 1365 Pageviews.  

~ ~★ ~ ~★ ~ ~★ Would you like some coffee? ~ ~★ ~ ~★ ~ ~★





อิอิ..วันนี้หัวข้อบล็อกเป็นภาษาปะกิด




จริงๆ แล้วสาวไกด์ฯ เองเหินห่างจากการดื่มกาแฟมานานพอสมควรแล้วค่ะ (นั่นคือถ้าไม่อยากสุดๆ จะไม่เลือกดื่มกาแฟเด็ดขาด) หลังจากเคยติดแบบประเภทถ้าไม่ได้กินใจจะสั่นมาพักหนึ่ง แต่เมื่อมาตกหลุมรักชาแทน ก็เลิกรากับกาแฟไปเลย เหอๆ


จนเมื่อวันเสาร์ที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๐ (สองเดือนกว่ามาแล้ว ) มีโอกาสได้ไปอบรมเรื่องกาแฟ ในหัวข้อ Espresso in Bed ที่ร้าน Blue Cup (ในเครือเอสแอนด์พี) ที่เซ็นทรัลเวิลด์มาค่ะ พอดีว่าเพื่อนเป็นสมาชิกเลยได้รับเชิญ แล้วเค้าก็เอาเราไปเป็นเพื่อน แหะๆ(ตอนแรกไม่ได้กะว่าจะเอามาคุยที่บล็อกเลยไม่ได้ถ่ายรูปในช่วงแรกๆ เลยค่ะ แต่พอไปๆ มาๆ ก็รู้สึกว่าจริงๆ แล้วมันเป็นประโยชน์นะ ก็เลยได้ถ่ายรูปเฉพาะช่วงท้ายๆ มาลงประกอบนะคะ แหะๆ)



เพราะงั้นวันนี้จะมาในเชิงวิชาการนะคะ สำหรับคนที่ชอบทานกาแฟ หรืออยากรู้เรื่องกาแฟค่ะ







เมื่อไปถึงที่ร้านบลูคัพตามเวลานัดหมาย เจ้าหน้าที่ก็ให้แต่ละคนที่ลงทะเบียนสามารถเลือกโต๊ะ (ซึ่งแต่ละโต๊ะก็เซ็ตเครื่องมือไว้แล้ว) ได้ตามแต่ต้องการ เราเลือกโต๊ะที่มีเครื่องชงสีฟ้าค่ะ หลังจากนั้นพอคนมาครบ เจ้าหน้าที่ก็ทำการเปิดการอบรม





โดยตอนแรกก็อธิบายก่อนว่า เครื่องชงกาแฟจะมีด้วยกัน ๓ แบบคือ


๑. แบบ Drip ซึ่งจะมีฟิลเตอร์เป็นกระดาษสำหรับกรองเมล็ดกาแฟที่บดแล้ว บางคนเรียกแบบต้ม ซึ่งแบบนี้จะเป็นพื้นฐานธรรมดา

๒. แบบเพรสท์พ็อท (เฟรนช์เพรส หรือ คาเฟเทียร์) เป็นแบบที่ใช้แรงอัดจากมือ ซึ่งการชงวิธีนี้ จะต้องบดกาแฟที่ละเอียดพอควร แต่ไม่ต้องละเอียดมาก ไม่อย่างนั้นตอนที่เพรสลงไปจะทำให้ฟุ้งขึ้นมาน่ะค่ะ

อัตราส่วนของการชงแบบนี้มักใช้ ๒ ช้อนโต๊ะต่อหนึ่งแก้ว ใส่ลงไปในตัวพอท ใส่น้ำร้อน คนให้เข้ากัน ก่อนจะเพรส (กด) มันลงไป ควรกดช้าๆ ให้ค่อยๆ ลงไปอย่างสม่ำเสมอ ที่กดช้าๆ ก็เพราะเพื่อป้องกันไม่ให้ผงกาแฟลอยปลิวขึ้นมาเหนือแผ่นยาง และมีผลต่อรสชาติค่ะ

