Group Blog
 
<<
มกราคม 2553
 
31 มกราคม 2553
 
All Blogs
 

ทักษะนิสัยคู่ชีวิต ที่ควรสอนลูก



ทักษะนิสัยคู่ชีวิต 11 ทักษะ มีความสำคัญในการดำเนินชีวิตที่ดี สมดุล เป็นประโยชน์ และเป็นสุข

ทักษะนิสัยคู่ชีวิตทั้ง 11 ทักษะ เป็นเสมือนเครื่องมือขับเคลื่อนภายในตัวคนตั้งแต่เด็กจนตลอดชีวิต
ให้เป็นคนอยากเรียนรู้ อยากศึกษา อยากสำรวจ อยากลงมือทำในสิ่งที่คิด มีฐานข้อมูลครอบคลุมหลายด้าน
มีจุดมุ่งหมาย มีความทุ่มเท มีไฟในการทำงานได้เอง สามารถทำงานและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ดี
มีน้ำใจและสามารถคิดหาคำตอบได้หลากหลาย และที่สำคัญคือมีความสุขได้ในทุกที่ ทุกเวลา ทุกสถานการณ์

ทักษะนิสัยคู่ชีวิตทั้ง 11 ทักษะ ประกอบด้วยทักษะดังนี้
1. ความมั่นใจว่าทำได้ (confidence)
2. ความมีแรงจูงใจอยากทำ (motivation)
3. ความทุ่มเท ใส่ใจ ลงแรง (effort)
4. ตัดสินใจทำในสิ่งที่ถูก (responsibility)
5. ความคิดริเริ่ม ลงมือทำ (initiative)
6. ความเพียรทำงานจนเสร็จ (ferseverance)
7. ความเอื้ออาทร (caring)
8. ความสามารถทำงานเป็นทีม (teamwork)
9. ความมีสามัญสำนึก (common sense)
10. ความสามารถหาคำตอบ (problem solving)
11. ความมีเป้าประสงค์ มั่นคง (focus)


ดร.โดโรที ริช (Dr.Dorothy Rich) ผู้ก่อตั้งสถาบันบ้านและโรงเรียน (The Home and School Institute)
เป็นผู้คิดโครงการ Mega Skills ขึ้นในสหรัฐอเมริกาประมาณ 40 ปีมาแล้ว เพื่อให้เป็นแนวทางให้พ่อแม่และครู
สืบเนื่องมาจากประสบการณ์การเป็นครูภาษาอังกฤษระดับมัธยม และเห็นว่าเด็กนักเรียนมีลักษณะที่เปลี่ยนไป
โดยความสนใจอยากเรียน อยากรู้ อยากมีความสำเร็จน้อยลง คล้ายขาดไฟในการเป็นพลังขับเคลื่อนตัวเอง
และพ่อแม่ก็คาดหวังสูงว่าครูจะต้องแก้ไขในสิ่งที่ขาด หรือผิดไปให้ครบเวลาถูกต้อง

ซึ่งความจริงแล้วพ่อแม่เป็นผู้ที่มีความสามารถมากกว่าใคร ในการให้ลูกมีพื้นฐานทางนิสัยที่จะผลักดันเด็ก
ให้พัฒนาได้อย่างเยี่ยมยอด เพียงแต่ขาดแนวทางและเครื่องมือกระตุ้นความคิดเด็ก

งานของ ดร.ริช ในขณะนี้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา
มีครอบครัวจำนวนกว่าแสนครอบครัวที่มีพ่อแม่ที่ทำกิจกรรม Mega Skills กับลูก
มีโรงเรียนมากมายกว่า 4,000 แห่งใน 48 รัฐ ของสหรัฐอเมริกาที่ดำเนินการเรียนการเรียนการสอน
ในโรงเรียนอนุบาลและประถม ด้วยหลักสูตรที่บรรจุเนื้อหาของ Mega Skills

ในสหรัฐอเมริกามีการศึกษาถึงผลของการใช้กิจกรรมและหลักสูตร Mega Skills กับเด็กอายุ 3-12 ขวบ
โดยครูและพ่อแม่ ในช่วงเวลา 6 เดือน - 1 ปี พ่อแม่และครูพบความเปลี่ยนแปลงดังนี้
1. เด็กมีผลการเรียนดีขึ้น
2. เด็กส่งการบ้านตรงเวลามากขึ้น
3. เด็กใช้เวลาทำการบ้านนานขึ้น
4. เด็กใช้เวลาดูโทรทัศน์น้อยลง
5. เด็กมีปัญหาทางพฤติกรรม เช่น ก้าวร้าว เซื่องซึมน้อยลง
6. เด็กให้ความร่วมมือกับผู้ใหญ่ และเพื่อนๆ มากขึ้น
7. ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่กับเด็กดีขึ้น



