เคล็ดลับจากครูดีเด่น เจ็ดวิธีเพิ่มศักยภาพสูงสุดของลูก
ชารอน เดรปเพอร์ ครูสอนภาษาอังกฤษของโรงเรียนมัธยมปลาย แห่งหนึ่งในเมืองซินซินเนติ กลุ้มใจเมื่อเห็นริชาร์ด คิสเซล นักเรียนชั้นมัธยมต้นไม่ยอมทำการบ้านเลย ในที่สุด เดรปเพอร์ ซึ่งได้รับรางวัลครูดีเด่นแห่งสหรัฐฯ ปี 2540 ก็ใช้วิธีพูดแหย่ริชาร์ดว่า "ถ้าเธอไม่เริ่มทำการบ้าน ครูจะไปกินอาหารเย็นที่บ้านเธอ"
เดรปเพอร์เคยสอนพี่ ๆ ของริชาร์ดมาหลายรุ่น จึงสนิทสนมเป็นอย่างดีกับรูท คิสเซล แม่ของริชาร์ด เขาเริ่มทำการบ้านทันที รูทบอกว่า "ลูกรู้ดีว่าถ้าไม่ทำ ดิฉันจะรู้เรื่องความเกเรของเขาแน่ ๆ"
ครูดีเด่นผู้นี้บอกพ่อแม่ให้ติดต่อกับครูตั้งแต่ต้นปีการศึกษา "พ่อแม่จะได้รู้ว่าครูเตรียมการอะไรไว้บ้าง ส่วนครูก็เข้าใจสภาพแวดล้อมในครอบครัวเด็ก และเด็กก็จะเห็นความร่วมมือระหว่างบ้านกับโรงเรียน" เดรปเพอร์กล่าว
งานวิจัยจำนวนมากชี้ให้เห็นว่าการที่พ่อแม่สนใจ และมีส่วนร่วมอย่างสม่ำเสมอมีผลต่อการเรียนของเด็ก ไม่ว่าพ่อแม่จะมีพื้นฐานการศึกษาอย่างไรก็ตาม
มีอะไรอีกบ้างที่พ่อแม่จะทำได้ เพื่อช่วยให้ลูกประสบความสำเร็จในการเรียน ต่อไปนี้ เป็นคำแนะนำบางประการจากครูดีเด่นหลายคนในสหรัฐฯ
1. ส่งเสริมให้รักเรียน การที่พ่อแม่บอกลูกว่าการเรียนเป็นสิ่งสำคัญนั้น ยังไม่พอ ต้องแสดงให้เด็ก ๆ เห็นว่าการเรียนไม่ได้หมายถึงคะแนนหรือประกาศนียบัตรเท่านั้น แต่เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต
มาเรียน ฟูลเลอร์ สอนภาษาอังกฤษชั้นมัยมปลายที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในนครนิวยอร์ก นักเรียนที่จบจากโรงเรียนนี้ในปี 2540 เข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาได้ถึงร้อยละ 93
ฟูลเลอร์ยกตัวอย่างกรณีของทัจยานา มิตเชล เพื่อชี้ให้เห็นว่า พ่อแม่อาจเป็นแรงบันดาลใจให้ลูกได้ เมื่อเจ็ดปีก่อน ลินดา มิตเชล แม่ของทัจยานากลับเข้าเรียนในวิทยาลัย โดยกลางวันทำงานและเรียนตอนกลางคืน เพื่อทำปริญญาทางการศึกษา "ทัจยานาเขียนเรียงความ ชื่นชมความอุตสาหะของแม่" ฟูลเลอร์ย้อนอดีต
ขณะที่เพื่อนบางคนต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน ทัจยานาเรียนจบในเดือนมิถุนายน และกำลังจะศึกษาต่อในวิทยาลัยชุมชนแมนฮัตตัน
"ดิฉันบอกลูกว่าโรงเรียนเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเรียน" ลินดากล่าว "ดิฉันคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำเป็นกระจกเงาให้ลูกเห็นเป็นตัวอย่าง" คุณไม่ต้องใช้เงินมากมายเพื่อส่งเสริมการรักเรียน "ให้ลูกเห็นคุณอ่านหนังสือพาไปชมพิพิธภัณฑ์หรือชมการแสดงบ้าง" ฟูลเลอร์แนะ