แล้วก็มีการสาธิตในส่วนของการตีนมให้เป็นฟอง (สำหรับท่านที่ต้องการทานคาปูชิโน่ – กาแฟใส่นม) โดยมีแบบปั๊มมือ (ซึ่งแบบนี้จะทำให้นมหอมกว่ามากๆ ค่ะ แต่ฟองจะไม่ละเอียด) และแบบใช้เครื่องซึ่งแค่กดปุ่มก็ตีได้เลย โดยเริ่มจากผิวบนก่อนแล้วค่อยๆ แหย่เครื่องลึกลงไปในนมเรื่อยๆ (ฟองละเอียด แต่หอมไม่เท่าปั๊มมือ) นมที่นำมาทำฟอง ควรอุ่นในระดับแค่ร้อนเฉยๆ ไม่ควรเดือดนะคะ เพราะจะทำให้จืดเกินไป แล้วก็ถ้าใช้แบบโลว์แฟตก็จะไม่ค่อยหอมอร่อยนักค่ะ (ของอร่อยมักจะอ้วน ฮืออออออ)

๓. Espresso เป็นเครื่องชงซึ่งมีทั้งแบบเครื่องเล็กและเครื่องใหญ่แบบที่ใช้ตามร้านขายกาแฟใหญ่ๆ น่ะค่ะ





จริงๆ แล้วการทำกาแฟ Espresso นั้นมีหลักที่สำคัญ ๔ ข้อนะคะ
๑. ความชำนาญของผู้ชง
๒. คุณภาพเครื่องบดกาแฟ
๓. การเบลนด์กาแฟจากแหล่งต่างๆ (การผสมเมล็ดกาแฟน่ะค่ะ)
๔. คุณภาพของเครื่องชงกาแฟ




ซึ่งหลังจากอธิบายแล้ว แต่ละกลุ่มก็ได้รับกติกาเกมส์คือให้แต่ละกลุ่มทำกาแฟเอสเพรสโซในแบบของตัวเอง กลุ่มไหนทำกาแฟได้รสชาติถูกใจคณะกรรมการที่สุดก็จะได้รับของรางวัลไปนะคะ





ซึ่งเมล็ดกาแฟที่อยู่บนโต๊ะก็จะมี ๔ พันธุ์คือ พันธุ์ไทย สุมาตรา กัวเตมาลา และบราซิล จริงๆ แล้วเรากับเพื่อนชอบแต่ของไทยกับสุมาตราค่ะ สำหรับกัวเตมาลานี่ไม่ชอบเลย ส่วนบราซิลก็โอเค กลางๆ น่ะค่ะ แต่หลังจากปรึกษากับคนในกลุ่มแล้ว ก็ปรับตามๆ กันไปน่ะนะคะ ก็ได้สูตรมาที่ บราซิล ๔ ช้อน ไทย ๒ ช้อน สุมาตรา ๒ ช้อนและกัวเตมาลา ๑ ช้อน (โจทย์คือทุกกลุ่มต้องมีพันธุ์ของไทยด้วยค่ะ) โดยทางเจ้าหน้าที่ก็อธิบายว่ากาแฟแต่ละพันธุ์มีคุณสมบัติอย่างไรก่อนให้เราผสมค่ะ


หลังจากตักใส่ถุงพลาสติกแล้วก็จัดการพับปากถุง แล้วเขย่าให้เข้ากัน





จากนั้นก็เทใส่เครื่องบดค่ะ กดปุ่มให้บดแล้วก็ดูว่าเนื้อละเอียดพอหรือไม่ (เค้ามีตัวอย่างให้ดูว่าต้องประมาณไหน) คือต้องไม่ละเอียดจนเป็นฝุ่นฟุ้ง แล้วก็ต้องมีลักษณะของการเกาะเนื้อกันเป็นก้อนพอสมควรด้วยค่ะ ซึ่งกว่ากลุ่มเราจะทำได้ในระดับพอใช้ก็ต้องปรับกันไปสามรอบ เหอๆ





