Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2552
 
 
26 ธันวาคม 2552
 
All Blogs
 
สอนลูกให้เป็น “ไทย”



สังคมไทยในรอบปีที่กำลังจะผ่านพ้นไปเรียกได้ว่าหนักเอาการ
ทั้งปัญหาเศรษฐกิจของโลก ที่ส่งผลกระทบต่อสังคมไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และปัญหาการเมืองภายในของเราเอง ที่กระหน่ำซ้ำเติมให้ปัญหาเศรษฐกิจหนักหนาสาหัสยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าทุกอย่างมันจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น นี่ปีใหม่ก็กำลังจะมาถึงแล้ว
อะไรที่มันไม่ดีก็ขอให้มันเสียเถอะครับ เรามาเริ่มต้นใหม่
พร้อมกับปีใหม่พร้อมกับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงกันดีกว่า

แต่สิ่งที่ผมยังเป็นกังวลไม่ใช่เรื่องของการเมือง หรือเรื่องของเศรษฐกิจ
ผมกังวลเกี่ยวกับโรคแทรกซ้อนอันเป็นผลเนื่องมาจากการเมืองที่ผ่านมา
ที่เลวร้ายให้กับลูกหลานไทยอย่างน่ากลัวยิ่งนัก

การด่าประจานกันด้วยถ้อยคำหยาบคาย ประชดประชัน และแดกดันผ่านทางสื่อต่างๆ
การใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา การละเมิดกฏหมาย ละเมิดผู้อื่นโดยอ้างสิทธิตามรัฐธรรมนูญ
การแบ่งกลุ่มเลือกข้าง การไล่ตามด่ากันตามสถานที่ต่างๆ เหล่านี้คือแบบอย่างที่ลูกหลานไทยได้รับรู้
และซึมซับแบบเต็มๆ ตลอดปีที่ผ่านมา ส่วนผลจะเป็นอย่างไรนั้น
อีกไม่นานเราคงได้สัมผัสกับผลงานที่ผู้ใหญ่หลายๆ คนได้ช่วยกันสร้างขึ้นกับลูกหลานของเรา

ผมได้เขียน และพูดมาตลอดว่าในสมองของมนุษย์ทุกคนนั้น มีเซลล์อยู่ชนิดหนึ่งเรียกว่า “เซลล์กระจกเงา”
หน้าที่อย่างหนึ่งของมันก็คือ “การเลียนแบบ” เอาพฤติกรรมต่างๆ ของคนอื่นมาเป็นพฤติกรรมของตัวเอง

การที่คนโบราณสอนเราว่า “ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น” นั่นแหละครับคือการทำงานของเซลล์กระจกเงา
ซึ่งแปลว่าพ่อแม่มีนิสัยอย่างไร ลูกก็ย่อมมีนิสัยไม่แตกต่างกัน
การได้เห็นแบบอย่าง เห็นวัตรปฏิบัติของพ่อแม่อยู่ทุกวัน เซลล์กระจกเงาที่ว่ามันก็จะทำการเลียนแบบ
นำเอาวัตรปฏิบัติของพ่อแม่มาเป็นของตนเอง
ไม่ว่าพ่อแม่จะมีนิสัยดีหรือไม่ดีอย่างไร เซลล์กระจกเงามันรับมาหมด
คนโบราณถึงได้พูดกันว่า “ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น” ยังไงละครับ

ในสมองผู้ใหญ่อย่างเราก็มีเซลล์กระจกเงาด้วยเช่นกัน แต่เหตุที่เราไม่เลียนแบบไปทุกอย่าง
ก็เนื่องมาจากสมองส่วนหน้า หรือ prefrontal cortex ของเรา ซึ่งเป็นส่วนที่คอยทำหน้าที่ตัดสินผิดชอบชั่วดีนั้น
มักเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว เราจึงสามารถเลือกได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรควรหรืออะไรไม่ควร
แต่สำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 20 ปี สมองส่วนนี้ยังโตไม่เต็มที่ แบบอย่างดีหรือไม่ดี เขายังแยกแยะได้ไม่ดีนัก
เมื่อเจอแบบอย่างไม่ดีเข้าบ่อยๆ โอกาสที่เขาจะเลียนแบบเข้าไปมันจึงเกิดขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม ในวิกฤตมักจะมีโอกาส ในความไม่ดีก็สามารถเอามาเปรียบเทียบ
เพื่อช่วยให้เราได้มองเห็นความดีชัดเจน ยิ่งขึ้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเราในรอบปีที่ผ่านมา
หากเรามองว่ามัรคือความเสียหายเพียงอย่างเดียว ก็คงจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร
แต่หากนำสิ่งเหล่านี้มาเป็นอุทธาหรณ์เตือนใจ เพื่อที่จะช่วยให้เราไม่พลาดอีก
หรือเพื่อกระตุ้นเตือนให้เราได้ทำการป้องกันความเสียหาย ที่จะเกิดขึ้นกับลูกหลานของเรา ก็คงดีกว่า
ที่เราจะเอาแต่บ่น ข้อสำคัญการเอาแต่บ่นของเราก็จะเป็นแบบอย่าง ที่ไม่ดีให้แก่ลูกหลานของเราอีก เช่นกัน

