แฝด ความเหมือนที่แตกต่าง
บ้านไหนมีลูกแฝดอย่างดิฉันบ้างค่ะ ? นอกจากเรื่องสุขภาพกายของลูก ที่ดิฉันเป็นห่วงเหมือนคุณแม่บ้านอื่นแล้ว ก็เป็นเรื่องการเลี้ยงดูนี่ล่ะค่ะ ที่ดิฉันไม่แน่ใจว่าจะเลี้ยงดูเขาอย่างไรดี ควรจะเลี้ยงเหมือนกับเด็กทั่วๆ ไป หรือมีเรื่องที่ต้องดูแลเป็นพิเศษหรือเปล่า ถ้าใครกำลังกังวลใจเหมือนดิฉันอยู่ล่ะก็ อ่านต่อสิคะ เพราะดิฉันน่ะไปขอคำแนะนำดีๆ จาก นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ มาแล้วค่ะ และอยากจะแชร์ให้แม่ๆ ที่มีลูกแฝดเหมือนอย่างดิฉันได้รู้ด้วย
พฤติกรรมของฝาแฝด พฤติกรรมของเด็กแฝดในช่วงวัยนี้ไม่ต่างจากเด็กคนอื่นหรอกค่ะ ขึ้นอยู่กับพื้นฐานทางอารมณ์ประสบการณ์ที่ผ่านมา โดยพฤติกรรมต่างๆ จะเป็นไปตามพัฒนาการของช่วงวัยเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นช่วงแห่งการต่อต้านความกังวล จากการแยกจากคุณพ่อคุณแม่ การเลียนแบบ หรือแม้แต่ช่วงวัยป่วนที่เรามักได้ยินกันว่า เทอร์ริเบอร์ทู (Terrible Two)
สิ่งที่มีความแตกต่างกันสำหรับเด็กแฝด และเด็กคนอื่นจนคุณพ่อคุณแม่รู้สึกได้คือ ต้องรับศึกหนัก เพราะมีลูกป่วนพร้อมกันเลยทีเดียวมากกว่า 1 คน อย่างที่ดิฉันหรือคุณๆ กำลังประสบอยู่นี่แหละค่ะ
และโดยลึกๆ แล้วเด็กแฝดจะมีการแข่งขันกันตลอดเวลา แต่ผลจากการแข่งขันนั้นจะแสดงออกมาให้ผู้อื่นเห็น ในลักษณะของการเลียนแบบกัน แต่การแข่งขันกันเป็นประโยชน์ข้อหนึ่งของการมีคู่แฝดค่ะ เพราะเป็นเสมือนแรงจูงใจให้เด็กอีกคน พัฒนาตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น คนหนึ่งเริ่มควบคุมการขับถ่ายได้แล้ว คู่แฝดอีกคนก็จะพยายามพัฒนาตัวเองให้ทำได้บ้าง เป็นต้น
แต่ทั้งนี้ต้องควบคู่ไปกับการเลี้ยงดูของครอบครัวด้วยนะคะ ที่จะไม่ใช้จุดนี้ไปเปรียบเทียบกดดัน จนกลับตาลปัตรกลายเป็นเกิดผลเสียกับลูกไป
ในความเหมือน มีความต่าง ความเหมือนกันมากที่สุดสำหรับคู่แฝดคือ สิ่งแวดล้อมรอบตัวที่เขาเกิดมาและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ซึ่งจะเป็นประสบการณ์ ที่หล่อหลอมคู่แฝดให้มีความเหมือนกันได้มากขึ้น เพราะเขาอยู่ในช่วงเวลาและสิ่งแวดล้อมเดียวกัน
หลักการข้อหนึ่งของการเลี้ยงลูกแฝดคือ ต้องให้เขามีความเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุดค่ะ คุณพ่อคุณแม่ต้องยอมรับความต่างของเขาตั้งแต่เล็ก และควรตอบสนองตามความรู้สึกของลูกที่แตกต่างหรือเหมือนกัน โดยไม่บังคับให้เขาต้องเหมือนกันในทุกเรื่อง
และแม้คู่แฝดจะมีความคล้ายคลึงกันมาก แต่ก็ยังมีความแตกต่างกันในบางเรื่องไม่ต่างจากพี่น้องทั่วไป เช่น หน้าตาก็ไม่ได้เหมือนกันแบบพิมพ์ขนม อุปนิสัยใจคอก็ต่างกัน ความชอบ ไม่ชอบ เช่น ลูกคนหนึ่งอาจชอบรับประทานไอศกรีม อีกคนชอบหวานเย็น ขณะที่ทั้งสองชอบสีแดงเหมือนกัน เป็นต้น
ปัญหาของฝาแฝด ปัญหาที่พบได้บ่อยสำหรับเด็กแฝดคือ พัฒนาการด้านภาษาค่ะ คุณหมอบอกว่าเคยมีการศึกษาพบว่า ในช่วงเล็กๆ ก่อนพูดได้คล่องเหมือนเด็กโต เด็กแฝดอาจมีพัฒนาการทางด้านภาษาล่าช้ากว่าเด็กทั่วไปจากหลายสาเหตุ ตั้งแต่เด็กแฝดอาจคลอดก่อนกำหนด มีน้ำหนักแรกคลอดน้อย พ่อแม่พูดคุยด้วยน้อยกว่าการเลี้ยงลูกทีละคน หรือเขาอาจมีภาษาของตนเองซึ่งเรียกว่า “ภาษาเด็กแฝด” ซึ่งสามารถสื่อสารให้เข้าใจกันได้โดยที่คนอื่นไม่เข้าใจ ทำให้การเรียนรู้ภาษาเพื่อใช้ในสังคมกับคนอื่นอาจช้าไปบ้าง