Mega Skills ในโรงเรียน
ผู้เขียนเคยไปรับการอบรมการสอนทักษะ Mega Skills ในสหรัฐอเมริกา
และได้เยี่ยมชมโรงเรียนที่ใช้หลักสูตร Mega Skills ด้วย นึกชมเชยเด็กแม้เพิ่งอยู่โรงเรียนประถมปีที่ 1
อายุ 6-7 ขวบเท่านั้น ดูตื่นตัว ยกมือขอครูตอบคำถามครูด้วยความมั่นใจ
รู้จักและใช้คำพูด คำศัพท์ยากๆ ได้หลายคำ อธิบายเรื่องยาวๆ ได้ เช่น

ครูถามว่า คนจะเป็นวีรบุรุษได้ต้องมีลักษณะอะไร ?
เด็กตอบว่า คนนั้นต้องมีความมั่นใจ ต้องอาทรผู้อื่น ต้องกล้าหาญ
มีความอดทน ฝ่าฟันแก้ไขปัญหาได้ ต้องทุ่มเทใส่ใจ

โดยเด็กเล็กๆ ใช้ศัพท์หลายๆ คำที่เป็นทักษะ Mega Skills

เมื่อครูถามว่า เพื่อนที่ลืมนำการบ้านมาส่งครูตามเวลาเป็นคนอย่างไร ?
เด็กก็จะตอบว่า เป็นคนที่ไม่มีความรับผิดชอบ

คำพูดที่บอกลักษณะเหล่านี้
เด็กทั่วไปจะไม่ใช้เพราะมักจะยังไม่รู้จักว่า จะใช้ในโอกาสที่ต้องการสื่อความหมายว่าอย่างไรด้วยซ้ำไป

นอกจากนั้น Mega Skills School Program ในสหรัฐอเมริกา มีอุปกรณ์ เช่น โปสเตอร์ แผ่นพับ เอกสาร
ใช้ประกอบการสอนในหลายวิชา ตั้งแต่ภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ดนตรี
และแม้แต่พละศึกษา เด็กในโรงเรียนเหล่านี้ดูมีสมาธิ ใส่ใจในการเรียนมาก
สังเกตจากการยกมือขอตอบกันตลอดเวลา ในห้องเรียนต่างๆ ดูว่าครูและนักเรียนมีความเข้าใจกันดี
มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ครูเห็นว่าหลักสูตรที่ใช้วิธี Mega Skills เป็นวิธีสอนทำให้สอนง่าย เด็กสนุก
นักเรียนมีแบบฝึกหัด มีการบ้าน มีกิจกรรมที่ทำให้ครูสอนได้สะดวก นักเรียนกระตือรือร้น และมีผลการเรียนดี
และมีลักษณะของ Mega Skills 11 ทักษะข้างต้นในตัวเองเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ


Mega Skills ในบ้าน
Mega Skills มีโครงการที่เป็นการอบรมพ่อแม่ให้ทำกิจกรรม Mega Skills กับลูกที่บ้านด้วย
ซึ่งบางบ้านอาจมีคุณตา คุณยาย คุณปู่ คุณย่า หรือพี่ของเด็กๆ ก็มาร่วมกับการอบรมด้วยได้
เพราะเป็นกิจกรรมที่ทำได้ง่ายๆ ไม่ยาก ไม่ใช้อุปกรณ์พิเศษ หรือมีขั้นตอนยุ่งยากอย่างไร
อาจกล่าวได้ว่าใครที่เข้าใจเด็ก สนใจในพัฒนาการเด็ก รู้จักเด็กดี ก็ทำกิจกรรม Mega Skills กับเด็กได้ทั้งบ้าน