2. แปรคำพูดให้เป็นการกระทำ เมื่อเอ็ดมันด์ บราลี ศัลยแพทย์ช่องปาก ไปร่วมประชุมผู้ปกครองของโรงเรียนมัธยมเดอวิตวอลเลอร์ รัฐโอคลาโฮมา ครูวิทยาศาสตร์ของเบร็ต ลูกชายรีบดึงตัวหมอไว้ทันที และบอกว่าต้องการให้ไปช่วยบรรยายในห้องเรียน "ดิฉันกำลังสอนวิชาจุลชีววิทยา จึงขอให้หมอบราลีเข้าไปบรรยายให้นักเรียนฟังว่า ไวรัสและแบคทีเรียแพร่กระจายได้อย่างไร" เบ็ตซี มาบรี เล่า
ความกระตือรือร้นของมาบรีสร้างแรงบันดาลใจให้หมอบราลี นอกจากบอกเล่าด้วยคำพูดแล้ว หมอยังชักชวนให้ นักเรียนชั้นมัธยมต้นเก็บตัวอย่างแบคทีเรียจากแปรงสีฟัน ขี้ผึ้งทาปาก และที่ตัดเล็บ แล้วใส่ไว้ในจานทดลอง หมอนำจานไปเพาะเชื้อและนำกลับไปที่ห้องเรียน เพื่อให้นักเรียนดูแบคทีเรียที่เพาะตัวขึ้นมา การทดลองดังกล่าวไม่ใช่แค่เพาะเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น แต่ยังดึงให้หมอบราลีใกล้ชิดลูกชายมากขึ้น ทั้งช่วยให้เบร็ตมองวิทยาศาสตร์ในแง่มุมใหม่อีกด้วย "ลูกชายผมจะได้เห็นว่างานของพ่อนั้นใช้ได้" หมอบราลีพดปนหัวเราะ
"พ่อแม่จำเป็นต้องมีส่วนร่วมในโรงเรียนของลูก ๆ" มาบรีซึ่งได้รับทุนไอน์สไตน์จากกระทรวงศึกษาธิการของสหรัฐฯ เมื่อปี 2541 กล่าว
"การกระทำดังกล่าว แสดงให้เด็กเห็นว่าคุณสนใจในกิจกรรมของลูกอย่างจริงจัง การพูดก็เป็นวิธีแสดงความสนใจอย่างหนึ่ง แต่ผลจะต่างกันมาก หากคุณอุทิศแรงใจแรงกายกระทำในสิ่งที่พูดด้วย" คุณไม่ต้องมีทักษะพิเศษหรือเวลาว่างมากมายเพื่อเสนอตัวช่วยโรงเรียน เพียงลองถามครูของลูกว่า ต้องการความช่วยเหลืออะไรบ้างไหม
3. เปิดช่องทางสำหรับการสื่อสาร พ่อแม่ควรหาเวลาติดต่อกับครู เพื่อสอบถามเจาะลึกเกี่ยวกับลูกและการเรียน
โรงเรียนประถมนิวฟีลด์ในรัฐคอนเนตทิคัต แก้ปัญหานี้โดยการตั้งศูนย์ฮอตไลน์การบ้านขึ้น พ่อแม่สามารถโทรศัพท์ไปฟังข้อความของครูที่บอกว่าเด็ก ๆ เรียนอะไรในวันนั้นและครูให้การบ้านอะไรบ้าง
เด็บบีและลีออน ชาปิโร มีลูกสองคนคือแดเนียลอายุแปดขวบและอดัมอายุหกขวบ ทั้งคู่เรียนอยู่ที่โรงเรียนนิวฟีลด์ เด็บบีเล่าว่า "ดิฉันจะฟังฮอตไลน์จากที่ทำงานก่อนกลับถึงบ้าน เมื่อไปถึงก็พร้อมจะดูแลลูก ๆ ให้ทำการบ้านได้ทันที" ช่วงเดินทางไปทำธุรกิจ ลีออนมักโทรศัพท์ไปติดตามการเรียนของลูก ๆ จากศูนย์ฮอตไลน์นี้เสมอ ยังมีวิธีอื่น ๆ ที่จะได้ข้อมูลดังกล่าว "พ่อแม่จำนวนมากส่งอีเมลมาถามดิฉัน" ชารีน แบร์ ครูอนุบาลผู้ได้รับรางวัลดีเด่น กล่าว "วิธีนี้ให้โอกาสดิฉันตอบคำถามของผู้ปกครอง ในขณะที่ไม่ต้องวุ่นวายกับเด็ก 23 คนในห้องเรียน และเมื่อดิฉันประชุมกับพ่อแม่ของเด็ก ๆ เราก็พูดตรงไปที่วิธีแก้ปัญหาได้ทันที"
