อริยสัจจากพระโอษฐ์ .. องค์แห่งความเป็นพระเสขะและพระอเสขะ
ภิกษุ ท.! ในบริกขารแห่งอริยสัมมาสมาธินั้น, สัมมาทิฏฐิ ย่อมเป็นองค์นำหน้า
ภิกษุ ท.! สัมมาทิฏฐิ เป็นองค์นำหน้า อย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท.! เมื่อมีสัมมาทิฏฐิอยู่, สัมมาสังกัปปะ ย่อมมีเพียงพอ. เมื่อมีสัมมาสังกัปปะอยู่, สัมมาวาจา ย่อมมีเพียงพอ. เมื่อมีสัมมาวาจาอยู่, สัมมากัมมันตะ ย่อมมีเพียงพอ. เมื่อมีสัมมากัมมันตะอยู่, สัมมาอาชีวะย่อมมีเพียงพอ. เมื่อมีสัมมาอาชีวะอยู่, สัมมาวายามะ ย่อมมีเพียงพอ. เมื่อมีสัมมาวายามะอยู่, สัมมาสติ ย่อมมีเพียงพอ. เมื่อมีสัมมาสติอยู่, สัมมาสมาธิย่อมมีเพียงพอ. เมื่อมีสัมมาสมาธิอยู่, สัมมาญาณ ย่อมมีเพียงพอ. เมื่อมีสัมมาญาณอยู่, สัมมาวิมุตติ ย่อมมีเพียงพอ.
ภิกษุ ท .! ด้วยเหตุนี้แล , ภิกษุ ผู้ประกอบพร้อมแล้วด้วยองค์ทั้ง ๘ ชื่อว่า เป็น พระเสขะ; และผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วย องค์ทั้ง ๑๐ (คือเพิ่มสัมมาญาณ และสัมมาวิมุตติ อีก ๒ องค์) ชื่อว่า เป็น พระอรหันต์ (พระอเสขะ) แล. . . . อุปริ. ม. ๑๔/๑๘๗/๒๗๙.
หมายเหตุ จขบ.
เหตุที่โลกนี้ว่างจากพระอรหันต์ ก็เพราะสัมมาทิฏฐิที่ตั้งไว้ผิดทาง .. เจ้าสำนักต่างๆในเมืองไทยซึ่งเป็นพุทธสายเถรวาท (หมายถึงการถือเอา "คำของพุทธะ" เป็นหลักยึด) จึงมักตีความคำของพุทธะไปตามจริตแห่งตน และส่วนมากมักหลุดลอยไปจากหลักใหญ่ของพุทธะ เป็นต้นว่า "หลักไตรลักษณ์" อันกอปรด้วย ..
ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา
และบรรดาลูกศิษย์ภายใต้จริตแห่ง ศรัทธา อันขาดเหตุผลสำหรับประคับประคองจิตวิญญาณก็"ท่องกันเจื้อยแจ้ว" เป็นนนกแก้วนกขุนทองแทบทั้งสิ้น
ทุกขัง คือ ความทุกข์ อันนี้มักเข้าใจได้ตรงกัน คือ ผลจากการที่จิตวิญญาณไม่สามารถเข้าใจ โลกที่แวดล้อมอยู่รอบตัวได้อย่างถ่องแท้ .. จึงรับมือไม่ได้ จึงทุกข์ทรมาน
อนิจจัง คือ ความเปลี่ยนแปลง คือการที่สรรพสิ่งไม่สามารถหยุดนิ่งกับที่ได้แม้ขณะเดียว คือกระแสวัฏฏะสงสาร
อนัตตา คือความที่ไม่มีสิ่งใดสามารถยึดถือเป็นตัวตน เป็นของตนได้ .. หลักอันนี้เองที่ส่วนมากของพุทธสายเถรวาทเข้าใจไม่ได้ .. ประเด็นเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ภพ ชาติ จึงหลงเชื่อกันอย่างงมงาย หลุดลอยจากหลักอนัตตา จนผิดเพี้ยนไปหมด
วิญญาณ แบบ พุทธ คือ วิญญาณ 6 .. เกิดขึ้นที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดดับทุกครั้งที่ "สังขาร - อำนาจการปรุงแต่งในจิต" ทำงาน เพราะ"หยุดโลกแวดล้อม" ไม่ทัน .. หรือ ขาดสติควบคุมโลกแวดล้อม
วิญญาณ แบบ พราหมณ์ คือ วิญญาณเที่ยง หลังกายแตกดับ วิญญาณนี้จะล่องลอยไปในกระแสวัฏฏะสงสาร เพื่อเสวยวิบากกรรม เพื่อเวียนกลับมาเกิดในร่างใหม่ .. วิญญาณชนิดนี้จะต้องปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบสั่งสมบุญ กุศล แบบฝากธนาคารไว้ จนเข้าถึงความดีสูงสุด ที่เรียกว่า "บรม-อาตมัน" หรือ "ปรมาตมัน" จึงจบเรื่อง
และ 95% ของเถรวาทไทย เอาวิญญาณแบบ พรามหณ์ นี้แหละกราบไหว้ ยึดถือ !
ดังนั้น ต่อให้นั่งหลับตาเพ่งดวงแก้วที่ฐานในกาย จนตายคาที่นั่ง ก็ไม่สามารถบรรลุอะไรได้ เพราะ ทิฏฐิ ที่ตั้งไว้มันผิด ที่เรียกว่า มิจฉาทิฏฐิ .. ตัวนี้นำลงนรกอย่างเดียว ไม่ว่าจะนุ่งขาว ห่มขาว โกนหัว พูดสาธุ ไม่ขาดปาก มาทั้งชีวิต อย่างไรก็ตาม
ทิฏฐิ เปรียบเหมือน เข็มทิศ สัมมาทิฏฐิ คือ เข็มทิศที่ถูกต้องสำหรับค้นหาขุมทรัพย์ คือ ภาวะนิพพานในจิต มิจฉาทิฏฐิ คือ เข็มทิศที่ตั้งไว้ผิดทาง ที่อาจเสียเวลาเปล่าทั้งชีวิตก็ไม่สามารถค้นพบขุมทรัพย์ใดๆทั้งสิ้น
จริตตัวตนที่มักไปในทาง ศรัทธา คือเชื่อตาม เป็นผู้ตามเสมอ ไม่เคยคิดอ่านสงสัยใคร่ครวญอะไรได้ด้วยตนเอง พึงทำใจยอมรับไว้ว่า จริตแบบนี้เหมือนบัวที่ไม่สามารถโผล่พ้นน้ำได้ .. ตลอดกาล
เพราะไม่เช่นนั้น เจ้าชายสิทธัตถะ ที่กำเนิดภายใต้สังคมที่พรามหณ์เป็นใหญ่ ก็ไม่ต้องตั้งคำถามกับสิ่งที่มีอยู่ จนต้องออกหาทางตอบคำถามของตน .. จนรู้ได้ในที่สุด
จริงไหม ?
Create Date : 05 สิงหาคม 2558 |
Last Update : 5 สิงหาคม 2558 7:54:50 น. |
|
0 comments
|
Counter : 851 Pageviews. |
|
|
|
|
|