หลังจากบดเมล็ดกาแฟแล้วก็ต้องใส่ผงกาแฟลงที่กระชอน (ซึ่งต้องเช็คกระชอนก่อนว่าสะอาดดีหรือไม่ อย่าให้มีผงกาแฟเก่าๆ ติด เพราะมันจะไปดึงรสขมของกาแฟออกมา) ต้องเคาะปรับผงกาแฟให้เสมอกันในกระชอนก่อนจะกดลง (การกดก็ต้องเอากระชอนไปวางไว้โดยหนุนกับขอบโต๊ะค่ะ ไม่ควรวางบนโต๊ะ เพราะตรงร่องที่ให้น้ำกาแฟออกมาจะสัมผัสกับพื้นโต๊ะ ซึ่งอาจทำให้เครื่องมือเสีย หรือสิ่งสกปรกอาจสัมผัสอันจะส่งผลต่อรสชาติได้) และต้องกดโดยแกนของที่กดต้องอยู่ในระดับตรงฉาก (ผิวจะได้เสมอเรียบ ไม่เทไปข้างใดข้างหนึ่ง ซึ่งจะทำให้น้ำไหลไปเทรวมด้านนั้นซึ่งก็จะมีผลต่อรสชาติอีกน่ะแหละ) และใช้แรงกดประมาณ ๑๕ กิโลกรัมค่ะ (เค้าบอกว่าให้ลองไปฝึกการกดกับเครื่องชั่งน้ำหนักดู จากนั้นถ้าฝึกบ่อยๆ เราก็จะชินว่าต้องกดประมาณไหน)



หลังจากกระชอนที่บรรจุเมล็ดกาแฟแน่นๆ เสมอกันเรียบร้อยแล้วก็เอาไปใส่กับเครื่องชง แล้วก็ผลักก้านให้น้ำร้อนไหลมา หลังจากผลักก้านให้นับในใจ กว่าน้ำจะผ่านกระชอนลงมาที่แก้วได้ ต้องประมาณ ๘-๙ วินาที (แต่กลุ่มเราทำไม่ได้อ้ะ ไม่รู้ว่าทำไม ได้สูงสุดแค่ ๖ วินาทีเองค่ะ) ถ้าแบบเปิดน้ำปุ๊บ น้ำไหลลงมาเลยนี่แสดงว่าไม่โอเคนะคะ ไม่ได้เลย แล้วก็สังเกตสีของน้ำที่ออกมาต้องเป็นสีน้ำตาลแดง ไม่ใช่น้ำตาลอ่อน ความหนืดต้องประมาณน้ำผึ้ง แล้วก็พอสีเริ่มเปลี่ยนเป็นอ่อนๆ ก็แสดงว่าต้องหยุดเครื่องแล้ว (ซึ่งถ้าโอเคจริงๆ นับแต่เริ่มทำต้องประมาณ ๑๘-๒๕ วินาที ซึ่งกลุ่มเราได้แค่ประมาณ ๑๕ วินาทีเองค่ะ เหอๆ)



หลังจากมีการชิมจากกรรมการแล้วก็มีการมาบอกว่า ผลของรสชาติของแต่ละกลุ่มเป็นอย่างไร ซึ่งก็จั่วหัวด้วยการชมว่า ทุกกลุ่มที่อบรมวันนี้มีข้อดีของทุกกลุ่มคือ ทำออกมาได้กลิ่นที่หอมมาก ซึ่งโดยปกติในการอบรมครั้งอื่นๆ จะมีบางกลุ่มที่ทำกาแฟได้ไม่หอมเลย (เค้าใช้คำว่า weak อะค่ะ)






สำหรับการวิเคราะห์รสชาติของกลุ่มเราก็ได้มาดังนี้ค่ะ


“กลิ่นที่ออกมาคล้ายๆ กับกลิ่นของถั่ว รสชาติของกาแฟตรงเข้าสู่ปากเข้มข้น มีกลิ่นหอมหวานๆ แทรกอยู่ด้วย”





สรุปแล้ว ก็ตามคาดค่ะ กลุ่มเราไม่ได้เป็นผู้ชนะ เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ใช้สูตรบราซิล ๖ ไทย ๓ กัวเตมาลาครึ่งช้อน และสุมาตราครึ่งช้อน ซึ่งได้รับคำชมว่า “รสออกมาค่อนข้างบาลานซ์ มีกลิ่นออกหวานๆ มีส่วนผสมระหว่างความ spicy กับความเป็นคาราเมล”




ซึ่งหลังจากอบรมแล้วก็ทำให้รู้สึกว่า อยากมีเครื่องชงกาแฟที่บ้านจัง (ทำยังกะตัวเองจะกิน) เอาน่า..ถึงไม่กินก็เอาไว้ทำให้ว่าที่คนที่อยู่ด้วยกินก็ได้เนาะ (แต่เจ้าตัวไม่ค่อยละเมียดในการกินกาแฟเท่าไหร่สิ เฮ้อ..) หรือจะเอาไว้รับแขกก็น่าจะดี