4. ช่วยจัดระบบให้ลูก พ่อแม่ควรช่วยลูกทำตารางเรียนและจัดเวลาทำการบ้านทั้งหมดลงในตาราง ลูกจะได้รู้ว่าเวลาไหนควรทำอะไรและวางแผนล่วงหน้าได้ นอกจากนี้ พ่อแม่อาจสาธิตวิธีแบ่งการบ้านให้ลูกทำ ในส่วนที่ทำให้เสร็จได้ในแต่ละวัน "นักเรียนบางคนอาจคิดว่า วันนี้ไม่มีการบ้านเพราะไม่มีงานต้องส่งครูวันพรุ่งนี้ ทั้งที่ความจริงต้องส่งรายงานชิ้นใหญ่ในอีกหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งควรเริ่มทำงานได้แล้ว" มาเรียนฟูลเลอร์ กล่าว
นักเรียนโต ๆ อาจต้องดูเป็นพิเศษเพื่อให้มีระบบ ครูชารอน เดรปเพอร์เสริมว่า "นักเรียนมัธยมปลายจำนวนมากมักไม่ค่อยมีระบบ เพราะเป็นช่วงที่มีกิจกรรมมาก ซึ่งส่งผลกระทบทั้งทางกาย อารมณ์ และการเรียนประดังเข้ามาพร้อม ๆ กัน"
อะแมนดา สตอลคอป นักเรียนหญิงวัย 14 ในรัฐเวอร์จิเนีย มีปัญหาเรื่องการบ้านบ่อย ๆ เพราะทำการบ้านเสร็จ แต่กลับหาไม่เจอเวลาต้องส่งครู ลินและเออร์เนส พ่อแม่ของเธอไม่ประหลาดใจเลยเมื่อครูพูดเรื่องนี้ให้ฟัง
พ่อแม่และครูปรึกษากันอย่างเคร่งเครียด ในที่สุดก็พบวิธีแก้ปัญหาที่ได้ผล คือให้อะแมนดาใช้สมุดเล่มเดียวทำการบ้านทุกวิชา แทนที่จะใช้วิชาละเล่มอย่างเดิม
เสลา: ป้าเห็นด้วยกับความคิดที่ว่า พ่อแม่มีส่วนทำให้ลูกสนใจการเรียนและทำให้ลูกเรียนเก่ง โดยมีเวลาพูดคุยสนทนากับเนื้อหาวิชาเรียนของลูกบ้าง ถ้าทำได้คือ เข้าไปมีส่วนร่วมรับรู้การเรียนของลูก ทั้งจากครูผู้สอนและกับลูกๆโดยตรง
5. รับประทานอาหารพร้อมหน้า "ดิฉันเชื่อว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการใช้เวลากับลูก ๆ" จีนา โร ครูสอนเด็กเล็กของโรงเรียนประถม เออวิง บี. เวเบอร์ในเมืองไอโอวา ให้ความเห็น
งานวิจัยแสดงให้เห็นความสำคัญของการรับประทานอาหารพร้อมกัน ในครอบครัว ในปี 2530 ไดแอน บีลส์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิชาการศึกษา แห่งมหาวิทยาลัยวอชิงตัน เมืองเซนต์หลุยส์ และเพื่อนร่วมงานที่คณะศึกษาศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ศึกษานักเรียนอายุสามขวบจำนวน 83 คน จากครอบครัวรายได้น้อยและพบว่า เด็ก ๆ ที่สมาชิกในครอบครัว รับประทานอาหารร่วมกันมีระดับการอ่านออกเขียนได้ดีกว่าครอบครัว ที่ไม่ได้ทำเช่นนั้น
“ยิ่งเด็ก ๆ ได้รับคำบอกเล่าและคำอธิบาย จากการพูดคุยกับคนในครอบครัวระหว่างรับประทานอาหารด้วยกัน มากเท่าใด คะแนนคำศัพท์ของพวกเขาจะดีขึ้นเท่านั้น” บีลส์อธิบาย “และคำศัพท์เป็นปัจจัยหนึ่ง ที่จะบ่งบอกความสามารถในการอ่านได้ดีที่สุด”
6. เน้นขบวนการเช่นเดียวกับความสำเร็จ นักเรียนประถมสองในชั้นของจูลี เฟอริส ที่โรงเรียนประถมในรัฐมิสซิสซิปปี ฝึกอ่านอย่างขะมักเขม้น แต่ผู้เป็นแม่ไม่อดทนเมื่อเห็นลูกชายเชื่องช้า จึงเริ่มติวเข้มทุกคืนด้วยตัวเอง
“ดิฉันบอกเธอว่าอย่าทำให้ลูกรู้สึกเกร็ง เมื่ออ่านหนังสือให้ฟัง ควรปล่อยให้เด็กเพลิดเพลินกับภาษา ไม่นานเด็กจะหันมาอ่านเอง” เฟอริสกล่าว
