|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
- รวม Review หนังสั้นประจำเดือน ตุลาคม-พฤศจิกายน 2550
- รักแห่งสยาม : บทพล่ามถึงความรักที่ลอยอยู่รอบตัวเรา
- รวม Review ภาพยนตร์ประจำเดือน ตุลาคม 2550
- ร่าง พรบ. ฉบับใหม่... กูไม่ใช่เกาหลีเหนือโว้ย!!
- รวม Review ภาพยนตร์ประจำเดือน กันยายน 2550
- รวม Review ภาพยนตร์ประจำเดือน กันยายน 2550(2)
- รวม Review ภาพยนตร์ประจำเดือน กันยายน 2550(1)
- ชำแหละความชิบหายของ "เพื่อน...กูรักมึงว่ะ"
- รวม Review ภาพยนตร์ประจำเดือน สิงหาคม 2550
- รวม Review ภาพยนตร์ขนาดยาวประจำเดือน สิงหาคม 2550 (2)
- รวม Review ภาพยนตร์สั้นที่ได้ดูในเดือนสิงหาคม 2550
- รวม Review ภาพยนตร์ขนาดยาวประจำเดือน สิงหาคม 2550 (1)
- รวม Review ภาพยนตร์ 16 เรื่องจาก Bangkok Film
- รวม Review ภาพยนตร์ที่ได้ดูในเดือนกรกฎาคม 2550
- รวม Review ภาพยนตร์ที่ได้ดูในเดือนมิถุนายน 2550
- รวม Review ภาพยนตร์ที่ได้ดูในเดือนพฤษภาคม 2550
- Memories of Matsuko แค่อยากเป็นคนที่ถูกรัก แค่อยากเป็นคนที่ถูกใครสักคนเข้าใจ
- Pan's Labyrinth มันหนังรัฐศาสตร์ชัดๆเลยครับพี่น้อง!!!
- รวม Review ภาพยนตร์ที่ได้ดูในเดือนเมษายน 2550
- รวม Review ภาพยนตร์ที่ได้ดูในเดือนมีนาคม 2550
- รวม Review ภาพยนตร์ที่ได้ดูในเดือนกุมภาพันธ์ 2550
- รวม Review ภาพยนตร์ที่ได้ดูในเดือนมกราคม 2550
- Fur: An Imaginary Portrait of Diane Arbus (สหรัฐอเมริกา, Steven Shainberg, 2006)
- Open Season (สหรัฐอเมริกา, กำกับสามคน, 2006)
- Thank You for Smoking (สหรัฐอเมริกา, Jason Reitman, 2005)
- Earthcore - หนังสั้นปฐมบทของ "13 เกมสยอง" (ไทย, ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล, อนุโลมว่า 2550 ละกัน)
- Final Score-365 วัน ตามติดชีวิตเด็กเอ็นท์ (ไทย, โสรยา นาคะสุวรรณ, 2550)
- A Stranger of Mine aka Unmei janai hito (ญี่ปุ่น, Uchida Kenji, 2005)
- Velvet Goldmine (สหราชอาณาจักร+สหรัฐอเมริกา, Todd Haynes, 1998)
- ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาคองค์ประกันหงสา (ไทย, หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล, 2550)
- Dead Poets Society (สหรัฐอเมริกา, Peter Weir, 1989)
- ครูสมศรี (ไทย, หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล, 2528)
- Reservoir Dogs (สหรัฐอเมริกา, Quentin Tarantino, 1992)
- 10 หนังสั้นในโครงการ "ชวนเด็กดูหนัง"
- Conflict (สหภาพโซเวียต, ใครกำกับ?, ปีไหนก็ไม่รู้)
- Takeshis' (ญี่ปุ่น, Kitano Takeshi, 2005)
- Wordplay (สหรัฐอเมริกา, Patrick Creadon, 2006)
- The Black Dahlia (เยอรมนี+สหรัฐอเมริกา, Brian de Palma, 2006)
- Hidden aka Cache (ฝรั่งเศส+ออสเตรีย+เยอรมนี+อิตาลี, Michael Haneke, 2005)
- Perfume: The Story of a Murderer (เยอรมนี+ฝรั่งเศส+สเปน, Tom Tykwer, 2006)
- Blood Diamond (สหรัฐอเมริกา, Edward Zwick, 2006)
- Nanoguy Awards 2006
- Nanoguy Awards 2006 ช่วงที่ 2
