~* ~* ~* ~* ~* ~* Singapore Trip with Nokia Connection 09 : Ovi Adventure ~* ~* ~* ~* ~* ~*






หลังจากปล่อยรีวิวทริปสิงคโปร์กับโนเกียคอนเนคชั่นมาแล้วสามบล็อกนะคะ ได้แก่

1. การเดินทางสู่สิงคโปร์ที่ ลิงค์นี้ (คลิกเพื่ออ่าน)

2. งาน Nokia Connection 09 กับการเปิดตัวโทรศัพท์ 3 รุ่นใหม่ที่ ลิงค์นี้ (คลิกเพื่ออ่าน)

และ

3. Party@the Museum ตาม ลิงค์นี้ (คลิกเพื่ออ่าน)






วันนี้จะเป็นบล็อกสุดท้ายของงานนี้แล้วค่ะ (จากนี้ขอชดใช้หนี้เดิมที่ค้างไว้ด้วยการรีวิวร้านอาหารที่ปักกิ่งก่อน แล้วก็เซี่ยงไฮ้ อาจจะคั่นด้วยรีวิวที่พักฮันนีมูนครบรอบ 2 ปี จากนั้นก็จะวกกลับมารีวิวที่เที่ยวที่สิงคโปร์สี่ที่นะคะ ได้แก่ สิงคโปร์ฟลายเออร์ พิพิธภัณฑ์เพรานากัน วัดพระเขี้ยวแก้ว และพิพิธภัณฑ์แห่งชาติสิงคโปร์ รวมทั้งที่พัก 1 ที่ คือ Swissotel the Stamford ค่ะ)














รีวิวปิดท้ายนี้เป็นกิจกรรม Ovi Adventure ค่ะ



สายๆ ของวันนั้น ทุกคนก็ไปรวมตัวกันก่อนเพื่อรอรับการบรีฟค่ะ












มีการตั้งเป้หลังซึ่งมีอุปกรณ์อยู่ภายในเรียงรายไว้ให้ด้วย



(เป้นี่ จบงานแล้วก็ยกให้เลยอีกต่างหากค่ะ ซึ่งกลุ่มเราก็ให้คนที่แบกมาตลอดการเดินทางไป )















ของเรามีกัน 8 คนแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มค่ะ Team I และ II
















ส่วนนี่ก็คือคุณ Nelson ตัวแทนฝ่ายโนเกีย แต่เค้าถูกห้ามให้ช่วยนะคะ แต่ก็มีแอบๆ ช่วยบ้าง
















จากนั้นเจ้าหน้าที่ของทาง Ovi ก็ออกมาบรีฟให้ฟังค่ะ ว่าจะมีคำสั่งบอกไว้ในซองว่าต้องทำอะไร เมื่อทำเสร็จแล้วก็ต้องไปแสดงให้ Game Master ดู จากนั้นก็จะได้รับซองคำสั่งต่อไป เพื่อปฏิบัติภารกิจต่อ ทีมไหนที่ทำเวลาได้น้อยที่สุด ก็จะเป็นผู้ชนะ โดยเอาทั้งหมด 3 ลำดับค่ะ

















หลังจากเลือกหัวหน้าทีมและผู้รับผิดชอบถือเป้เรียบร้อยแล้ว ก็ส่งหัวหน้าทีมไปรับเป้ค่ะ


















จากนั้นก็เริ่มค้นเป้ค่ะ ก็มีโทรศัพท์ N97 กับ N86 8MP มาให้ค่ะ พร้อมกับน้ำดื่มตามจำนวนคน ซองภารกิจอันแรก แล้วก็ wristband ของแต่ละทีมค่ะ เราได้แบบสามสี เหลือง-แดง-เขียว หุๆ























ส่วนนี่ก็คือซองคำสั่งค่ะ หน้าตาจะเป็นอย่างนี้ทุกโจทย์ ต้องแกะซองก่อนถึงจะเจอโจทย์อยู่ข้างในค่ะ แต่เค้ายังไม่ให้แกะ ให้รอสัญญาณก่อน แล้วก็ออกมาแกะที่นอกห้องบรีฟ ใครทำตามโจทย์ได้สำเร็จก็ให้เข้าไปแจ้งที่ Game Master ที่จะรออยู่ในห้องค่ะ

















โจทย์อันแรก เค้าให้สร้าง Ovi Account ก่อนค่ะ โดยใช้โนเกีย N97 ในการสร้าง พอทำสำเร็จจะได้ sms ก็โชว์ sms กับ Game Master จากนั้นจะได้ clue ต่อไปค่ะ




















จากนั้นเราก็ได้ clue ต่อไปให้ไปที่ Ocean Marina (จำผิดมั้ยหว่า?) จะมีห้างอยู่อะค่ะ ให้ไปที่โรงภาพยนตร์ แล้วก็จะได้ clue ต่อไปค่ะ

ซึ่ง...วิ่ง-สู้-ฟัดกันสุดฤทธิ์ 555+




















จากนั้นก็ได้ clue มาอีกอัน ให้ไปถ่ายรูปกับเมอไลอ้อนในท่าที่ครีเอทที่สุด แล้วก็อัพรูปนั้นขึ้นที่ Ovi ค่ะ แล้วก็โชว์ให้ Game Master ดูเพื่อที่จะได้ clue ต่อไป

ในรูปที่เห็นกลุ่มหนึ่งนั่น เป็นประเทศไทยทีมแรกนะคะ


























Clue ต่อไปคราวนี้มีให้เงินมาด้วย 40 เหรียญค่ะ ให้ไปที่ Jones the Grocer โดยแท็กซี่ค่ะ ที่ให้มา 40 เหรียญเพราะว่าแท็กซี่ของที่นี่ คันหนึ่งนั่งได้แค่ 4 คน (ข้างหลัง 3 ข้างหน้า 1 ไม่รวมคนขับค่ะ) แล้วทีมหนึ่งนี่มีประมาณ 5 คนน่ะค่ะ ต้องแยกกันนั่ง เค้าคงคำนวณแล้วค่ะว่า คันหนึ่งไปยังจุดหมาย ไมน่าจะเกินคันละ 20 เหรียญน่ะค่ะ




















แท็กซี่ที่นี่เหมือนจะรับบัตรเครดิตด้วยนะคะ (หรือเปล่าหว่า?) เพราะเห็นเครื่องนี้ก็เลยคิดว่าน่าจะได้อะค่ะ


















มีจอบอกชื่อคนขับและเวลาที่เราเริ่มขึ้นรถด้วยหละค่ะ



















วันนั้นคันเรานั่งแท็กซี่หมดไป 7.6 เหรียญ คือ..ที่ที่ไปนี่ ไม่มีในแผนที่สิงคโปร์ที่เค้าแจกนักท่องเที่ยวอะค่ะ คือ..มันเลยออกไปนอกแผนที่อีกง่ะ ยังคิดเลยว่า ถ้าจะไปเองนี่ต้องทำไงหว่า เหอๆ (จำได้แต่ Dempsey Hill ง่ะ )













ถึงแล้วค่ะ ร้าน Jones the Grocer (หลังจากวนหาบล็อก 9 แทบตาย เหอๆ)

















ไปถึงที่นี่ เราต้องไปยื่นคูปองเพื่อสั่งเครื่องดื่มค่ะ ซึ่งมีให้เลือก 2 อย่างระหว่างไอซ์ลาเต้หรือเบอร์รี่ไอซ์ทีค่ะ













ยื่นที่เคาน์เตอร์นี่ค่ะ














จากนั้นที่ใต้แก้วที่ให้มาจะมีโลโก้ค่ะ ก็ไปยื่นที่ Game Master เพื่อให้ได้ Clue ต่อไปมา