บ่อยครั้งที่พ่อแม่นึกถึงแต่เรื่องคะแนนเพียงอย่างเดียว “หากลูกคุณได้เกรดสี่ทุกวิชา แต่ไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำอย่างไร ก็หมายความว่าการเรียนรู้ของเขาไม่สมบูรณ์ " เฟอริสอธิบาย
เบ็ตซี มาบรี แนะนำว่า เมื่อลูก ๆ ขอความช่วยเหลือ พ่อแม่ควรแนะวิธีให้เด็กค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง อย่างเช่นแทนที่จะบอกลูกตรง ๆ ว่าเมืองหลวงของโรมาเนียชื่ออะไร พ่อแม่อาจพูดชี้ชวนว่า “ลูกคิดว่าเราจะหาคำตอบได้จากไหน พจนานุกรมหรือแผนที่ดีล่ะ”
“เมื่อลูกได้คะแนนไม่ดี ควรถามลูกว่าเป็นเพราะอะไร” ฟูลเลอร์กล่าว “ถามด้วยว่าลูกอยากเรียนพิเศษไหม หรือเป็นเพราะแค่ไม่ตั้งใจเรียน”
7. ตั้งความหวังให้สูงไว้ เมื่อมาร์วา คอลลินส์ นักการศึกษาผู้มีชื่อเสียงเริ่มสอนนักเรียนในชุมชนแออัดเมื่อปี 2502 เธอพบว่าผู้ใหญ่คาดหวังในเด็กเหล่านี้น้อยมาก เธอไม่ชอบใจอคติดังกล่าว จึงเปิดโรงเรียนขื้นเอง โดยวางหลักการไว้ว่า เด็กทุกคนสามารถประสบความสำเร็จได้หากผู้ใหญ่ตั้งความหวัง ผลลัพธ์ที่ได้สร้างความงุนงงให้วงการศึกษาอย่างยิ่ง
คอลลินส์ซึ่งใช้นามสกุลเดิมว่าเน็ตเทิลส์ ถูกผู้ใหญ่ตอกย้ำตลอดเวลาว่าล้มเหลวไม่ได้ เธอเติบโตขึ้นมาในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำในรัฐแอละแบมา ที่มีการเหยียดผิวรุนแรง แม่บอกเธอทุกเช้าว่า "อย่าลืม ลูกเป็นเน็ตเทิลส์คนหนึ่ง และเน็ตเทิลส์ทุกคนต้องประสบความสำเร็จ"
"แม้ไปเรียนต่อในวิทยาลัย แม่ก็เขียนจดหมายไปหาดิฉัน และเริ่มต้นด้วยคำพูดดังกล่าวเสมอ" คอลลินส์กล่าว "คำพูดเหล่านั้นตราตรึงอยู่ในจิตสำนึกของดิฉัน และยังดังก้องอยู่ในความคิดมาจนทุกวันนี้" เธอกล่าวว่าความคาดหวังสูงของพ่อแม่ เป็นต้นเหตุให้เธอทำงานหนักและประสบความสำเร็จในที่สุด
วิธีหนึ่งในการส่งเสริมให้เด็กคิดถึงอนาคตของตัวเองก็คือ การตั้งจุดมุ่งหมายของครอบครัว คอลลินส์ขอให้พ่อแม่ของนักเรียนแต่ละคนเขียนถ้อยแถลงชี้แจงว่า ครอบครัวของตนมุ่งมั่นจะประสบความสำเร็จใดบ้างในปีนั้น แล้วนำถ้อยแถลงทุกแผ่นไปติดอวดไว้ "คำพูดมีพลังยิ่งนัก" เธอกล่าว "เมื่อคุณเดินเข้าไปในโรงเรียนของเรา คุณจะรู้สึกถึงจิตใจที่มุ่งสู่ความเป็นเลิศ"
ในฐานะที่เป็นครู คอลลินส์กล่าวว่า ความมุ่งมั่นของเธอก็คือ "ไม่ทอดทิ้งเด็ก ดิฉันจะทำให้นักเรียนอ่อนกลายเป็นนักเรียนเก่ง และทำให้นักเรียนเก่งกลายเป็นนักเรียนยอดเยี่ยม"
ที่มา //www.arunsawat.com/board/index.php?topic=1118.0;wap2 ภาพจาก //hubpages.com/hub/
สารบัญ เรื่อง แม่และเด็ก คลิกดู ที่นี่ค่ะ
Create Date : 19 พฤศจิกายน 2552 |
|
0 comments |
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2552 19:17:26 น. |
Counter : 977 Pageviews. |
|
|
|