เทรนนิ่ง 360 องศา รอบโต๊ะทำงาน
ความเชื่อ เทรนนิ่ง คือการเพิ่มศักยภาพคนทำงานที่ต้อง “ทุ่มทุนสร้าง” ข้อเท็จจริง ผู้เข้าฝึกอบรมซึมซับความรู้ 20% และจะลดลงเหลือแค่ 5% หลังผ่านพ้นไป 1 เดือน แนวโน้ม เรียนรู้ไปพร้อมกับการทำงาน คือ สุดยอดการเทรนนิ่ง
ทุกๆ ปี องค์กร หน่วยงานต่างๆ ต้องจัดสรรงบประมาณก้อนโต ฟิตคนเข้ากับงาน โปรแกรมไหนใครว่าดี ต้องรีบส่งคนไปเทคคอร์ส ทุกหัวข้อเด็ด ไม่มีพลาด เพราะเชื่อว่าเทรนนิ่งเป็น “สูตรสำเร็จ” สร้างคนเก่งมีฝีมือ แต่หลักสูตร “เร่งรัด” ไม่สามารถปั้น “ดาว” ได้ภายใน 3 วัน 7 วัน
“สมัยก่อนเขาเรียนอะไรก็แห่เรียนตามนั้น เขาว่าต้องเรียน Leadership Skill เราก็ต้องเรียนตาม เขาเทรนเรื่องการสร้างทีม เราก็ว่ากันใหญ่ แต่ไม่รู้มีประโยชน์รึเปล่า” วราวิช กำภู ณ อยุธยา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โกลบอล ไวร์เลส จำกัด ผู้ให้บริการพัฒนาการเรียนการสอนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือ อี-เลิร์นนิ่ง กล่าว
เขาสะท้อนว่า เพราะการเรียนส่วนใหญ่เป็นการเรียนตามกระแส เรียนตามใจคนสอน ทำให้หลายองค์กรไต่ไปไม่ถึงดวงดาว ซึ่งเอชอาร์ยุคใหม่ต้องคิดใหม่ ทำใหม่ การเทรนนิ่งบุคลากรต้องตามใจธุรกิจ และเรียนตามความพร้อมของผู้เรียน
เริ่มจากผู้บริหารหัวแถวต้องกำหนดทิศทางองค์กรให้ชัดเจนว่าจะเดินไปในทิศใด “บริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยคน คีย์ซัคเซสอยู่ที่มีคนดี คนเก่งช่วยในการขับเคลื่อนธุรกิจ แต่ถ้า องค์กรไหนมีคนที่มีศักยภาพต่ำก็เหนื่อย ฉะนั้นการฝึกอบรมต้องกำหนดทิศทางตั้งแต่ระดับ ผู้บริหาร เพราะนี่เป็นเรื่องเดียวกัน คือถ้าเรียนเรื่องนี้แล้วบริษัทมีโอกาสประสบความสำเร็จ มากมั้ย ถ้ามีต้องเรียนเรื่องนี้”
แต่เชื่อหรือไม่ว่า สิ่งที่นั่งเรียนในห้อง 3-5 วัน สมองจะจำได้แค่ 20% ที่เหลือตกหล่น ระหว่างทาง และระดับความจดจำจะค่อยๆ ลดลงตามเวลา ที่สำคัญความรู้ที่นำไปใช้ทำงาน 20% มาจากการอบรม แต่ 80% มาจากประสบการณ์ การลงมือทำและการเรียนรู้จากเพื่อนร่วมงาน
แทนที่จะต้องเทคคอร์สเรียนในห้องเรียน วราวิชมองว่า เรียนไปทำงานไปจะเวิร์คกว่า หรือเป็นการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning)
บางส่วนเรียนผ่านการทำงานจากเพื่อนร่วมงาน เรียนรู้ผ่านกระบวนการอี-เลิร์นนิ่ง หรือบางครั้งต้องไปเทคคอร์สเติมเต็มองค์ความรู้
“on the job training เรียนปุ๊บใช้งานได้เลย เป็นข้อดี ซึ่งเทรนด์นี้มีมานานแล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่มีเทคโนโลยีซัพพอร์ต ทำให้ยังไม่เกิด แต่วันนี้มีเครื่องมือพร้อม อินเทอร์เน็ตเร็วขึ้น ทำให้คอนเซปต์นี้เป็นจริงขึ้นมา”