คราวนี้เค้าให้ไปใช้ Handwriting Calculator โดยดาวน์โหลดมาใช้ค่ะ แล้วก็ทำการคำนวณตามโจทย์ที่ให้มา ก่อนจะนำไปส่งให้กับ Game Master (จะเห็นว่าโจทย์ที่เค้าตั้งนี่ สอดคล้องกับสิ่งที่เค้าต้องการโปรโมทเลยนะคะ ตั้งโจทย์เก่งดีค่ะ )


















น้องชั้น หน้าดำคร่ำเครียดจริงๆ (ไม่มีเจ้า พวกพี่ก็คงแย่อะนะ แหะๆ)



















จากนั้นเค้าให้เราเดินจากที่ร้าน Jones ไปยังร้านอาหารฝรั่งเศสซึ่งเป็นร้านที่เราจะรับประทานอาหารกลางวันกันค่ะ โดยใช้ N86 8MP + โนเกียแม็พอะค่ะ















ก่อนเริ่มเดินก็แอบเห็นฝั่งตรงกันข้ามค่ะ ใครช่วยบอกทีว่า..น่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับม.ธรรมศาสตร์มั้ยคะ

ดูทั้งชื่อร้านทั้งสีสันของป้ายแล้ว มันน่าสงสัยมั้ยหละ





















จากนั้นก็เริ่มเดินกันค่ะ โดยเลือกโหมด walk นะคะ ซึ่ง amazing สุดๆ อ้ะ บอกชัดเจนมากว่าเลี้ยวไปทางไหน (เหมาะกับ job ข้าพเจ้าอย่างยิ่ง 55+) แต่ของเราไม่รู้ว่าพลาดตรงไหนค่ะ เพราะพอถึงหัวถนนซึ่งเป็นถนนที่ร้านอาหารอยู่ มันก็บอกว่าถึงแล้วค่ะ เลยต้องงมหาอยู่พักหนึ่งเลย



(แต่ของเพื่อนทีมไทยด้วยกันอีกทีม ไม่เป็นนะคะ บอกจนกระทั่งถึงร้านเลย เลยไม่รู้ว่าของเราพลาดตรงไหนง่ะ แหะๆ ไม่เข้าใจเหมือนกันค่ะ)












และแล้วเราก็ถึงร้านสักทีค่ะกับร้าน Au Petit Salut (ใครเก่งภาษาฝรั่งเศส ช่วยแปลหน่อยแล้วกันค่ะ) ที่อยู่ในรถนั่นมีช่างภาพด้วยนะคะ รอดักถ่ายรูปสุดฤทธิ์

เราไปถึงเป็นทีมเกือบรองสุดท้ายแหนะค่ะ แต่ทีมไทยอีกทีมถึงเป็นที่ 4 เสียดายเหมือนกัน เกือบได้รางวัลแล้วมั้ยหละ เสียดายๆ แหะๆ


















หลังจากเซ็นชื่อและคืนโทรศัพท์พร้อมเงินที่เหลือเรียบร้อยแล้ว ก็ไปนั่งประจำโต๊ะกันค่ะ ของประเทศไทยได้ 1 โต๊ะเต็มๆ (เพราะไปกัน 8 คน รวมคนของโนเกียอีก 2 ท่านก็พอดีแหละค่ะ)



บนโต๊ะจะมีเมนูให้เลือกค่ะว่าจะเลือก Entrees / Main Course / Dessert อะไรกันบ้างค่ะ

















บรรยากาศโดยรวมของร้านค่ะ















Set Up บนโต๊ะค่ะ


















Entrees ค่ะ เราเลือก Lobster bisque with tarragon and lobster ravioli ค่ะ


















เมนคอร์สเราเลือก Crispy French duck leg confit with green lentils stew and yellow frisee salad, walnut dressing

















ก่อนของหวานจะมา ก็มีการประกาศผลของ Ovi Adventure ค่ะ ทีมที่ชนะเป็นทีมออสเตรเลียค่ะ

























ปิดท้ายการรีวิวงานนี้ด้วยรูปของหวานนะคะ Choux buns filled with vanilla ice cream in warm chocolate sauce topped with sliced almonds ค่ะ



















สรุปสำหรับการไปงาน Nokia Connection 09 ครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ดีๆ ของตัวเองในการเดินทางอีกครั้งหนึ่งค่ะ ได้เห็นและได้เจออะไรที่แตกต่างไปจากทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวโทรศัพท์รุ่นใหม่ๆ (ที่ทำให้รู้ว่า ตัวเองเริ่มห่างหายการอัพเดทข้อมูลไปเยอะเหลือเกิน) ปาร์ตี้ที่พิพิธภัณฑ์ หรือกิจกรรม Ovi Adventure ซึ่งทำให้เปิดหูเปิดตาตัวเองพอสมควร














ขอบคุณทุกท่านสำหรับการแวะมาหากันนะคะ

362778/4084/349






 

Create Date : 30 มิถุนายน 2552    
Last Update : 30 มิถุนายน 2552 16:28:45 น.
Counter : 1864 Pageviews.  

~* ~* ~* ~* ~* ~* Singapore Trip with Nokia Connection 09 : Party@the Museum ~* ~* ~* ~* ~* ~*





หลังจากปล่อยรีวิว Singapore Trip with Nokia Connection 09 แล้ว 2 บล็อกอันได้แก่

1. การเดินทางสู่สิงคโปร์ ลิงค์นี้ (คลิกเพื่ออ่าน)

2. งาน Nokia Connection 09 กับการเปิดตัวโทรศัพท์ 3 รุ่นใหม่ ลิงค์นี้ (คลิกเพื่ออ่าน)





วันนี้จะเป็นค่ำคืนของปาร์ตี้แล้วค่ะ ซึ่งครั้งนี้ โนเกียทำเก๋ด้วยการจัดปาร์ตี้ที่พิพิธภัณฑ์ Peranakan ค่ะ






พิพิธภัณฑ์ Peranakan ก็เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับชาว Peranakan นะคะซึ่งก็คือการผสมชาติพันธุ์ระหว่างคนเชื้อชาติจีนกับคนท้องถิ่น (ในพิพิธภัณฑ์นี้จะเน้นไปที่คนท้องถิ่นที่เป็นชาวชวา หรือมาเลย์ค่ะ) ซึ่งชาว Peranakan ในไทยก็มีอยู่ที่ภูเก็ตค่ะ แต่ว่า..ในพิพิธภัณฑ์นี้กลับไม่บอกว่าที่เมืองไทยมีแฮะ (ใครเก่งๆ ช่วยเมล์ไปบอกข้อมูลเค้าหน่อยสิคะ เพราะเค้ามีแผนที่บอกว่าชาว Peranakan มีที่ไหนบ้าง แต่ไม่ยักกะมีของภูเก็ตง่ะ)


ชาว Peranakan ของภูเก็ต ก็อย่างที่เรารู้จักในนามจีนบ๊ะบ๋ากับจีนยองยานั่นเองค่ะ อ่านข่าวที่น่าสนใจที่เกี่ยวข้องกับชาว Peranakan ของไทยได้ที่ ลิงค์นี้ค่ะ (คลิกเพื่ออ่าน)











ตัวอาคารที่นำมาใช้ทำเป็นพิพิธภัณฑ์นี้ แต่เดิมเป็นโรงเรียนค่ะ การก่อสร้างอาคารนี้ก็มีมาตั้งแต่ปี 1910 แหนะค่ะ ก็แค่ 99 ปีเองเนาะ
















โต๊ะในงานนี้ก็จัดได้เก๋ดีค่ะ ชอบเชียว เสียแต่เก้าอี้มันนั่งยากไปนิดสำหรับคนตัวเตี้ยอย่างเราอ้ะ
















จากนั้นเข้าไปในงานช่วงแรกก็ดื่มเครื่องดื่มกันก่อนค่ะ มีทั้งแบบ non-alcohol และแบบมี alcohol ค่ะ



