ในที่นี้ขอกล่าวถึงตัวอย่างกิจกรรมที่ใช้ทำกับเด็ก เพื่อสร้างความมั่นใจว่าทำได้ที่บ้านได้แก่
กิจกรรมที่เรียกว่า “หนูเป็นใคร” ซึ่ง ทำได้ง่ายๆ ได้ผลที่ทำให้เด็กปฐมวัยเก่งมากขึ้น
เพื่อเป็นกำลังใจจะมีความมั่นใจก้าวต่อไป พัฒนาต่อไปเรื่อยๆ โดยใช้กระดาษโปสเตอร์สัก 1 แผ่น
รูปถ่ายของเด็ก รูปภาพ ตัดมาจากนิตยสารที่ลูกเลือกว่าเป็นภาพที่ชอบ เช่น ภาพถ่ายตอนเด็ก
ภาพตุ๊กตา ดอกไม้ ลูกสัตว์ บ้าน ห้องนอน โรงเรียน น้อง คุณพ่อ คุณย่า คุณแม่ เพื่อน
ให้เด็กตัดภาพถ่ายของตนเองตรงกลางโปสเตอร์ และเลือกติดภาพต่างๆ ที่เด็กชอบลงรอบๆ
ให้เด็กเขียนคำอธิบายภาพสั้นๆ สนุกๆ แต่งโปสเตอร์ให้สวยงาม ติดโปสเตอร์ในบ้านในที่ที่จะมีคนเห็น
และยังมีกิจกรรมอื่นๆ อีกในการสอนทักษะนี้

หากจะสอนเรื่องแรงจูงใจก็สอนได้ด้วยกิจกรรมง่ายๆ เช่น การเดินไปรอบๆ บ้าน ดูละแวกบ้าน ดูในสวน
ดูท้องฟ้า ดูดอกไม้ ต้นไม้ แมลง ก้อนดิน ดูเมฆ ดูแสง และเงา ในเวลาที่ต่างๆ

ถ้าใช้แว่นขยายในการดูสิ่งเหล่านี้ด้วย
เด็กจะทึ่งและสนใจมากๆ ที่ได้เห็นภาพรายละเอียดเล็กๆ ที่ใครๆ มักมองไม่เห็น
ทำให้สนใจอยากรู้เรื่องละเอียดๆ ที่น่าสนใจที่เป็นทั้งสิ่งประดิษฐ์ และเป็นสิ่งที่อยู่ในธรรมชาติต่อไป
แม้เรื่องใกล้ตัวก็น่าสนใจ ถ้าดูให้ดีๆ และพ่อแม่ก็ให้ความสนใจด้วย

การสอนเรื่องความใส่ใจ ทำได้ด้วยกิจกรรมง่ายๆ เช่น
การชี้ให้เด็กเห็นความใส่ใจ ทุ่มเท ในการทำงาน ของคนใกล้ๆ ตัว เช่น
คำถามว่าในบ้านเรามีคนที่ทุ่มเท ใส่ใจ ในการทำอะไรๆ เป็นใคร เป็นคนไหนบ้าง
เวลาไปเติมน้ำมันก็ให้ลูกสังเกตบริการที่ได้จากเด็กที่ปั๊ม ว่าพนักงานคนไหนใส่ใจในงานหน้าที่ของเขา
หรือบริกรร้านอาหารคนไหนใส่ใจให้บริการ และผู้ที่ไม่ใส่ใจจะมีท่าทีอย่างไร

ในการทำในสิ่งที่ถูกก็สอนได้ง่ายๆ ด้วยการพูดคุยหรือถามคำถามง่ายๆ เช่น
ถ้าคนขับรถเมล์ไม่มาทำงานคนทำงานหลายคนคงไปไม่ถึงที่ทำงาน
ถ้าคนสวนลืมรดน้ำต้นไม้ ต้นไม้ก็จะเฉาตาย
ถ้าคนลืมเอาขยะไปทิ้ง ขยะก็จะเน่าเหม็น เด็กจะพอตอบได้
หรือให้เด็กทำกล่องสวยๆ เฉพาะตัวเขาไว้ใส่ของที่ต้องนำไปโรงเรียนวางไว้หน้าประตู ป้องกันการหลงลืม
หรือหาสิ่งของไม่เจอในเวลาเร่งรีบตอนเช้า ฝึกให้รับผิดชอบ โดยเริ่มต้นจากเรื่องของตัวเอง

กิจกรรมในการสอนความคิดริเริ่มลงมือทำ ต้องเกี่ยวกับการเข้าใจคุณค่าของเวลา
ความเข้าใจเรื่องของเวลาสอนได้ด้วยการจับเวลาในการทำอะไรด้วยกัน เช่น นับเลขได้เท่าไรใน 30 วินาที
พูดคำต่างๆ ตามตัวอักษร เช่น ไก่ แก้ว กิ้งก่า... ได้กี่คำใน 1 นาที หรือแข่งกันอ่านให้ได้มากที่สุดใน 3 นาที