- Nanoguy Awards 2006 ช่วงที่ 1
- จมโลกเซลลูลอยด์
- ปิดเทอมผลาญหนัง ตอนที่ 4 : อำมหิตพิศวาส/ เปนชู้กับผี/ Stormy Night/ หมากเตะรีเทิร์น/ mastersOFhorror
- ปิดเทอมผลาญหนัง ตอนที่ 3 : Days of Glory/ Candy/ The Pianist / Infernal Affairs /Monster House
- ปิดเทอมผลาญหนัง ตอนที่ 2 :: The Last Emperor/ DOA/ ผีคนเป็น/ Climates/ 21 Grams/ The Departed
- ปิดเทอมผลาญหนัง ตอนที่ 1 : Cars/ The Ant Bully/ 13 เกมสยอง/ A Soap/ Paris, I Love You/ Rob-B-Hood
- แซ่บหนัง ทั้งเทอม!!
- แซ่บเรื่องหนัง(7-จบ) : The Wind that Shakes the Barley, WTC, The Devil Wears Prada, The Child
- แซ่บเรื่องหนัง(6) : Me and Youฯ, The Thomas Crown Affair, The Host, Seasons Change, Death Note
- แซ่บเรื่องหนัง(5) : Jasmine Women/ My Super Ex-Girlfriend/ Dreamer/ An Inconvenient Truth/ Cube
- แซ่บเรื่องหนัง(4) : โคตรรักเอ็งเลย/ The Lake House/ House of Wax/ Miami Vice/ United 93/ Brick
- แซ่บเรื่องหนัง(3) : Superman Returns/ แก๊งชะนีกับอีแอบ/ The Alibi/ Lady in the Water/ Sad Movie
- แซ่บเรื่องหนัง(2) : Don't Tell/ X-Men 3/ หนูหิ่น เดอะมูฟวี่/ The Bow/ Pirates of the Caribbean 2
- แซ่บเรื่องหนัง(1) : Sympathy For Mr Vengeance/ The Lover/ Spirited Away/ The Omen/ Scary Movie 4
- ต้มยำรวมมิตร(3-จบ) Poseidon/ มอ๘/ Match Point/ The Da Vinci Code/ Kinsey/ Always/ ก้านกล้วย
- ต้มยำรวมมิตร(2) ลาง-หลอก-หลอน/ The Wild/ Red Lights/ Perhaps Love/ Date Movie/ Ice Age 2/ M:I:3
- ต้มยำรวมมิตร(1) Capote/ V For Vendetta/ Inside Man/ Where the Truth Lies/ Hoodwinked/ She's the Man
- จับฉ่ายตอนอวสาน : The Constant Gardener/ Transamerica/ Final Destination 3/ A History of Violence
- จับฉ่ายตอนที่ 2 : Paradise Now/ กระสือวาเลนไทน์/ Walk the Line/ Munich/ เด็กหอ/ Invisible Waves
- จับฉ่ายตอนที่ 1 : Memoirs of a Geisha/ Brokeback Mountain/ Sophie Scholl : The Final Days/ Tsotsi
- When Crash was crashed, เมื่อ Crash กลายเป็นแพะ
- Rashomon ธรรมชาติของมนุษย์
- March of the Penguins วิบากแห่งเผ่าพันธุ์
- Nanoguy Awards 2005
- The Chronicles of Narnia : The Lion, The Witch and the Wardrobe แฟนตาซีอลังการส่งท้ายระกาศก
- King Kong ลิงยักษ์ที่คนต้องเสียน้ำตาให้
- Harry Potter and the Goblet of Fire ขาดหาย ตกหล่น พอทน ดูไป
- Nana สองสาว สองฝัน แต่ชื่อเดียวกัน
- เที่ยวนี้ ว่าด้วยความตาย Corpse Bride / Saw 1-2
- คอมโบหนังโรง Into the Blue / Flightplan / 3-Iron / อหิงสา จิ๊กโก๋มีกรรม
- คอมโบอีกซักทีดีไหม? Cinderella Man/Red Eye/เพื่อนสนิท
- Charlie and the Chocolate Factory หนังเด็ก ที่น่าให้ผู้ใหญ่ดู
- คอมโบอย่างบ้าคลั่ง กับหนัง 4 เรื่องรวด
- Team America : World Police เสียดสี ดีเดือด เลือดพล่าน
- The Machinist หลอนได้ที่ สยองได้ใจ
- The Island มนุษย์หนอมนุษย์...