หลังจากคุณ Ai-Fong Wong ผู้อำนวยการฝ่ายการศึกษา ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ของโนเกีย มากล่าวอะไรเล็กน้อย พร้อมกับบอกรอบและเวลาสำหรับการทัวร์พิพิธภัณฑ์ ซึ่งจะจัดให้ภายหลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว





จะเห็นว่าของไทยนี่เป็นรอบสุดท้ายเลยค่ะ สงสัยกะให้เรากินได้เยอะๆ อิอิ














จากนั้นเราก็เคลื่อนย้ายตัวเองจากห้องโถงกลาง ซึ่งเป็นที่ตั้งโต๊ะให้ได้รับประทานอาหาร













สู่ห้อง Ixora ซึ่งเป็นที่ตั้งของไลน์อาหารค่ะ

















นอกจากตัวไลน์อาหารบุฟเฟท์แล้วก็มีซุ้มอาหาร 2 ซุ้มค่ะ (เนื่องด้วยข้อจำกัดของพื้นที่ ทำให้อาจจะมีผลต่อการจำกัดของประเภทอาหารด้วยค่ะ แต่ก็ถือว่าเยอะใช้ได้นะคะ)

แล้วก็...ไม่แน่ใจนักนะคะ แต่คิดว่าอาหารที่เลือกมาทั้งหมด น่าจะเป็นอาหารของ Peranakan ด้วยน่ะค่ะ





ซุ้มแรกค่ะ กับ Laksa













อีกซุ้มหนึ่งเป็นซุ้มปอเปี๊ยะ และ..อ่า..ไม่รู้ว่าภาษาเขาเรียกว่าอะไร แต่คล้ายๆ กระทงทองบ้านเราค่ะ











หน้าตากระทงทองกับปอเปี๊ยะค่ะ เหมือนบ้านเราเนาะ แต่ตัวปอเปี๊ยะ ไม่มีน้ำราด แล้วก็ข้างในนี่คล้ายๆ ผัดไทยซะงั้นค่ะ











แล้วก็ปอเปี๊ยะนี่เป็นอาหารอีกชนิดที่เราเรียกชื่อโดยการถอดเสียงดั้งเดิมมาเลยมั้งคะนี่


















แล้วก็ไลน์อาหารบุฟเฟท์ค่ะ









ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น ไปดูกันเล้ย (ภาพพร่าไหวหน่อยนะคะ พยายามแล้วง่ะ แหะๆ )

ตัวซ้ายมือสุดนี่อร่อยค่ะ คล้ายๆ หมูชะมวงที่ไม่มีใบชะมวงอะค่ะ อร่อยดี
















หมี่ผัดค่ะ ส่วนที่ไกลๆ นั่นจำไม่ได้แล้วว่าอะไร
(เพราะเราแทบไม่ได้กินอาหารจากไลน์บุฟเฟท์เลยค่ะ เดี๋ยวจะให้ดูว่ากินอะไรบ้างเนาะ)















ต่อไปค่ะ (ง่า..ภาพเบลออย่างแรง ขออภัยจริงๆ ค่ะ )
















ส่วนตัวนี้ ขอบอกว่า..คล้ายห่อหมกบ้านเราอย่างแรงค่ะ เพียงแต่รสไม่เผ็ดจัดเท่าของเรา แต่อย่างอื่นเหมือนมากมาย














ยังคงเบลอและพร่าไหวต่อไป แล็คขวามือนี่เป็นเนื้อวัวนะคะ















ผลไม้และของหวานค่ะ















สำหรับที่เราทานวันนั้น อย่างแรกเลยคือหลักซาค่ะ เติมพริกเผาไปอีกช้อนพูน หุๆ เลยไม่เลี่ยนเลย

ที่เราเลือกหลักซา เพราะตอนนั้นไลน์อื่นคนแน่นไปหมดเลยค่ะ
(จะเห็นว่า ไลน์อาหารที่เราไปถ่ายรูปนั้นพร่องไปเยอะแล้ว เพราะไปถ่ายตอนเขาตักเสร็จแล้วค่ะ)
















แล้วก็ปอเปี๊ยะ (ที่ไส้เหมือนผัดไทย) กระทงทอง (รสชาติยังไม่กลมกล่อมแบบไทยนะคะ..ใช้ลิ้นไทยตัดสินอะนะ ) ห่อหมกแล้วก็ที่บอกว่าคล้ายๆ หมูชะมวงอะค่ะ















จากนั้นก็เป็นผลไม้และของหวานค่ะ ตัวขนุนนี่เค้าไม่ได้เอาเม็ดออกเหมือนบ้านเราอะค่ะ อ้อๆ ตัวแตง (จะเรียกว่าแคนตาลูปดีมั้ย หือม์? ) ของที่โน่นกินทั้งไลน์อาหารเช้า 2 วัน ทั้งที่นี่ หวานตลอดเลยนะคะ อร่อยดี ชอบๆ

ส่วนตัวสีเขียวขาวนี่เป็นของหวานค่ะ รสชาติคล้ายๆ ข้าวเหนียวตัดบ้านเรา แต่เค้าไม่มีกะทิ+ถั่วดำราดหน้าเหมือนบ้านเราเท่านั้นเองอะค่ะ แต่รสชาติค่อนข้างคล้ายเลย


















หลังจากนั้นก่อนจะเข้าชมมิวเซียม ก็มีการจับรางวัลให้กับผู้โชคดี ด้วยการจับจากใบ comment ที่ให้มาสำหรับคอมเม้นท์งานในวันนี้ (ก็ Nokia Connection 09 ที่รีวิวไปเมื่อบล็อกที่แล้วน่ะค่ะ) ซึ่งคนที่ได้ไป จำไม่ได้ว่า..ชาวอินโดนีเซียหรือไงเนี่ยค่ะ
















จากนั้นก็เป็นการชมมิวเซียมค่ะ เอาภาพมาเกริ่นๆ เป็นการเรียกน้ำย่อยก่อนนะคะ

เพราะจะทำรีวิวแยกแบบละเอียดๆ อีกครั้งหนึ่งนะคะ



















บล็อกหน้า เราจะพาไปร่วมกับกิจกรรม Adventure ของ Nokia กันนะคะ กับความน่าทึ่งของมือถือ Nokia และ Ovi Map ค่ะ













ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอ่านบล็อกนะคะ

360632/4076/348






 

Create Date : 25 มิถุนายน 2552    
Last Update : 25 มิถุนายน 2552 15:08:49 น.
Counter : 1919 Pageviews.  

~* ~* ~* ~* ~* ~* Singapore Trip with Nokia Connection 09 เปิดตัว Nokia 3 รุ่นใหม่ ~* ~* ~* ~* ~* ~*






หลังจากได้บอกเล่าเรื่องราวการเดินทางสู่สิงคโปร์ เพื่อมาร่วมงาน Nokia Connection 09 ไปแล้วที่ ลิงค์นี้ (คลิกเพื่ออ่าน)



วันนี้จะพาไปชมงานพร้อมๆ กันค่ะ กับงาน Nokia Connection 09













งานจัดที่ห้อง Padang ซึ่งจะอยู่ในส่วนของ Raffle City Convention Centerแหละค่ะ ซึ่งงานในวันนั้นทั้งหมดแบ่งออกเป็นหลายช่วงกิจกรรมค่ะ ตอนเช้าเป็นการเปิดตัวงานและโทรศัพท์รุ่นใหม่ 3 รุ่น ช่วงบ่ายเป็น Media Workshop และช่วงเย็นจะเป็นช่วงของการสัมภาษณ์ผู้บริหารค่ะ














เปิดงานด้วยพิธีกรสาวสวยนะคะ และการกล่าวเปิดงานโดยคุณ Chris Carr ซึ่งเป็น Vice President ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิคของโนเกียค่ะ

