อบรมแล้วก็รู้สึกถึงความละเมียดของเครื่องดื่มประเภทนี้นะคะ อยากกลับไปหลงรักกาแฟเหมือนเดิมเลยทีเดียวเชียว แต่ก็อย่างว่าแหละค่ะ เจ้าของบล็อกเป็นคน sensitive อ้ะ พอได้รู้จักอะไร ได้เรียนรู้อะไรก็จะหัวปักหัวปำไประยะหนึ่งค่ะ ซึ่งก็คิดว่า ถ้าได้ไปอบรมเรื่องชาก็อาจจะหลงรักเช่นกันก็ได้ หุๆ



หวังว่าเรื่องราวที่เอามาแบ่งปันกัน คงจะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆ บล็อกที่ได้มาอ่านนะคะ




ขอบคุณสำหรับการแวะมาอ่านค่ะ




๘๗๙๖๔






 

Create Date : 28 พฤษภาคม 2550    
Last Update : 28 พฤษภาคม 2550 16:31:52 น.
Counter : 1978 Pageviews.  

~ ~★ ~ ~★ ~ ~★ ตอบแท็ก bewitched ซุปเปอร์สตาร์ดาราคนโปรด ~ ~★ ~ ~★ ~ ~★





ไม่พูดพร่ำทำเพลง เริ่มเลยละกัน (ไม่เรียงลำดับนะคะ แหะๆ) เอ่อ..ต้องดาราเท่านั้นใช่ปะ นักร้อง ผู้กำกับ นักเขียนไม่เกี่ยวใช่มะ อ่า...




๑. จอห์นนี่ เดปป์ (Johnny Depp)



มากความสามารถ เลือกบทแต่ละบทนี่ โดนๆ ทั้งสิ้น เลือกบทได้ฉลาดและท้าทายความสามารถทางการแสดงดีค่ะ (เราแพ้ผู้ชายฉลาด อิอิ)

นอกจากนั้นเดปป์ยังมีเสน่ห์แบบติสท์ๆ ที่เราบอกไม่ถูกน่ะ (และเราแพ้ผู้ชายติสท์ กร๊ากกกกก )




๒. เมอร์รีล สตรีพ(Meryl Streep)



ป้าแกแสดงได้ทุกบทจริงๆ แกได้บทไหนคือเราเชื่อได้ว่าเป็นคนๆ นั้นจริงๆ น่ะ สุดยอดของนักแสดงแล้วค่ะ




๓. เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน (Edward Norton)




สะดุดใจตั้งแต่เรื่อง Primal Fear มาตายไปเลยกับ American History X ค่ะ ชอบแววตาที่แกแสดงออกอ้ะ ชอบๆๆๆ




๔. โจดี้ ฟอสเตอร์ (Jodie Foster)



ชอบเธอจากเรื่อง Contact (หนึ่งในหนังสุดรัก) แม้หลังๆ จะไม่เห็นผลงานเธอที่โดนๆ เท่าไหร่ แต่ชอบการแสดงและวิธีที่เธอเลือกที่จะมีลูกค่ะ





๕. แกรี่ ซีไนส์ (Gary Sinise)



สะดุดเค้าจากการแสดงเป็นตัวประกอบ (แต่ก็หลักเหมือนกันนา) ในเรื่อง Forrest Gump ค่ะ จากนั้นก็เห็นเค้าตามหนังต่างๆ เรื่อยๆ รู้สึกว่าเป็นนักแสดงที่แสดงได้หลายบทและสามารถสร้างสีสันให้กับตัวละครที่ตัวเองแสดงได้ดีมากๆ ค่ะ




๖. ศุภกร กิจสุวรรณ (ต๊อก)



นักแสดงไทย พลังล้นเหลือ รู้จักครั้งแรกจาก ๒๔๙๙ อันธพาลครองเมือง จากนั้นก็เห็นเค้าเปลี่ยนบทตัวเองไปเรื่อยๆ (แสดงได้หลายบทจริงๆ ท่าน) จนมาสุดๆ กับมนต์รักทรานซิสเตอร์ ตอนนี้อยากลุ้นให้เป็นไชยยันตร์ในเรื่องเพชรพระอุมาของท่านมุ้ยมาก แต่ก็..นะ ไม่รู้จะเป็นไปได้หรือเปล่าสิ แหะๆ