แต่ไม่ต้องกังวลไปค่ะ คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยลูกได้ไม่ยากคือ ต้องพูดคุยกับลูกบ่อยๆ ผ่านกิจวัตรประจำวัน เช่น ชี้แล้วบอกให้ลูกดูนกที่บินมา พูดคุยกับลูกให้สังเกตสุนัขที่เดินผ่านไป เล่านิทานก่อนนอนพูดคุยระหว่างมีกิจกรรม หรือปฏิบัติกิจวัตรประจำวันร่วมกัน ฯลฯ หากสักขวบครึ่ง เขายังไม่พูดคำที่มีความหมาย หรือ 2 ขวบแล้วยังรู้คำที่มีความหมายไม่กี่คำ ควรพาไปพบคุณหมอเพื่อประเมินพัฒนาการและให้ความช่วยเหลือต่อค่ะ
เลี้ยงแบบนี้ ไม่มีปัญหา
1. คุณพ่อคุณแม่ต้องเข้าใจนะคะว่า ลูกมีทั้งความต่างและความเหมือน ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะตัวของเขาไม่ต่างจากพี่น้องทุกคน คุณพ่อคุณแม่จะเข้าใจลูกแต่ละคนได้ ต้องมีเวลาใกล้ชิดและสังเกตลูกอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตอบสนองอย่างเหมาะสม ไม่พยายามทำให้ลูกเหมือนกันโดยไม่จำเป็น
2. ไม่เปรียบเทียบระหว่างคู่แฝด เช่น คนนี้พูดเก่ง คนนี้ฉลาดกว่าคนนี้ คนนี้ซนกว่า ทำไมไม่ทำอย่าง...ล่ะ
3. มีเวลาอยู่กับลูกแต่ละคนตามลำพังบ้าง โดยอาจแบ่งและสลับสับเปลี่ยนกันระหว่างคุณพ่อกับคุณแม่ เพื่อให้เขารู้สึกว่าได้รับความสนใจเท่าๆ กัน
4. หากต้องให้รางวัล ควรให้กับลูกทีละคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่เฉพาะสิ่งของเท่านั้นนะคะแม้แต่กอด หอมหรือชมกันก็สำคัญค่ะ
5. เลี้ยงลูกอย่างมีอารมณ์ขัน การเลี้ยงลูกแฝดมักทำให้คุณพ่อคุณแม่เหน็ดเหนื่อยมากกว่าปกติ แต่หากมองให้ดีจะเห็นว่า เด็กๆ ช่วงวัย 1-3 ปี มีเรื่องชวนให้ขำขันจนหายเหนื่อยอยู่มากมายเลยค่ะ ยิ่งมีลูก 2 คนในวัยเดียวกัน ก็ยิ่งมีเรื่องราวสนุกสนานประทับใจเกิดขึ้นได้มากกว่า ถ้ามองอย่างนี้ความเครียดก็ไม่กระทบถึงตัวลูกค่ะ
6. แม้จะต้องการส่งเสริมความเป็นตัวของตัวเองให้กับเขา แต่ต้องยอมรับความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง ซึ่งสนิทสนมกันมากเป็นพิเศษ ด้วยการไม่พยายามแยกเขาออกจากกันหากลูกยังไม่พร้อม เช่น แยกคนหนึ่งไปเนิร์สเซอรี่ อีกคนให้พี่เลี้ยงดูที่บ้าน ควรรอให้เขามีความพร้อมก่อน เมื่อเขาโตขึ้นกว่านี้ เขาอาจพร้อมมากขึ้นกับการแยกจากกัน เช่น สามารถไปโรงเรียนโดยอยู่คนละห้องได้ เป็นต้น
การเป็นลูกแฝดเป็นโอกาสดีสำหรับเด็ก ในการฝึกทักษะด้านสังคมกับผู้อื่นได้ดีและเร็วกว่าพี่น้องคนอื่น ดังนั้น หากคุณพ่อคุณแม่เลี้ยงดูให้เหมือนเด็กทั่วไป เขาจะพัฒนาทักษะได้ดีกว่าเด็กคนอื่นในวัยเดียวกัน ใครที่กังวลก็เลิกกังวล และหันไปมีความสุขกับจอมป่วนตัวน้อยของคุณ เหมือนอย่างดิฉันตอนนี้กันเถอะค่ะ
ข้อมูลจาก รักลูก ที่มา : //www.elib-online.com/doctors49/child_twin001.html ภาพจาก : //www.thefrisky.com
สารบัญ เรื่อง แม่และเด็ก คลิกดู ที่นี่ค่ะ
Create Date : 02 เมษายน 2553 |
Last Update : 2 เมษายน 2553 20:32:00 น. |
|
0 comments
|
Counter : 4525 Pageviews. |
|
|
|
|
|