จากนั้นคุณ Mary McDowell ได้กล่าวเกริ่นนำเข้าสู่การเปิดตัวของโทรศัพท์ 3 รุ่นใหม่ หลังจากที่รุ่น N97 เพิ่งจะออกสู่มือของคนไทยไปเมื่อวันศุกร์ที่ 19 มิ.ย.ที่ผ่านมา





(รุ่นนี้สีขาวสวยมั่กๆ ง่ะ ซึ่งพออีกวันที่ได้ใช้เพื่อทำกิจกรรม Nokia Adventure นะ แบบว่าอย่าง Amazing อ้ะ )













โนเกียเค้าค่อนข้างเล็งไปที่การรองรับบริการด้านอื่นๆ โดยโทรศัพท์มือถือ - พวกโซลูชั่นต่างๆ ให้มากขึ้นน่ะค่ะ เพราะความต้องการของผู้บริโภคเองก็มีการเปลี่ยนแปลงไปเยอะ อย่างสังคมทางอินเตอร์เนต ก็มีความเติบโตขึ้นค่อนข้างสูง (อย่าง hi5 นี่ ในไทยจะเห็นชัดมั่กๆ)

ดังนั้นโซลูชั่นต่างๆ ที่ทางโนเกียใส่ไว้ให้สำหรับโทรศัพท์ อย่าง Ovi Store และ Come with Music (ซึ่งอย่างหลัง หลายคนคงอยากให้มาเมืองไทย แต่..หุๆ เดี๋ยวจะบอกเหตุผลค่ะว่าทำไมมันถึงมาไทยไม่ได้ซักที) ก็เป็นการพัฒนาเพื่อรองรับความต้องการที่เปลี่ยนไปด้วยค่ะ ซึ่งปัจจุบัน ประเทศที่มีการให้บริการทั้งสองอย่างนี้ก็ตามรูปข้างล่างเลยค่ะ

















หรืออย่างบริการ Ovi Mail ซึ่งน่าสนใจมากๆ เรียกว่า เหมาะสำหรับคนที่ติดต่อทางอีเมล์เป็นหลัก ซึ่งสามารถทำการเช็คเมล์ และบริการอื่นๆ ฯลฯ ได้จากมือถือโนเกียถึง 40 รุ่นเลยค่ะ
















จากนั้นก็มาถึงไฮไลท์หนึ่งของงานค่ะ คือการเปิดตัวโทรศัพท์รุ่นใหม่ทั้งสามรุ่น ซึ่งจะวางสู่ท้องตลาดภายในปีนี้


รุ่นแรก E72





















รุ่นต่อไปค่ะ 5530 XpressMusic ตัวนี้เหมาะสำหรับคนชอบเพลงค่ะ

















และรุ่นสุดท้ายค่ะ กับ 3710 fold

















จากนั้นก็เป็นการเปิดตัวเข้าสู่การชมและสัมผัสกับโทรศัพท์ทั้งสามรุ่น โดยแต่ละรุ่นก็มีเซเลบของสิงคโปร์เป็นพรีเซนเตอร์ค่ะ

มากันเป็นคู่ๆ คู่ละรุ่นค่ะ
















หลังจากนั้นแต่ละคนก็แยกย้ายกันไปดูตามบู๊ทต่างๆ ค่ะ

มาดู E72 ตัวจริงกันหน่อยนะคะ ตัวรูปร่าง เราว่าไม่ค่อยเหมาะกับผู้หญิงบอบบาง (อย่างเรา? ) เท่าไหร่ค่ะ

แต่ถ้าเรื่องการใช้งานเรื่องอีเมล์ ค่อนข้างโอเคนะคะ (สังเกตจากจอนะคะ)



ตัวการใช้งานเรื่องอีเมล์นี่รองรับการใช้งานทั้ง Push Email และสามารถแนบไฟล์ (attachment) ได้ด้วยค่ะ











เทียบขนาดให้เห็นชัดๆ กับนิ้วเราค่ะ



จะเห็นว่าแป้นกดเป็น QWERTY เต็มรูปแบบเลยนะคะ (คือแป้นกดแบบพิมพ์ดีดหรือแบบคีย์บอร์ดคอมฯ เราหนะแหละค่ะ)













แต่พออยู่ในมือชายหนุ่มแล้ว มันก็โอเคอยู่นะคะ ด้านข้างจะมีปุ่มสำหรับการซูมอิน-ซูมเอ้าท์ภาพที่หน้าจอด้วยค่ะ

ปุ่มบนสำหรับ zoom in ค่ะ และปุ่มล่างสำหรับ zoom out

















แล้วดูเวลาเข้าเว็บซะก่อน















เมนูค่ะ สวยดีนะคะ จะเห็นว่ามีไอคอนสำหรับ Ovi Store โดยตรงด้วย ซึ่งรุ่นแรกที่มีไอคอนนี้ก็คือ N97 หนะแหละค่ะ





เท่าที่สอบถาม ราคาก่อนภาษีอยู่ที่ 350 ยูโร (ประมาณ 16,700 บาทค่ะ)

เห็นบอกว่าจะออกวางจำหน่ายเดือนกันยายนปีนี้นะคะ




























ต่อไปก็ 3710 fold ค่ะ ตอนที่ยังพับอยู่นี่ หน้าตาผ่านมาก (เจ้าของบล็อกเป็นคนบ้ามือถือแบบฝาพับค่ะ 5 เครื่องที่ใช้มานี่เป็นแบบฝาพับทั้งหมด เพราะจขบ.มีฉันทคติว่ามันสวยกว่าแบบที่เป็นแท่งทื่อๆ อะค่ะ แหะๆ )





(ใครอยากรู้ว่ามีคุณสมบัติคร่าวๆ อย่างไรบ้าง อ่านได้เลยนะคะ 3G ด้วยหละ)














พอเปิดฝาพับออกมา เราว่าตัวสีขาวดูอ้วนๆ ไปหน่อย แต่ตัวสีดำ (ด้วยสีแหละค่ะ เพราะขนาดมันก็เท่ากัน) โอเคค่ะ




ราคาก่อนภาษีของรุ่นนี้ อยู่ที่ 140 ยูโรค่ะ (ประมาณ 6670 บาท) ถูกที่สุดแล้วใน 3 รุ่นที่เปิดตัวในงานนี้ค่ะ

ตัวนี้จะออกทีหลังสุดในบรรดาสามรุ่นนะคะ บอกว่าจะออกไตรมาสที่สี่ ก็ราวๆ ปลายปีเลย















และรุ่นสุดท้ายค่ะ (ของการเปิดตัวในงานนี้) กับ 5530 XPRESSMUSIC





รุ่นนี้ อย่างที่บอกนะคะ เหมาะสำหรับคนรักเสียงเพลง เป็นรุ่นที่ลำโพงเป็น 3D Stereo Speaker ในตัวด้วย
(เดี๋ยวตอนช่วงบ่ายจะพาไปเจาะลึกมากขึ้นนะคะ)

ราคาเท่าที่ถาม อยู่ที่ 199 ยูโร (ประมาณ 9500 บาทค่ะ) วางจำหน่ายประมาณกรกฎาคม-สิงหาคมปีนี้ค่ะ



ข้อแตกต่างระหว่าง 5530 กับ 5800 XpressMusic ซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่ออกมาก่อนก็คือในเรื่องของวัสดุค่ะ เพราะตัวขอบของ 5530 เป็นสแตนเลสทำให้ทนทานมากขึ้น รุ่นนี้มีให้เลือกทั้งหมด 5 สีค่ะ



















ในงานมีบู๊ทของ Ovi โดยเฉพาะด้วยค่ะ












ช่วงนี้ชี้แนะ

การไปงานนี้ ข้อสงสัยประการหนึ่งที่สาวไกด์ฯ ได้รับความกระจ่างก็คือ

เวลาไปที่ฮ่องกง แล้วไปถามราคามือถือโนเกีย ราคาที่โน่นจะไม่ต่างจากที่ไทยนักค่ะ คือถูกกว่าก็ไม่เกิน 3000 ส่วนใหญ่จะแค่ 1000-2000 บาทมากกว่า

ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะนโยบายโนเกียที่ต้องการให้ราคาแต่ละที่ไม่แตกต่างกันมาก ดังนั้นจะเป็นราคาเดียวกัน (หรือใกล้เคียงกัน) ทั่วโลกค่ะ ซึ่งโรงงานที่ผลิตมี 8 แห่งทั่วโลก ส่วนประเทศไหนจะขายที่ผลิตจากโรงงานที่ไหน ขึ้นอยู่ว่าการขนส่งจากไหนไปไหนสะดวกสุด ประหยัดสุดค่ะ

แต่กรณีถ้าเป็นรุ่นแบบ premium ซึ่งไม่คุ้มกับการกระจายการผลิต ก็จะผลิตแค่บางแห่งแล้วใช้การขนส่งเอาค่ะ














จากนั้นในช่วงบ่ายหลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้วเราก็ตรงไปที่ห้อง Bras Basah ซึ่งจัด Media Workshop















ตัวขวดน้ำกับลูกอมเก๋ดีค่ะ ช่างคิดดี นี่ถ้าทางโนเกียทำเป็นโลโก้ตัวเองด้วย จะเก๋ยิ่งกว่านี้
(ทำเป็นเล่นไปค่ะ เคยเจอบริษัทยากับบริษัทขายตรงทำขวดน้ำให้กลายเป็นยี่ห้อตัวเองมาแล้ว
แต่ลูกอมนี่เรายังไม่เคยเจอนะคะ เพิ่งเจอก็ที่นี่แหละ เก๋ได้อีก)


















โดยท่านแรกที่มาพูดในช่วงบ่ายนี้ก็คือ คุณ Loren Shuster ค่ะ ซึ่งเป็น Head of Marketing ของภาคพื้นเอเชียแปซิฟิคเช่นกัน















สถิติหนึ่งที่น่าสนใจค่ะ เห็นตัวเลขแล้วพอเข้าใจเลยใช่มั้ยคะว่า ทำไมโนเกียถึงเน้นพัฒนาโทรศัพท์และโซลูชั่นต่างๆ ในการรองรับเรื่องของเมล์ อินเตอร์เน็ต แผนที่และอื่นๆ



(ป.ล.จุดแข็งหนึ่งที่เราเห็นมากๆ ในแบรนด์ของโนเกียคือ การบริการต่างๆ นานา ไม่ว่าจะดาวน์โหลดเพลง ฯลฯ ส่วนใหญ่จะค่อนข้างซัพพอร์ทกับโทรศัพท์ของโนเกียเยอะมากๆ ค่ะ (จนทำให้คนที่ใช้โทรศัพท์ยี่ห้ออื่นเพียงคนเดียวในครอบครัวอย่างเรา โดนเยาะเย้ยประจำ เหอๆ ) ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเพราะการพัฒนาระบบเพื่อรองรับของโนเกียเอง หรือเป็นเรื่องของ Connection ระหว่างโนเกียกับบริษัทในประเทศไทยกันแน่นะคะ)













อย่าง Ovi ก็มีบริการหลักๆ อยู่ 5 อย่างค่ะ คือ map&navigation / music / message / game / media















โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของ map&navigation นี่น่าสนใจมากๆ สำหรับคนช่างเดินทางอย่างเราค่ะ

แค่ตอนเห็น 6710 Navigator 6720 Classic และ N76 8MP ในงานนี่ก็ตะลึงๆ แล้ว







เดี๋ยวถ้าพาไปดูรายละเอียดต่อ จะอึ้งกว่านี้ค่ะ รอแป๊บหนึ่งนะ




















จากนั้นก็จะเป็นคุณ Nelson Wee มาพรีเซนต์เรื่องของ Ovi Store ค่ะ



(คุณเนลสันเป็นคนหนึ่งที่ร่วมทีม Adventure ของทีมเราในอีกวันด้วยค่ะ เป็นคนไนซ์ดีค่ะ )



















สามตัวนี้ของเขาก็น่าสนใจดีนะคะ

ตัวสุดท้ายคือ ถ้าเราเอามือไปปัดๆ บังๆ ที่หน้าจอ (ไม่ต้องแนบนะคะ ห่างจากตัวเครื่องก็ได้) จะทำให้เสียงเงียบลงค่ะ























เรียกได้ว่าเป็นที่สำหรับ One-Stop Shop จริงๆ






















เอาหละค่ะ ถึงเวลาสำหรับ Ovi Maps แล้ว ซึ่งวิทยากรช่วงนี้คือคุณ Leong-Yan Yoong ค่ะ (คนนี้ถ่ายรูปยากมากๆ เพราะแกเคลื่อนไหวตลอดเวลา)















สองปีที่ผ่านมา การเดินทางด้วยรถสามารถใช้ Ovi Map เป็นสิ่งช่วยนำทางให้กับได้มากกว่า 70 ประเทศค่ะ
















น่าสนใจสำหรับคนช่างเดินทางอย่างเรามั้ยหละคะ? เจ๋งดีอ้ะ





















มีบอกแม้กระทั่งเส้นทางการไปโดยรวม เลนในการวิ่ง หรือการจำกัดความเร็วอีกต่างหาก
















และสำหรับผู้ที่ชอบความเร็ว (จนเผลอฝืนกฎในบางครั้ง - อย่างแฟนข้าพเจ้า) มีเตือนเรื่องกล้องตรวจจับความเร็วอีกต่างหาก แถมพกด้วยสภาพการจราจรขณะนั้นอีก

















แต่..เดี๋ยวก่อน ไม่ใช่แค่สำหรับรถเท่านั้น แม้กระทั่งการเดินด้วยเท้า (มันมีการเดินด้วยอย่างอื่นด้วยหรือไงยะแก ) ก็ยังสามารถใช้ได้อีกต่างหาก (ซึ่งเดี๋ยววันพรุ่งนี้เราจะทำการพิสูจน์ในกิจกรรม Adventure ค่ะ)



อย่างถ้าไปประเทศที่ต้องเดินเที่ยวเองเยอะๆ อย่างฮ่องกง ก็น่าจะช่วยได้เยอะเลยค่ะ

หรือถ้าสำหรับไกด์หรือหัวหน้าทัวร์ยุโรปที่ไม่แน่ใจว่าที่เที่ยวบางที่ไปยังไง ใช้เจ้านี่ช่วยก็ work นะคะนี่





ที่จริงยังมีรายละเอียดเยอะกว่านี้ค่ะ เพราะตัวแม็พนี้สามารถหาได้ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว แหล่งไนท์ไลฟ์ ฯลฯ โดยใช้ข้อมูลของ Lonely Planet และ ViaMichelin ด้วยนะคะ















อ้อๆ ลืมไปค่ะ ต่อไปจะมีระบบที่สามารถบอกได้ด้วยว่า..ตอนนี้ใครอยู่ตรงไหนด้วยนะคะ เล่นเอาข้าพเจ้าก็อ้าปากค้างไปเลย เหอๆ (เหมาะสำหรับคนหวงแฟนอย่างตัวเองมากๆ )

ตัวคลิปที่เค้าเอามาให้ดู ประมาณว่าเค้าเห็นเลยว่ามีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ในเมือง ตรงบริเวณใกล้ๆ กับเค้า เค้าก็เลยไปหาเพื่อนที่ร้านอาหารได้เลย เจ๋งอ้ะ



ไม่ได้ถ่ายวีดีโอสำหรับคลิปโฆษณาตัวนี้มานะคะ ดูรูปข้างล่างไปพลางๆ ก่อนแล้วกัน (แทนกันได้มั้ยนี่)


















