สอนลูกให้มีทัศนคติที่ดีต่อตัวเอง
“สร้างทัศนคติที่ดีให้กับตัวเอง” ดูเหมือนง่าย แต่เอาเข้าจริงทำได้จริงหรือ..! หรือเป็นเพียง “ทัศนคติที่ดี” ในความหมายของเราเอง เรื่องทัศนคติเป็นเรื่องส่วนบุคคล ซึ่งขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการถูกเลี้ยงดูมาอย่างไร และรายละเอียดประสบการณ์ของชีวิตที่หล่อหลอมให้เป็นอย่างไร เมื่อผนวกเข้ากับพื้นนิสัย ก็ทำให้คนๆ นั้นมีทัศนคติอย่างไรกับชีวิต
เรามักจะพูดถึง “พลังเชิงบวก” ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี ที่ใคร ๆ ก็ปรารถนา แต่การจะสร้างพลังเชิงบวกได้ คงต้องเริ่มจากจากตัวเราก่อน ซึ่งก็คือ ทัศนคติที่ดีต่อตัวเราและผู้อื่น ยิ่งเมื่อเป็นพ่อแม่คน เรื่องทัศนคติยิ่งเป็นเรื่องสำคัญ เพราะนั่นหมายถึงการส่งผ่าน การปลูกฝัง การเลี้ยงดูมนุษย์น้อยที่จะเติบโตขึ้นไปได้งอกงามด้วยทัศนคติที่ดีต่อชีวิตหรือไม่ ดร.บราเซลตัน (Dr. Braxelton) กล่าวว่า ครอบครัวมีส่วนอย่างมากในเรื่องความเครียดของเด็ก และจะมีผลต่อเด็กเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ความก้าวร้าวรุนแรงทั้งหลายของวัยรุ่น การฆ่าตัวตายของเด็กสาวท้องก่อนวัย ล้วนเป็นปัญหาร้ายแรงที่กำลังเกิดขึ้นกับเด็กยุคใหม่
สาเหตุที่สำคัญคือ เราลืมสร้างทัศนคติที่ดี ภาพพจน์ที่ดีต่อตัวเองให้กับเด็ก สิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะช่วยให้เด็กมีทัศนคติที่ดีต่อตัวเอง แต่การเลี้ยงดูในช่วง 2-3 ปีแรก เป็นช่วงสำคัญมากที่สุดที่จะสร้างทัศนคติที่ดีต่อตัวเองให้กับเด็ก ซึ่งถือเป็นพื้นฐานเบื้องต้นที่ทำให้คนเราประสบความสำเร็จในอนาคต ดร.บราเซลตัน ได้จัดทำแบบทดสอบในการตรวจดูพฤติกรรมของทารกแรกเกิดประมาณ 28 อย่าง ซึ่งจะทำให้พ่อแม่เข้าใจว่าพฤติกรรมต่างๆ ของเด็กหมายความว่าอย่างไร เพื่อตรวจดูทัศนคติที่ดีต่อตัวเอง ความรู้สึกว่าตัวเองทำได้ ความคาดหวังว่าตัวเองจะประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นสิ่งที่ส่งเสริมให้เกิดขึ้นได้ตั้งแต่ขวบปีแรก “เราสามารถตรวจสอบเด็กอายุ 8 เดือนแล้วบอกได้ว่าเด็กคนนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ในอนาคต”
ยกตัวอย่าง ถ้าเขาเอาบล็อกไม้สี่เหลี่ยม 2 อันมาชนกันให้เด็กดู แล้วดูซิว่าจะเกิดอะไรขึ้น เด็กที่จะประสบความสำเร็จจะแกล้งปล่อยบล็อกอันหนึ่งลงไป แล้วดูว่าผู้ใหญ่จะเก็บขึ้นมาหรือไม่ หลังจากหยิบขึ้นมาให้เด็ก เด็กก็จะทิ้งบล็อกอีกอันหนึ่ง แล้วดูอีกว่าจะเก็บขึ้นมาให้อีกไหม ถ้าเก็บให้แล้วคุณหมอบอกว่าให้เอาบล็อกไม้ 2 อันมาชนกันเหมือนที่ทำให้ดู เด็กก็จะเอาบล็อกไม้มาตีกัน มาชนกัน แล้วมองหน้าผู้ใหญ่เหมือนจะบอกว่า “เห็นมั้ยทำได้แล้ว” ซึ่งเป็นการแสดงออกว่า เด็กคนนี้มีความคาดหวังว่าตัวเองจะประสบความสำเร็จในอนาคต
ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้พัฒนาการทางด้านนี้เป็นไปอย่างสมบูรณ์ คือ ปัจจัยภายใน เช่น ถ้าเด็กรู้ว่าตัวเองคลานได้ เดินได้ ครั้งแรกที่ทำสิ่งต่างๆ ได้ เด็กจะยิ้มเหมือนกับจะบอกว่า “เห็นมั้ย ทำได้แล้วนะ” ประสบการณ์นี้เอง จะส่งข้อมูลกลับเข้าไปในตัวเด็ก ทำให้เด็กมีทัศนคติที่ดีกับตัวเองว่าเขาทำได้ ซึ่งความรู้สึกที่รู้ว่าตัวเองทำได้จะนำไปสู่ความมั่นใจ โดยเฉพาะความคิดของเด็กเล็ก จะเกิดความรู้สึกว่าตัวเองได้ครองโลกนี้ นี่เองจะเป็นตัวกระตุ้นให้เด็กพยายามที่จะมีพัฒนาการขั้นต่อไป เพื่อจะได้ค้นพบว่า ตัวเองทำอะไรได้บ้าง และส่งข้อมูลกลับเข้าไปอีก
ในส่วนของปัจจัยภายนอก ยกตัวอย่าง ทารกแรกเกิดได้ยินเสียงเบาๆ ของแม่จะทำให้เด็กสงบลง เด็ก 2-3 สัปดาห์จะเริ่มยิ้ม ถ้าหากว่ายิ้มแล้วมีคนยิ้มตอบ หรือเด็กส่งเสียงแล้วมีคนส่งเสียงตอบ ก็จะเริ่มมีปฏิกิริยาโต้ตอบกัน เล่นกัน เพราะฉะนั้น ปฏิกิริยาหรือปัจจัยภายนอกเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นให้สมองพัฒนาไปทุกๆ ส่วน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านกล้ามเนื้อ ความฉลาด หรือพัฒนาการทางอารมณ์ ซึ่งจะก่อให้เกิดความรู้สึกว่าตัวเด็กมีความสำคัญ เกิดความรู้สึกไว้ใจคนรอบข้าง
การที่เด็กเล็ก ๆ ยั่วให้พ่อแม่โกรธหรือยั่วให้ทำโทษ ก็เป็นวิธีที่เด็กพยายามพิสูจน์ว่าโลกนี้เป็นของเขา เขาสามารถจัดการได้ พัฒนาการแต่ละขั้นตอนจะเป็นส่วนกระตุ้นให้เด็กมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เมื่อเด็กพยายามจะเดินหรือเริ่มฝึกการขับถ่าย เริ่มการอ่าน หรือเริ่มมีความคิดต่างๆ การที่พ่อแม่ส่งเสริมให้เด็กทำได้เอง จะเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะทำให้เด็กเป็นตัวของตัวเอง รู้สึกมั่นใจว่าเขาสามารถจัดการได้ และมีทัศนคติที่ดีต่อตัวเอง ตรงกันข้าม ถ้าเด็กไม่ได้รับการตอบสนองที่ถูกต้อง เด็กถูกทอดทิ้ง ถูกทำร้าย หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่หดหู่ ซึมเศร้า เด็กจะเป็นคนโมโหง่าย ซึมเศร้า ไม่มีความหวัง ตั้งแต่อายุแค่ 2-3 ขวบ แม้จะยังมีโอกาสดีขึ้นได้ แต่เด็กยิ่งโตเท่าไรก็ยิ่งแก้ไขยากขึ้นเท่านั้น ฉะนั้น การช่วยให้เด็กเกิดความรู้สึกดีกับตัวเองจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก เมื่อไรที่เด็กสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้แม้เป็นสิ่งเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน เด็กจะรู้สึกดีกับตัวเองโดยเฉพาะเมื่อได้รับคำชมจากพ่อแม่
การสอนให้ลูกมีทัศนคติในการมองชีวิตและใช้ชีวิตที่ดี เป็นเรื่องจำเป็น แม้นับวันสิ่งเหล่านี้ค่อย ๆ หดหายไปก็ตาม แต่อย่าลืมว่า ลูกต้องเติบโตบนโลกใบนี้ โดยที่อาจไม่มีคุณ แล้วคุณอยากให้ลูกของคุณมีความสุขด้วยทัศนคติที่ดีหรือไม่..!!
โดย สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน
บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง 5 วิธี สอนลูกให้คิดบวก
สารบัญ เรื่อง แม่และเด็ก คลิกดู ที่นี่ค่ะ
Create Date : 30 มิถุนายน 2552 |
Last Update : 30 มิถุนายน 2552 20:08:32 น. |
|
2 comments
|
Counter : 1239 Pageviews. |
|
|
|