สมดุลของงานและความสำเร็จ
จะลำบากยากจนหรือรวยล้นฟ้า คนเราก็มีเวลาจำกัดแค่วันละ 24 ชั่วโมงเหมือนๆ กันครับ ที่สำคัญคือในรอบวันนั้น เราต้องใช้ถึง 1 ในสามหรือราวๆ 8 ชั่วโมงไปกับการนอนหลับพักผ่อน เวลาที่เหลือจริงๆ จึงมีแค่ 16 ชั่วโมงต่อวันโดยเวลาที่เหลือนี้ หากแบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่ๆ คือ เวลาทำงาน ที่เหมือนกับการเปิดเครื่อง ก็ต้องให้สมดุลกับการปิดพักเครื่อง ด้วยการใช้ชีวิตส่วนตัวกับครอบครัว ซึ่งผมเชื่อว่าใครบริหารเวลาให้กับตัวเองได้ดีกว่า ก็ย่อมได้เปรียบมากกว่า
หันมาดูที่เวลางานที่หากแบ่งครึ่งกับครอบครัวแล้ว ก็เหลือแค่ไม่กี่ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น หากเราต้องใช้ฝ่าการจราจรช่วงเช้าและเย็นอีกวันละ 2 ชั่วโมง ก็จะเห็นว่ายิ่งเหลือน้อยลงไปเรื่อยๆ จึงไม่น่าแปลกอะไร ที่คนประสบความสำเร็จในชีวิต ส่วนใหญ่มักจะตื่นเช้า เพราะใช้เวลาได้คุ้มค่ากว่านั่นเอง
เวลาในช่วงเช้าเป็นเวลาที่เราสดใสที่สุด และมีสถิติบันทึกไว้ว่าการเจรจาธุรกิจ หรือเซ็นสัญญาในช่วงเวลานี้ มักจะราบรื่นกว่าเวลาในช่วงอื่นๆ เพราะเป็นช่วงเวลาที่เราสดชื่นมากที่สุด ภาษิตจีนโบราณจึงบอกไว้ว่า 1 ชั่วโมงในเวลาเช้า เอาชนะ 3 ชั่วโมงเวลาเย็นได้
การสร้างสมดุลให้กับเวลาทั้งในโลกการทำงานและโลกส่วนตัว จึงเป็นเรื่องจำเป็น และใครที่หาสมดุลให้กับทั้งสองส่วนได้ ก็ย่อมมีภาษีดีกว่าคนอื่น ซึ่งการสร้างสมดุลนี้แม้จะไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ง่ายนักเพราะมี กฎพื้นฐานที่สำคัญคือ
1. ต่อให้เราทุ่มเทแค่ไหน และต่อเนื่องแค่ไหน ทุกคนมีชีวิตเดียว เท่ากันหมด
2. มนุษย์เรา ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน ก็ไม่มีใครพิเศษเกินหน้าคนอื่น เพราะทุกคนถูกควบคุมด้วยเวลาที่มีจำกัดวันละ 24 ชั่วโมงเท่าๆ กัน
3. ภายใต้สภาพแวดล้อมของสังคม ที่มีการแข่งขันสูงเหมือนในทุกวันนี้ ความพยายามแค่ไหนก็ยังไม่พอ เพราะเราไม่สามารถเดาได้ว่า เบื้องหน้าเรามีอุปสรรคที่ยากแค่ไหน ที่สำคัญ การสร้างสมดุลให้กับชีวิตต้องทำพร้อมๆ ไปกับการบริหารความคิด และหมั่นจัดระเบียบอารมณ์ความรู้สึกของเราให้อยู่กับร่องกับรอย เพราะทั้งสองส่วนนี้ มีผลต่อการคิดของเราว่าจะคิดมองโลกให้เป็นบวกหรือลบ
ผลสำรวจวิจัยในทุกวันนี้ ชี้ชัดแล้วครับว่า คนมองโลกในแง่ดีมักใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและยืนยาวกว่าคนมองโลกในแง่ร้าย
แต่การมองโลกในแง่ดี ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับหลายๆ คน เพราะมักจะเป็นนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่ยังเด็ก แต่ก็ไม่ใช่ว่าสร้างใหม่ไม่ได้ ซึ่งผมมีแง่คิดในการจัดระเบียบความคิดของเราเสียใหม่ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการมองโลกในแง่ดีดังนี้ครับ
ข้อแรก ต้องหมั่นสังเกตตัวเองว่า บางครั้งอารมณ์ดี บางครั้งอารมณ์ไม่ดี เราต้องรู้จักสังเกตว่า เรามีเหตุผลอะไร ที่อารมณ์ไม่ดี และจะทำอย่างไรเพื่อแก้ความอารมณ์ไม่ดีให้ได้
ข้อต่อมา ต้องมีความสามารถที่จะแก้ไขอารมณ์ได้ โดยต้องรู้จักก้าวออกจากกรอบของตัวเอง แล้วลองเปลี่ยนแปลง หรือคิดนอกกรอบ เพื่อจะให้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และสิ่งใหม่ๆ จะพาความสนใจไปพบตัวเองไปเรื่อยๆ ทำให้รู้สึกว่าเรามีคุณค่ามากขึ้น หรือไม่ก็ต้องคิดถึงอนาคตบ่อยๆ เพื่อให้เกิดทั้งจินตนาการ และการลงมือทำจริงๆ ดึงให้เราคิดถึงเป้าหมายได้ง่ายขึ้น
ข้อสุดท้าย ต้องไม่ปล่อยให้ใจเราคิดมองโลกในแง่ร้ายไปโดยไม่รู้ตัว เช่นเราเคยผิดหวัง ล้มเหลว ก็มักจะคิดว่าเราไม่มีทางทำได้ นั่นคือขาดความมั่นใจ หรือไม่ก็มักจะปฏิเสธคนอื่น เพราะรู้สึกว่าเมื่อเราทำล้มเหลว ก็คิดว่าไม่มีใครอยากช่วยเหลือ การแชร์ความรู้สึกกับคนอื่นก็จะหายไป
และความรู้สึกว่าอะไรที่ไม่สำเร็จ เราไม่มีทางแก้ไขแล้ว เช่นเด็กที่เอนทรานซ์ไม่ติด ก็ฆ่าตัวตาย ทั้งที่ความจริง เราสามารถเรียนในมหาวิทยาลัยเปิด หรือมหาวิทยาลัยเอกชนได้
การวิเคราะห์ความคิดของตัวเอง จึงเป็นกลไกเบื้องต้น ที่ช่วยให้เราบริหารอารมณ์ของตัวเองภายใต้เหตุผล และความถูกความผิดได้ โอกาสทำที่จะคิดดี ทำดีก็มีสูงขึ้น เหมือนภาษิตจีนโบราณสอนไว้ว่า ใจคิดอย่างไร เรื่องก็จะเป็นอย่างนั้น
มองโลกในแง่ดี และบริหารชีวิตให้สมดุล เป็นฐานของชีวิตที่ดี และช่วยให้เรามีความมั่นคง พอที่จะแข่งขันกับคนอื่นในโลกธุรกิจวันนี้ที่รุนแรงเหลือเกิน ซึ่งผมเชื่อว่าผู้อ่านไอทีไร้พรมแดนทุกท่าน คงเห็นพ้องต้องกันนะครับ
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
Create Date : 02 กรกฎาคม 2552 |
|
1 comments |
Last Update : 2 กรกฎาคม 2552 12:33:21 น. |
Counter : 876 Pageviews. |
|
|
|