จากนั้นเราก็ไปพบกับคุณ Joe Hallow ซึ่งเป็น Vice President Live Category นะคะ





ช่วงนี้ชี้แนะ

ความรู้ใหม่ของสาวไกด์อีกอย่างก็คือ ที่จริงแล้ว Nokia แบ่งผลิตภัณฑ์ออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ๆ ค่ะ ก็คือ

1. Explore ก็คือพวก N Series ทั้งหลายน่ะค่ะ เหมาะสำหรับคนที่ชอบเทคโนโลยีทั้งหลาย

2. Entry สำหรับผู้ใช้ใหม่ๆ อย่างพวกรุ่น 1 2 3 หรืออย่างตระกูล 6 ทั้งหลาย

3. E-series เป็นกลุ่ม acchieve ค่ะ เหมาะกับพวกที่ต้องติดต่อธุรกิจทั้งหลาย อย่าง 5330 3710

4. Live ก็จะเป็นสำหรับคนที่ชอบดีไซน์สวยๆ จะค่อนข้างทั่วไปที่สุด อย่างตระกูล XpressMusic ก็จะอยู่ในกลุ่มนี้ค่ะ

ซึ่งนั่นทำให้บางปี โนเกียจะมีรุ่นใหม่ๆ ออกมาทีเดียวหลายๆ รุ่น เพราะมันเป็นรุ่นใหม่ของแต่ละกลุ่มอะค่ะ













ครั้งนี้คุณ Joe Hallow ก็เลยมาแนะนำตัว 5530 XpressMusic โดยเฉพาะน่ะนะคะ ก่อนอื่นเจ้าตัวก็บอกก่อนว่าเหมาะสำหรับคนที่ชอบเทคโนโลยีที่มีดีไซน์ ชอบอะไรใหม่ๆ หรือชอบสิ่งที่สะท้อนบุคลิก (คือ..ขอสารภาพว่า ในสามรุ่นนี้ สำหรับรูปลักษณ์ จขบ.ก็ชอบรุ่นนี้ที่สุดเลยค่ะ แหะๆ เสียดายแค่มันไม่ใช่ฝาพับ แต่ก็สวยใช้ได้เลยค่ะ)







ข้อมูลอื่นๆ ของรุ่นนี้นอกเหนือจากที่บอกไปตั้งแต่ตอนต้นๆ แล้วก็มีในเรื่องของการเป็น Full Touch Screen ค่ะ ส่วนสีที่มีให้เลือกที่บอกว่า 5 สี แต่จขบ.จดมาทันแค่ 4 สีคือ เทา-ดำ ขาว-ชมพู ดำ-แดง ขาว-ฟ้า ค่ะ


ในส่วนของเพลง ก็จะมีเป็นลักษณะของระยะเวลาของ license ค่ะ ซึ่งก็มีทั้ง 12 เดือนและ 18 เดือน (แบบหลังนี่มีเฉพาะบางประเทศค่ะ) แล้วก็ตัวเพลงก็จะมีทั้ง Local และ International นะคะ







ข้อมูลอื่นๆ ที่น่าสนใจก็อย่างเช่น ลักษณะการดาวน์โหลดที่แตกต่างกันระหว่างคนยุโรปกับคนไทย อย่างคนยุโรปจะชอบโหลดเข้า PC ก่อนแล้วค่อยทรานสเฟอร์ไป device แต่คนไทยจะชอบแบบ direct device (โหลดเข้ามือถือโดยตรงเลย เป็นต้น) มากกว่าค่ะ (เพราะงั้น..โทรศัพท์ที่รองรับการดาวน์โหลดต่างๆ ได้โดยตรง น่าจะเหมาะกับจริตคนไทยมากกว่า )


ส่วนหนึ่ง อาจจะเป็นเพราะถ้าเทียบกับจำนวนประชากรแล้ว คนยุโรปแทบทุกครัวเรือนมี PC เหมือนมีโทรทัศน์อยู่ที่บ้านกันค่อนข้างเยอะกว่าคนไทยนะคะ แต่คิดว่า ต่อไปในอีกไม่กี่ปี คนไทยเองแทบทุกครัวเรือนก็น่าจะมี PC หรือ Notebook ในเปอร์เซนต์ที่ใกล้เคียงกันแหละค่ะ




หรืออย่างการฟังเพลง คนยุโรปก็เน้นใช้หูฟัง แต่คนไทยจะชอบเรื่องการฟังโดยเปิดลำโพงของโทรศัพท์โดยตรงเลย (คนไทยชอบแบ่งปันกัน..หรือเปล่าหนอ )











ปิดท้ายด้วยการสัมภาษณ์คุณ Chriss Carr ค่ะ



ในระหว่างการสัมภาษณ์ก็มีการถามถึง Come with Music ว่าเมื่อไหร่จะมาเมืองไทย ซึ่ง..คุณ Chriss Carr ก็ตอบประมาณว่า การที่จะดูว่า Come with Music จะไปที่ประเทศไหน ต้องดูลักษณะการบริโภคเพลงของแต่ละประเทศด้วย

เช่น เน้นการบริโภคเพลงแบบถูกกฎหมายหรือเปล่า? (เข้าใจหรือยังคะ? ว่าทำไมยังมาไทยไม่ได้ง่ะ ) แต่ขณะเดียวกัน ถ้าทางโนเกียได้ให้ข้อเสนอว่า คุณได้ฟังเพลงฟรีเช่นกัน แต่เป็นการฟรี by device คือ offer มากับตัวเครื่องแล้ว แถมเป็นจำนวนมากด้วย มันก็น่าสนใจไม่น้อย

แต่อย่างไรก็ตาม Come with Music คงยังไม่มาไทยภายในเร็วๆ นี้แน่นอนค่ะ (คุณคริสบอกว่า "Not planed in short term" ง่ะ )







นอกจากนั้นคุณ Chriss เองก็พูดในเรื่องของการเติบโตของ Social Networking ที่ว่าเติบโตมาก ดังนั้นผู้บริโภคก็จะหามือถือที่รองรับ social networking ต่างๆ แต่อย่างไรก็ตามโครงสร้างของการบริการในแต่ละประเทศเองก็มีผลด้วยเช่นกัน ประมาณว่า ต่อให้เครื่องทำได้ แต่ถ้าประเทศนั้นๆ ไม่มีระบบ ก็ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อะค่ะ
(ถึงตรงนี้ก็มีคนพูดเรื่อง 3G ในไทยว่าจะมีเมื่อไหร่ ซึ่งคุณหนุ่ย - หนึ่งในสื่อฯ ที่ไปด้วยกัน ก็บอกว่า ทราบมาว่าน่าจะ 5 ธันวาปีนี้ค่ะสำหรับ TOT ของบ้านเรา)














โอ้วววววว เพิ่งเห็นว่าบล็อกคราวนี้ยาวมั่กๆ แหะๆ แบบว่า..มีเนื้อหาที่อยากบอกเล่าเยอะค่ะ สำหรับเรามันดูตื่นตาตื่นใจไปหมด ที่มาบอกมาเล่านี่ก็ใช่ว่าตัวเองจะรู้เรื่องเทคโนโลยีอะไรมากมายค่ะ แต่ก็เขียนในฐานะผู้บริโภคคนหนึ่งที่อยากแบ่งปันสิ่งที่รู้มาให้ผู้บริโภคด้วยกันได้รู้เท่านั้นเอง


หวังว่าคงพอจะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆ ที่มาอ่านกันบ้างนะคะ

















ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาที่บล็อกเราค่ะ

359313/4069/347







 

Create Date : 22 มิถุนายน 2552    
Last Update : 22 มิถุนายน 2552 8:14:57 น.
Counter : 1946 Pageviews.  