- A Snake of June อสรพิษ=ตัณหา
- War of the Worlds ถึงมนุษย์ผู้หลงลำพอง
- Mr and Mrs Smith อารมณ์เดียวกับ "มหาลัยเหมืองแร่"
- มหาลัยเหมืองแร่ กินได้ แต่ไม่กลมกล่อม
- Star Wars Episode 3 : Revenge of the Sith เหมือนจะไม่ดี แต่ก็เหมือนจะดี...
- Sin City โหด ซาดิสต์ ถึงลูกถึงคน ถึงเลือดถึงเนื้อ...
- Kingdom of Heaven รบกันไปเพื่อ???
- I Am David เรียบๆ เฉยๆ พอดูได้
- Bangkok:Dangerous ร่วมกันยืนไว้อาลัยออกไซด์ แปง...
- The Interpreter เมื่อสามออสการ์โคจรมาพบกัน
- Hide and Seek ใครบอกตอนจบ บ้านบึ้ม...
- The Fog of War ม่านหมอกแห่งสงคราม
- And all razzies go to........ The Eye 10
- The Chorus หนังดีแบบดูง่ายๆ
- The Motorcycle Diaries เรียบๆ แต่ลุ่มลึก
- บุปผาราตรี เฟส 2 หนังเอามันส์ กระชากจิต...
- Hotel Rwanda กับความจัญไรของใจคน
- ความแตกต่างของหนังผู้หญิงและหนังผู้ชาย
- หลวงพี่เท่ง...ง่ะ
- ย้อนอดีต อันดากับฟ้าใส...
- เก็บตกสถิติออสการ์ (น่าอ่าน)
|
|
|
|
|
แซ่บเรื่องหนัง(6) : Me and Youฯ, The Thomas Crown Affair, The Host, Seasons Change, Death Note

Date : 5 กันยายน 2549 Location : Lido Multiplex
หนังอินดี้ของผู้กำกับหน้าใหม่อย่าง Miranda July (ถ้าจำไม่ผิด เจ๊นี่มีผลงานโฆษณา Rexona ที่ฉายในบ้านเรา เวอร์ชั่นที่เป็นในร้านหนังสืออะคับ ไม่รู้ว่าใช่มั้ยแต่หน้าตาคล้ายกันมากๆ)
เรื่องนี้มีจุดเหมือนกับ Don't Tell ของอิตาลีคือมี subplot ค่อนข้างเยอะในหนังหนึ่งเรื่อง เพียงแต่ว่าใน Don't Tell เป็นจุดอ่อน ส่วนใน Me and You and Everyone We Know นี้ เป็นจุดแข็ง..