“ความเป็นไทย” คือสิ่งที่พ่อแม่ไทยทุกคนอยากให้ลูกมี แต่เรามักจะสอนความเป็นไทยให้แก่ลูกด้วยการบอกเล่า

ในขณะที่สิ่งแวดล้อม ตัวอย่างของความเป็นไทย รอบตัวของเราและลูกๆ ดารานักร้องและนักแสดงที่พูดถึง
เรื่องการเปลี่ยนคู่โดยถือเป็นเรื่องธรรมดา การทดลองอยู่ด้วยกันฉันผัวเมียก่อนที่จะมีการแต่งงานกันตามประเพณี
เพื่อทดสอบว่าจะอยู่ด้วยกันหรือไม่ ถ้าอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็แยกทางกัน การแต่งกายที่ล่อแหลม ฯลฯ
เหล่านี้ล้วนแต่เป็นพฤติกรรมที่สวนทางกับความเป็นไทยทั้งนั้น

เราคงจะไม่สามารถไปหยุดยั้งปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่ให้เกิดขึ้น
แต่เราก็สามารถจะใช้สิ่งเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ได้ โดยพูดบอกและแสดงให้ลูกของเราเห็นว่า
เราไม่ชอบพฤติกรรมเหล่านี้ นี่คือการใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ ที่สวนทางกับความเป็นเอกลักษณ์ของชาวไทย
ที่กำลังที่กำลังปรากฏให้เห็นอยู่อย่างดาษดื่น ในสังคมไทยยุคปัจจุบัน

ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสมองมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นความรู้เรื่องเซลล์กระจกเงา
ความรู้เรื่องพัฒนาการของสมองส่วนหน้าที่ ทำหน้าที่ตัดสินผิดชอบชั่วดีให้กับ เรา
ทำให้เรารู้ว่าวิธีการเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดของคนเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็กๆ คือ
การเรียนรู้จากการเห็นแบบอย่างจากผู้ใหญ่ หรือการเลียนแบบนั่นเอง

การเรียนรู้เรื่องภาษา ทักษะในการดำเนินชีวิต
การทำมาหากิน การรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี ล้วนเกิดจากการเลียนแบบทั้งสิ้นครับ
ดังนั้น หากเราต้องการให้ลูกของเรามีความเป็นไทยเกิดขึ้น
สิ่งที่เราจะทำก็คือ การทำแบบอย่างของความเป็นไทยให้ลูกได้เห็นและสัมผัส

เราต้องทำให้ลูกเป็นคนมีสัมมาคารวะต่อผู้ใหญ่
วิธีการสอนคือ เราต้องแสดงความมีสัมมาคารวะต่อผู้ใหญ่ ต่อพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ของเราให้เขาเห็น

เราต้องการให้ลูกของเราเป็นคนใจเย็น ไม่ชอบการทะเลาะเบาะแว้ง
เราก็ต้องแสดงความเป็นคนใจเย็นให้เขาดู และไม่ทะเลาะกันให้เขาเห็น

เราต้องการให้เขาเป็นคนที่มีความเมตตากรุณา รู้จักเอื้อเฟื้อแก่ผู้อื่นก็ต้องสอนโดยการแสดงความเมตตา
แสดงความเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่นให้เขาได้ดูเป็นแบบอย่าง

ผมคงไม่สามารถจาระไนความเป็นไทยทั้งหมดได้ แต่หลักที่อยากจะฝากไว้ก็คือ
ให้ทบทวนความเป็นไทยเรื่องไหนบ้างที่เราต้องการสอนลูก
จากนั้นก็พิจารณาว่าความเป็นไทยเรื่องนั้นๆ มันมีวิธีการแสดงออกในเชิงปฏิบัติอย่างไร
เมื่อได้วิธีการแล้ว ก็ลงมือปฏิบัติเป็นกิจวัตรให้ลูกเห็นอย่างสม่ำเสมอ
ไม่นานเขาก็จะสามารถแสดงความเป็นไทยออกมาได้

เมื่อเขาเกิดการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ในที่สุดเขาก็จะค่อยๆ เกิดความเข้าใจในความเป็นไทย
หากผนวกเข้ากับคำอธิบายเชิงเหตุและผลของพ่อแม่ ตามความสามารถในการรับรู้เหตุและผลของเด็ก
ความเป็นไทยของเขาก็จะมีความเข้มแข็งในที่สุด

แต่สิ่งที่จะลืมไม่ได้โดยเด็ดขาดก็คือ เราจะต้องแสดงให้ลูกเห็นได้เสมอ
เมื่อมีโอกาสได้เห็นสิ่งที่สวนทางกับความเป็นไทยว่าเราไม่ชอบ สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่ดี สิ่งที่ไม่ใช่ความเป็นไทยครับ


โดย นพ.อุดม เพชรสังหาร
ข้อมูลจาก รักลูก
ที่มา : //www.elib-online.com


สารบัญ เรื่อง แม่และเด็ก
คลิกดู ที่นี่ค่ะ




Create Date : 26 ธันวาคม 2552
Last Update : 26 ธันวาคม 2552 19:25:30 น. 0 comments
Counter : 667 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.