~* ~* ~* ~* ~* ~* Singapore Trip with Nokia Connection 2009 ~* ~* ~* ~* ~* ~*






แม้ว่า..ไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับการไปสิงคโปร์


แต่เป็นครั้งแรกของการไปโดยไม่ได้อยู่ในฐานะนักท่องเที่ยวหรือผู้นำทริป

และเป็นครั้งแรก..ที่เดินทางไปกับ Nokia และเป็นการไปร่วมงาน Nokia Connection 09

ซึ่งนั่น...ทำให้เราได้รู้จักโทรศัพท์ยี่ห้อนี้มากขึ้น และเปลี่ยนแปลงความรู้สึกบางอย่าง

และ...ทำให้เราได้รู้จักสิงคโปร์ในมุมที่ไม่เคยได้รู้จักมาก่อน ส่วนจะเป็นเช่นไร...ว่าแล้วก็เริ่มเลยดีกว่านะคะ










14 มิถุนายน 2552


เช้าวันอาทิตย์ รถราในท้องถนนไม่มากมายนัก นัดกับคุณหนิง ผู้ประสานงานโนเกียที่เคาน์เตอร์ของสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ นั่นก็คือเคาน์เตอร์ K และด้วยที่ครั้งนี้สารถีไม่อยู่ เราจึงต้องนั่งแท็กซี่ไปเอง และทำให้ได้เห็นความแปลกของการท่าอากาศยาน ที่เล่นเอารั้วกั้นซะยาวววววววววววววว จนทำให้แท็กซี่ ถ้าไม่จอดส่งตรงประตู 1 แล้วก็ต้องไปโน่นนนนนนนนนเลย ประตู 9




ทำให้เราต้องเข็นกระเป๋าปุเลงๆ มาจากประตู 9 เพื่อมาที่เคาน์เตอร์ K ซึ่งที่จริงถ้าได้เข้าประตู 5 จะตรงเป๊ะเลยด้วยซ้ำ



(หรือการท่าฯ ได้ทำการร่วมมือกับสสส. เลยวางแผนให้ผู้โดยสารได้ออกกำลังกายคะ ถ้าเป็นเช่นนั้นจะได้พยักหน้าหงึกหงักด้วยความเข้าใจ )













หลังจากเช็คอินที่เคาน์เตอร์ K11 เรียบร้อยแล้ว ก็ผ่านต.ม. (เจ้าหน้าที่ยังที่ปิดปากแบบที่กันไวรัสไม่ได้กันง่ะ จะปลอดภัยกันมั้ยหละนั่น ที่จริงน่าจะซื้อแบบดีๆ ให้เจ้าหน้าที่กันนะคะ) แล้วก็เลี้ยวซ้ายค่ะ วันนั้นเขาให้ขึ้นที่เกท D5 แต่คุณหนิงก็พาไปหาอะไรทานกันที่ Asian Corner ก่อนค่ะ



คำเตือน ท่านใดที่ไม่เคยไปกินร้านนี้ ขอบอกว่า แต่ละจานและแต่ละชาม มันใหญ่ยักษ์มากๆ นะคะ ยังไงสั่งแล้วก็ดูกำลังตัวเองนิดหนึ่งแล้วกันค่ะ แหะๆ





ช่วงนี้ชี้แนะ

สำหรับสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ สะสมไมล์เข้า ROP ได้นะคะ แต่ต้องแล้วแต่คลาสของตั๋วว่าซื้อมาในคลาสอะไร แม้จะเป็น Economy เหมือนกัน ก็ไม่ได้สะสมไมล์ได้ทุกคลาสนะคะ













หลังจากนั้นเราก็บินไปสู่สนามบินชางฮี (ออกสายไป 30 นาทีค่ะ เนื่องด้วยมีผู้โดยสารที่เช็คอินแล้วมาขึ้นเครื่องไม่ทัน (ประตูขึ้นเครื่องปิดก่อนเวลาบิน 10 นาทีนะคะ) เลยต้องเอากระเป๋าออกก่อนง่ะ


นี่ค่ะเครื่องบินลำที่พาเราไปสู่สิงคโปร์ หน้าตาจิ้มลิ้มดีนะคะ










สายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์จอดที่ teminal 2 ค่ะ จากนั้นเราก็ขึ้นรถเพื่อตรงไปยังที่พักคือ Swissotel the Stamford ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับ Singapore World War II Monument ค่ะ (รีวิวที่พัก เดี๋ยวจะทำแยกไปอีกรีวิวหนึ่งนะคะ)



จากนั้นก่อนถึงเวลาอาหารค่ำ (ซึ่งนัดหมายกันไว้ที่ 19.00 น. ณ ล็อบบี้โรงแรม) เราก็เลยถือโอกาสนั่งแท็กซี่ไปสถานที่เที่ยวหนึ่งที่หมายตาไว้ค่ะ


สิงคโปร์ฟลายเออร์









ช่วงนี้ชี้แนะ

การเดินทางจาก Swissotel ไปสิงคโปร์ฟลายเออร์ เราสามารถนั่งรถ Shuttle bus ฟรี จากสถานี MRT Cityhall (ซึ่งอยู่ติดโรงแรมเลยค่ะ) ไปได้ค่ะ แต่ว่ารถมีทุก 30 นาที ซึ่งด้วยเวลาที่เรามี เราไม่แน่ใจว่าต้องรอนานแค่ไหน ก็เลยเลือกนั่งแท็กซี่ไปค่ะ เสียค่าแท็กซี่อยู่ที่ 4.6+2.6 = 7.2 เหรียญสิงคโปร์ (ไม่รู้ว่าบวกเพิ่มค่าอะไรเหมือนกันค่ะ แหะๆ) ตอนเราไปอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 1 เหรียญสิงคโปร์เท่ากับ 23.82 บาท (เรทที่สนามบิน ซึ่งแพงกว่าเรทข้างนอกนะคะ) ก็ประมาณ 170 บาท กับการนั่งแท็กซี่ไม่ถึง 10 นาที


ค่าตั๋วสำหรับขึ้นไปชม อยู่ที่ 29.5 เหรียญสิงคโปร์ ประมาณ 700 บาทไทยค่ะ สามารถใช้ได้ทั้งเงินสดและบัตรเครดิต (บัตรมาสเตอร์การ์ด ถ้าใช้ที่สิงคโปร์ ได้แต้ม 2 เท่านะคะ)


เวลาในการนั่ง นับตั้งแต่ได้เข้าไปสู่แคปซูลจนเสร็จสิ้นก็อยู่ที่ 30 นาทีค่ะ








เอาวิวบนนั้นมาให้ดูเป็นตัวอย่างเรียกน้ำย่อยก่อนนะคะ แล้วจะทำรายละเอียดแบบยิบๆ ตามสไตล์เราให้อีกทีค่ะ
























หลังจากนั้นก็รีบนั่งแท็กซี่กลับมายังโรงแรมค่ะ (ขากลับถูกกว่าขาไปค่ะ 3 เหรียญกว่าๆ เอง) ก่อนจะพากันไปทานอาหารค่ำที่ร้านอาหารซึ่งอยู่ในห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ โรงแรมเลย มีหลายร้านเลยค่ะ แต่ร้านที่เลือกก็คือ Tea House : the Asian Kitchen ค่ะ




สั่งอาหารมาหลายอย่างเหมือนกัน แต่เนื่องด้วยเกรงใจเพื่อนร่วมโต๊ะที่เพิ่งได้ร่วมรับประทานอาหารกันมื้อแรก ก็เลยไม่กล้าถ่ายรูปเลยค่ะ








อาหารที่กินแล้วถูกปากกันสำหรับร้านนี้นะคะ

1. ผัดต๊งเหมี่ยว (จานสองอร่อยกว่าจานแรกซะงั้น)

2. กุ้งพันเบคอนทอดราดน้ำสลัด (อันนี้อร่อยสุดๆ )

3. หมูเปรี้ยวหวานนี่ รสชาติก็คล้ายบ้านเราค่ะ















จากนั้นก่อนที่จะขึ้นไปพักผ่อน เพื่อเตรียมตัวสำหรับงาน Nokia Connection 09 ในวันรุ่งขึ้น ก็เดินผ่านร้านดังอีกร้านของสิงคโปร์ค่ะ ก็คือร้านนี้นี่เอง