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อี เลิร์นนิ่งจึงค่อยๆ เพิ่มบทบาทมากขึ้น เพราะทำให้การอัพเกรดความรู้บุคลากรเป็นเรื่องง่ายๆ ใช้เวลาน้อย ต้นทุนต่ำ
วราวิชบอกว่า การเรียนรู้ผ่านกระบวนการอีเลิร์นนิ่ง ทำให้พนักงานทั้งองค์กรเรียนรู้ไปพร้อมๆ กันได้ดี โดยเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่กว่าจะเทรนนิ่งครบทั้งองค์กรใช้เวลากว่า 1 ปี
“คนที่เทรนหัวปีกับท้ายปี ความรู้ต่างกันเลย แต่ถ้ามีอีเลิร์นนิ่ง เราก็แค่เปลี่ยนบทเรียนหน่อย แล้วส่งอีเมลให้คนที่เกี่ยวข้องเข้าไปศึกษา วิธีนี้ทำให้ทุกคนเรียนรู้ได้พร้อมๆ กัน”
แค่นี้ทำให้ชีวิตคนทำงานง่ายขึ้น
เขาเชื่อว่า ปัจจุบันองค์กรขนาดกลางและขนาดใหญ่ให้การยอมรับแล้วกว่า 80-90% และมองว่าเป็นเรื่องดีมีประโยชน์
“คนรับรู้ว่า อี เลิร์นนิ่งดีมีประโยชน์ องค์กรจะไม่คิดแล้วว่าทำหรือไม่ทำ แต่เปลี่ยนเป็นจะทำเมื่อไร เพราะถ้าไม่ทำวันนี้ก็ต้องทำในอนาคต ซึ่งส่วนนี้ทำให้บริษัทเติบโตประมาณเท่าตัวในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา”
แต่หัวใจสำคัญที่ทำให้ on the job training เดินไปสู่ประตูแห่งความสำเร็จได้ วราวิชไม่เชื่อว่าลำพังแค่คอนเทนท์เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่ต้องเป็นการรวมพลังจาก 5Cs นั่นคือ Champion Culture Communication Change และ Content
จุดเริ่มต้นของความสำเร็จ คือ ต้องหาแชมเปียนให้เจอ ต้องเป็นผู้บริหารที่ให้การสนับสนุน สร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ให้กับองค์กร
“ยุคใหม่ไม่ใช่คนเรียนๆ อย่างเดียว คนสอนก็คือคนสอน แต่ทุกคนสามารถเรียนและสอนได้ ในขณะเดียวกัน เช่น พนักงานที่ผ่านการฝึกอบรม ควรจะทำสรุปบทเรียน เป็นการแชร์ความรู้ ให้กับทุกคน ถึงจะคุ้ม สร้างวัฒนธรรมองค์กรให้รู้จักแชร์องค์ความรู้ อย่างน้อยวันหนึ่ง เมื่อพนักงานที่ถูกเทรนจนเข้มแล้วลาออก เอาความรู้ทั้งหมดไปด้วย องค์กรก็ไม่เหลืออะไร”
ขั้นนี้ต้องอาศัยการสื่อสารที่ดีภายในองค์กร เพื่อสร้างความเชื่อของคนทั้งองค์กรไปในทิศทางเดียวกัน
ถ้านายหนุน วัฒนธรรมองค์กรเปลี่ยน มีการสื่อสารที่ดี เมื่อองค์กรมีเปลี่ยนแปลงจะช่วยลดแรงเสียดทานจากการต่อต้านได้เป็นอย่างดี “เมื่อนั้นคอนเทนท์จะถูกนำมาเติมเต็มให้องค์กรประสบความสำเร็จได้”
นี่คือคีย์ซัคเซสการเรียนรู้ 360 องศาจากรอบโต๊ะทำงาน
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2552 |
|
4 comments |
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2552 19:59:01 น. |
Counter : 794 Pageviews. |
|
|
|