การฝึกความคิดริเริ่ม
อาจช่วยได้ด้วยการจัดให้มีกระดาษแผ่นเล็กๆ และปากกาดินสอไว้ในหลายๆ แห่ง ในบ้าน
รวมทั้งข้างเตียงนอนด้วย เพื่อใช้จดความคิดใหม่ๆ ดีๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลา

พ่อแม่ที่อยากให้ลูกทำงานที่เริ่มให้เสร็จ น่าจะหาโอกาสทำงานบ้านกับลูก
แบ่งงานยากที่ต้องใช้เวลาเป็นงานง่ายๆ เป็นส่วนๆ และช่วยกันทำกับลูก คนละส่วนจนเสร็จ
ถามลูกทุกครั้งที่ทำงานว่า “เสร็จแล้วใช่ไหม” เพื่อให้เด็กตรวจตราดูงานของตนเอง
และเข้าใจความสำคัญของการทำงานให้จบ วิธีนี้ใช้ได้กับการพูดคุย เล่าเรื่องหรือทำกิจกรรมอะไรๆ ก็เหมือนกัน
ควรให้เด็กดูว่างานนั้นเล่าเรื่องต่างๆ เสร็จหรือจบหรือยัง เพื่อสร้างความเข้าใจว่า
การทำงานจนเสร็จเป็นสิ่งที่ควรรู้และควรทำ การชมเชยลูกในเรื่องเช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่ควรทำ

ในเด็กไทยการสอนให้เอื้ออาทรทำได้มากมาย เพราะนิสัยพื้นฐานทางวัฒนธรรมเอื้ออยู่แล้ว
แต่การสอนให้รู้จักอารมณ์ สีหน้า ท่าทาง ของคนก็จะช่วยให้เด็กอ่านภาษากายและไวต่อการเปลี่ยนแปลง
และอ่านอารมณ์ท่าทีของคน เช่น ลองทำกิจกรรมเขียนภาพคน สีหน้าต่างๆ เช่น โกรธ ดีใจ ประหลาดใจ ตกใจ
แล้วให้ลูกลองมองดูและบอก หรือสนุกกว่านั้นก็ได้ ด้วยการเล่นกับลูกสลับกับบทบาทกันในการทำสีหน้าต่างๆ
แล้วถามกัน คำถามอื่นๆ เช่น “หนูรู้ไหมลูกว่า คุณย่าชอบอะไร... คุณพ่อจะเสียใจมากถ้าอะไรเกิดขึ้น..” เป็นต้น


การทำงานเป็นทีม
สมัยนี้การทำงานเป็นทีมเป็นเรื่องสำคัญมากๆ โครงการน่าสนใจมักเป็นโครงการที่มีงานหลายด้าน
ที่มีการวางแผนหลายๆ ขั้นตอน และกระบวนการซับซ้อน ถ้าเด็กทำงานเป็นทีมได้ ก็หมายถึงรู้จักหน้าที่ของตน
หน้าที่คนอื่น รู้จักความสำคัญมากของงานที่คนต้องพึ่งพากัน รับผิดชอบกันและกัน สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
พ่อแม่แบ่งงานให้ลูกทำได้ในบ้าน หรือดูข่าวหนังสือพิมพ์ด้วยกัน
เรื่องความช่วยเหลือของผู้คนมากมายในกรณีที่มีอุบัติภัยเกิดขึ้น
หรือดูโฆษณารับสมัครงานในตำแหน่งต่างๆ ในบริษัท เช่น
ถามลูกว่าในบริษัทขายบ้านต้องมีคนทำหน้าที่อะไรกันบ้าง
หรือพาลูกไปดูสถานที่ก่อสร้างดูคนทำงานในหน้าที่ต่างๆ
อาชีพต่างกัน ทักษะต่างกัน ตำแหน่งต่างกัน แต่ร่วมสร้างสิ่งที่ดียิ่งใหญ่ด้วยกัน เป็นต้น

สามัญสำนึกดีต้องผ่านการฝึกฝนและผ่านประสบการณ์มา
เพราะจะทำให้เด็ก มีความคล่องตัวและพร้อมสำหรับการวางแผนทำงานจัดระบบได้มาก
กิจกรรมแรกๆ ที่สอนสามัญสำนึกได้ เช่น การรู้จักใช้เวลา เช่น การลองจับเวลาโฆษณาทีวีด้วยกัน
จับเวลาอ่านหนังสือด้วยกัน ลองวัดความสูง ความกว้าง ของทุกๆ อย่างในบ้านไม่ว่าจะเป็นประตู โต๊ะ เก้าอี้
โคมไฟ หน้าต่าง หรือชั่งทุกอย่าง เพื่อให้รู้จักความเข้าใจด้านน้ำหนัก
ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้เด็กคุ้นเคยกับสิ่งของต่างๆ รู้จักจัดระบบรูปร่างของสิ่งต่างๆ
ง่ายกับการนำความคิดมาประยุกต์ใช้ในการทำงานทุกวันได้ดี