Ya Kun Kaga Toast



จะเห็นจากป้ายร้านว่า เปิดมาตั้งแต่ปี 1944 นะคะ ก็ราวๆ 65 ปีมาแล้ว ร้านนี้มีหลายสาขาค่ะ












ส่วนที่มีชื่อเสียงก็คือเจ้านี่ค่ะ











เห็นหน้าตาอย่างนี้ ตอนกินร้อนๆ นะ อร่อยมากมาย (แต่ได้ข่าวว่า ถ้าปล่อยให้มันเย็นแล้วกิน รสชาติก็ย่ำแย่อยู่เหมือนกัน) ซึ่งคุณหนิง (Nokia) เลือกไส้เนยกับสังขยาให้ซึ่ง..อร่อยมากกกกกกกกกกกกกกกก

















จากนั้นก็แยกย้ายกันห้องใครห้องท่านค่ะ เราน่ะอยากชวนไป Clarke Quay มากๆ แต่..เห็นไม่มีใครมีทีท่า ก็เลยกลับขึ้นห้องไปด้วยความสงบเสงี่ยมเจียมตัวแต่โดยดี






ปิดท้ายบล็อกแรกนี้ด้วยภาพวิวงามๆ จากระเบียงห้องพักนะคะ


ส่วนครั้งหน้าจะพาไปชมงาน Nokia Connection 09 กันค่ะ กับโทรศัพท์ 3 รุ่นใหม่ที่ยังไม่ออกวางตลาด และพบกับเซเลบฯ ของชาวสิงคโปร์กันว่า มีใครบ้างค่ะ















ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาหากันค่ะ

357587/4043/346





 

Create Date : 19 มิถุนายน 2552    
Last Update : 19 มิถุนายน 2552 17:17:16 น.
Counter : 2501 Pageviews.  

~* ~* ~* ~* ~* ~* Tag ที่สุดของที่สุด จาก ThE BooK@HoLiC ~* ~* ~* ~* ~* ~*







รับแท็กมาจาก ThE BooK@HoLiC




ที่จริงแล้ว คำว่า "ที่สุด" สำหรับเรา ในวัยขนาดนี้แล้วตอบยากมากเลย

ถ้าเป็นสมัยก่อนคงตอบได้ง่ายกว่านี้ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ลองดูแล้วกันค่ะ





ว่าแล้วก็ลุยเลยนะคะ



"Tag ที่สุดของที่สุด"




รักที่สุด : แม่และในหลวงค่ะ คงเป็นสองคนที่เราตายแทนได้


เกลียดที่สุด : ทุกวันนี้พยายามไม่เกลียด แต่ที่ยังรู้สึกอยู่คือ คนเห็นแก่ตัวมากๆ หรือคนที่ทำร้ายคนอื่นได้เพียงเพราะความสุขของตัวเองน่ะค่ะ


คิดถึงที่สุด : วัยวันที่ยังมองโลกในแง่ดีได้มากกว่านี้


หนังสือเล่มโปรดที่สุด : เยอะนะ แต่ถ้าให้เลือกเล่มเดียวคงจะเป็นจินตนาการไม่รู้จบกระมัง




รูปข้างบนจากเว็บ welovebook นะคะ







เพลงที่ชอบที่สุด : Love will keep us alive ของ Eagle


ช่วงเวลาที่ดีที่สุด : ได้อยู่กับคนที่เรารักและรักเราแบบสงบๆ


เสียดายที่สุด : ที่ไม่เกิดมาอยู่ในฐานะที่ทำอะไรดีๆ ได้มากกว่านี้ เช่น มีเงินเยอะพอที่จะให้สถานสงเคราะห์ต่างๆ หรือทำให้คนที่ย่ำแย่ ได้มีชีวิตที่ดีขึ้น มีอำนาจพอจะสั่งการเรื่องของการศึกษาของไทยให้มันเข้มแข็งขึ้น ฯลฯ


วันที่เซ็งที่สุด : นัดหมายกับใครแล้วต้องยกเลิกนัดเพราะเหตุผลงี่เง่าของใครสักฝ่าย


วันที่ดีใจที่สุด : เรียนจบอย่างที่แม่ต้องการ ทั้งปอตรีปอโท


บ้าที่สุด : เคยจีบแฟนสมัยมอปลาย ด้วยการอัดเพลงยินยอม ของอัสนีวสันต์ใส่ซาวอะเบ๊าท์แล้วยื่นให้เค้าฟังที่ระเบียงหน้าห้อง (มาคิดถึงตอนนี้แล้ว ตอนนั้นตรูทำไปได้ยังง้ายยยยยยยย)


สวยที่สุด : รอยยิ้มของเด็กน่ารักๆ สักคน



รูปข้างบนจาก //www.baanmaha.com/forums/showthread.php?t=5465







เด่นที่สุด : เอิ่ม..หมายถึงตัวเองใช่มั้ย? เคยเด่นที่สุด ตอนไปรับตำแหน่งนักเรียนเอกชนดีเด่นสมัยมอต้นหละมั้งนะ แล้วก็ตอนรับตำแหน่งผู้ช่วยมัคคุเทศก์ตัวอย่าง สมัยยังทำงานอยู่ที่บริษัทเดิมน่ะ


ขี้เกียจที่สุด : ต้องทำอะไรในเวลาที่ไม่อยากทำอย่างแรง


หวงที่สุด : แฟนของข้าพเจ้านี่แหละ


หนังที่ชอบที่สุด : It's a wonderful life









ศรัทธาที่สุด : พระพุทธเจ้า




รูปข้างบนจาก //www.dhammathai.org/webboard/view.php?No=6094







สำคัญในชีวิตมากที่สุด : ความดี


เหนื่อยที่สุด : ต้องทำอะไรที่ใช้กำลังใจอย่างใหญ่หลวงในวันที่กำลังท้อแท้โคตรๆ


สูญเสียที่สุด : ในชีวิตที่รู้สึกมากๆ คือ เสียความมั่นใจในตัวเองและความรู้สึกดีกับเพื่อนมนุษย์ ในวันที่แฟนตัวเองนอกใจ เป็นบาดแผลที่พยายามรักษา แต่รู้ว่า มันไม่หาย และยังส่งผลต่อทัศนคติและนิสัยใจคอตัวเองมาจนถึงปัจจุบัน


สุขที่สุด : ตอบเหมือนช่วงเวลาที่ดีที่สุดง่ะ




เย้ๆ เสร็จแล้ว ที่จริงก็ไม่ยากเท่าไหร่เนาะ ต้องคิดใคร่ครวญหน่อยเท่านั้นเอง ทำแล้วก็สนุกดีเหมือนกัน แต๊งกิ้วสำหรับคนที่ส่งแท็กมาด้วยเด้อ









ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอ่านค่า

356703/4038/345




ป.ล. ขอส่งแท็กนี้ต่อให้คุณ rainoflove ค่ะ ขอมาก็จัดปายยยยยย






 

Create Date : 17 มิถุนายน 2552    
Last Update : 18 มิถุนายน 2552 17:16:55 น.
Counter : 1807 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  

สาวไกด์ใจซื่อ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 203 คน [?]




ชอบอ่านหนังสือและดูหนังค่ะ ตอนนี้ทำงานด้านการท่องเที่ยวอยู่ นิสัยดีบ้างร้ายบ้าง แล้วแต่สภาวการณ์และคนที่เจอ


เนื้อหาและรูปภาพทั้งหมดในบล็อกสงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย ไม่อนุญาตให้นำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของบล็อก


ติดต่อเจ้าของบล็อกได้ที่ theworpor@yahoo.com
หรือ
https://www.facebook.com/saoguide






Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add สาวไกด์ใจซื่อ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.