๗. สมชาย ศักดิกุล



นักแสดงผู้มีเอกลักษณ์ทางการแสดง (จนบางทีอาจหลุดความเป็นตัวเองในบทแทบทุกบทบ้าง เหอๆ) ทั้งในเรื่อง มนต์รักทรานซิสเตอร์ (บทเจ้าของค่ายเพลงตอนปล้ำต๊อกนี่สุดยอด) ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ (บทดอกเตอร์ปากหมานี่ มีใครจำเค้าไม่ได้บ้างหละนั่น) โหมโรง (ครูของศร ที่ทำตัวเหมือนขี้เมาธรรมดาในตอนแรก) สำหรับตัวประกอบแล้ว นับว่าเป็นตัวประกอบที่เด่นที่สุดคนหนึ่งของวงการไทยไปแล้วมั้งสำหรับท่านนี้ (อีกคนหนึ่งที่เราชอบการแสดงของเค้าแม้ว่าจะเป็นแค่ตัวประกอบคือคนที่เป็นลูกพี่แดง ไบเล่ในเรื่อง ๒๔๙๙ น่ะค่ะ แต่ไม่รู้ชื่อเค้าง่ะ)




๘. ซอง เฮ เคียว (Song Hye-kyo)



รู้จักเจ้าตัวจากเรื่อง Hotelier (หนึ่งในซีรี่ส์เกาหลีสุดโปรดตลอดกาล หุๆ) แล้วก็มาได้ดู Full House (สารภาพว่าตอนแรกจำไม่ได้ง่ะ แบบว่าตอน Hotelier นี่เฮเคียวอ้วนสุดๆ ง่ะ แหะๆ) ก็คิดว่ายายคนนี้นี่น่ารักจัง แล้วก็เล่นได้หลากหลายเชียว จนมารู้ทีหลังว่า อ้าว..คนเดียวกับคนที่แสดงเรื่อง Autumn in my heart ด้วยเหรอ ก็ยิ่งชอบเจ้าตัวเข้าไปใหญ่เลยค่ะ




๙. จอห์น มัลโควิช (John Malkovich)



เริ่มเข้ามาอยู่ในความทรงจำจากเรื่อง Of Mice and Men จากนั้นก็มาเจออีกทีกับ Dangerous Liaisons แล้วก็มาเป็นปลื้มสุดๆ กับ Being John Malkovich (หนังเกร๋ บ้ามาก)

บอกไม่ถูกง่ะ แม้หลังๆ จะไม่ค่อยได้เห็นงานของพี่แก แต่รู้สึกประทับใจบอกไม่ถูก รู้สึกว่าแกเป็นนักแสดงที่ดีน่ะค่ะ


๑๐. นอกจากนั้นก็มีแบบเยอะมากๆ ซึ่งคนก็ชอบกันเยอะๆ อยู่แล้วนะคะ ก็มี คุณหนุ่ย อำพล ลำพูน คุณพงษ์พัฒน์ วชิระบรรจง คุณเข็ม รุจรา ช่วยเกื้อ คุณแอน ทองประสม คุณนก จริยา คุณนก สินจัย ฯลฯ ซึ่งขอไม่ลงรูปแล้วกันเนาะ เพราะคิดว่าทุกท่านคงรู้จักดีแล้ว



ก็สำเร็จเสร็จสิ้นนะคะ สำหรับดาราคนโปรด ๑๐ อันดับค่ะ (แฮ่กๆ)




ขอบคุณสำหรับการแวะมาอ่านค่ะ




๘๒๗๖๖




 

Create Date : 04 พฤษภาคม 2550    
Last Update : 4 พฤษภาคม 2550 9:46:37 น.
Counter : 3069 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  

สาวไกด์ใจซื่อ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 203 คน [?]




ชอบอ่านหนังสือและดูหนังค่ะ ตอนนี้ทำงานด้านการท่องเที่ยวอยู่ นิสัยดีบ้างร้ายบ้าง แล้วแต่สภาวการณ์และคนที่เจอ


เนื้อหาและรูปภาพทั้งหมดในบล็อกสงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย ไม่อนุญาตให้นำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของบล็อก


ติดต่อเจ้าของบล็อกได้ที่ theworpor@yahoo.com
หรือ
https://www.facebook.com/saoguide






Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add สาวไกด์ใจซื่อ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.