พ่อแม่คงอยากให้ลูกสู้ปัญหา ไม่หนีปัญหา
และมีความสามารถในการหาคำตอบในสิ่งต่างๆ ได้บ้าง จากง่ายไปหายาก
การให้ลูกดูทีวี และปิดเสียงจะช่วยฝึกได้ด้วย
การให้เด็กลองนึกว่าสีหน้าท่าทาง สถานที่ นั้นๆ น่าจะเป็นเรื่องอะไร ร้ายหรือดี
หรือลองคิดวิธีแก้ปัญหาได้บ้าง เช่น หากลืมกุญแจไว้ในบ้านจะทำอย่างไร ? ถ้าลืมกุญแจรถจะทำอย่างไร ?
ถ้าพ่อแม่ไม่กลับบ้านจนดึกดื่นจะทำอย่างไร ? ถ้าอยากเดินทางลพบุรีจะต้องรู้อะไรบ้าง ? ต้องหาข้อมูลที่ไหน ?


การมีเป้าหมายและสามารถรวบรวมจิตใจในการทำอะไรจะทำให้เรียนรู้ได้ดี
รู้จักข้อมูลด้านต่างๆ มากพอที่จะทำให้งานต่างๆ น่าสนใจ
หรือสามารถทำงานอย่างมีเป้าหมายจนทำงานสำเร็จได้ดี

พ่อแม่สอนลูกได้ด้วยการทำกิจกรรมที่มีเป้าหมายเล็กๆ ก่อน เช่น อ่านหนังสือ ค้นคว้า บางเรื่องด้วยกัน
หรือดูทีวีข่าวต่างประเทศ และดูแผนที่หาข้อมูลของประเทศนั้นๆ หรือสนทนาร่วมกัน
โดยผลักดันให้โอกาสแต่ละคนพูด 5 นาที ให้ทุกคนตั้งใจฟัง อดทน หรือให้ดูละครทีวีและถามเนื้อหาเรื่องราว
ชื่อตัวละคร คำพูด สีเสื้อผ้า และให้ลองเดาเรื่องราวตอนจบ จะช่วยให้เด็กใส่ใจในรายละเอียดต่างๆ ได้ดีขึ้น

การมีจุดประสงค์ มีสติ
อาจเริ่มสอนได้ง่ายๆ ด้วยการให้โอกาสลูกในการอ่านหนังสือในบ้าน ในห้องต่างๆ ในรถ
มีหนังสือหลายๆ หัวข้ออยู่เสมอ มีการสับเปลี่ยนแลกหนังสือกับห้องสมุด กับเพื่อนๆ
ให้บ้านเรามีหนังสือใหม่ๆ น่าสนใจอยู่เสมอ
พ่อแม่ก็ควรเป็นนักอ่าน นักถาม นักคุย นักค้นคว้า อยากรู้ อยากลอง อยากทำ ตื่นตัวอยู่เสมอ

Mega Skills เป็นโครงการที่รุ่มรวยด้วยความคิด และมีกิจกรรมมากมายที่ผ่านการทดลองมาแล้วว่า
จะสร้างทักษะพื้นฐานสำคัญของชีวิตให้เด็กๆ ได้ดี ทั้งนี้ เพื่อให้ครอบครัวเป็นฐานที่มั่นคงที่สร้างทักษะคู่ชีวิต
ที่ทำให้ลูกหลานเติบ โตมีความมั่นคงทั้งกาย สติปัญญา จิตใจ และมีชีวิตที่เพียงพอ ที่งดงาม
มีความพอใจในชีวิตที่น่าสนใจที่สร้างประโยชน์ มีความหมายต่อไป ได้ด้วยตนเองไปตลอดชีวิต


โดย ดร.สายฤดี วรกิจโภคาทร
ข้อมูลจาก หมอชาวบ้าน
ที่มา : //www.elib-online.com


สารบัญ เรื่อง แม่และเด็ก
คลิกดู ที่นี่ค่ะ




 

Create Date : 31 มกราคม 2553
0 comments
Last Update : 31 มกราคม 2553 20:42:00 น.
Counter : 1219 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.