อย่างที่บอก ใน Don't Tell ด้วยตัวพล็อตของมันควรจะมีเนื้อเรื่องหลักแค่อย่างเดียว และ subplot ไม่จำเป็นต้องมีความสำคัญโดดขึ้นมาเบียดกับพล็อตหลักมากขนาดนี้ แต่ว่าใน Me and You and Everyone We Know นี้เป็นหนังที่คล้ายๆกับ Crash เวอร์ชั่นออสการ์ เพราะมันเป็น subplot หลายๆอันมารวมกันภายใต้ theme เดียวกัน
ใน Me and You and Everyone We Know นี้ theme ของหนังคือความสัมพันธ์ของคน ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบไหน โดยเฉพาะในสังคมปัจจุบันที่ผู้คนเริ่มเป็นปัจเจกมากขึ้น และต่างก็โหยหาความรักความสัมพันธ์จากคนรอบข้าง
ด้วยพล็อตลอยๆแบบนี้ การดูหนังแนวนี้จำเป็นต้องใช้ "ใจ" ดูพอสมควร.. ขึ้นอยู่กับว่าใครจะรับสิ่งที่หนังเรื่องนี้สื่อไปได้มากกว่ากัน
ฉากแรกๆของเรื่องที่มีปลาทองเป็นตัวละครเอกเป็นฉากที่โดนใจที่สุด หลังจากที่พ่อลูกคู่หนึ่งลืมปลาทองไว้บนหลังคารถ แล้วขับรถออกไปโดยทิ้งมันไว้อย่างนั้น ชะตาชีวิตของปลาทองในถุงพลาสติกขึ้นอยู่กับพ่อผู้ขับรถ ถ้าเขาหยุดเมื่อไหร่ ปลาทองก็ต้องกลิ้งจากรถลงสู่พื้นถนน..
เมื่อผู้เป็นพ่อเบรกรถ ถุงปลาทองกลับลอยไปค้างอยู่หลังรถอีกคันหนึ่งโดยที่เจ้าของรถคันนั้นก็ไม่รู้เห็นเหตุการณ์ นางเอกของเรื่องจึงขับรถไปดักหน้ารถคันนั้นไว้และรักษาความเร็วให้คงที่เพื่อไม่ให้ปลาทองกลิ้งตกจากรถคันนั้น แต่ว่าคนขับรถคันนั้นคงไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ที่มีรถขับช้าเป็นเต่ามาดักหน้า เขาจึงแซงหน้าไป และปลาทองผู้โชคร้ายก็ร่วงลงสู่พื้นถนน...
ฉากนี้สื่อให้เห็นความเป็นไปของชีวิตคนได้อย่างดีเลิศ เพราะในบางครั้งชีวิตคนนั้นก็ไม่อาจควบคุมได้เอง เหมือนกับปลาทองในถุงพลาสติกใบเล็กและน้ำเพียงประทังชีพไม่ให้ตาย ที่ชะตาชีวิตล้วนขึ้นอยู่กับคนอื่นจะทำให้เป็นไป หากจังหวะชีวิตเปลี่ยนไปเมื่อไหร่ ปลาทองอย่างเราจะกระเด็นไปที่ไหนก็ไม่รู้
บางครั้งเหมือนกับต้องตายแน่ๆ เมื่อรถคันแรกเบรก แต่พอเขาเบรกจริงๆ กลายเป็นว่ามีรถอีกคันมารองรับเรา แม้ว่าบางครั้งเขาจะไม่รู้ตัวก็ตาม..
บางครั้งเราต้องการช่วยเหลือคนอื่นเหมือนอย่างที่นางเอกของเรื่องทำเพื่อช่วยปลาทอง แต่สถานการณ์ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ควบคุมได้ง่ายๆ เหมือนกับที่ไม่มีใครคุมจิตใจของคนขับรถคันที่สองได้ ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะเร่งความเร็วรถแล้วแซงขึ้นไปจนเป็นผลให้ปลาทองร่วงลงสู่พื้นถนนเมื่อไหร่.. เพราะนางเอกเองก็ไม่สามารถจะบอกกับคนขับรถคันนั้นโดยตรงว่าให้หยุดรถได้
Theme ของเรื่องนี้คือความสัมพันธ์ของคนนั่นเอง อย่างที่บอกว่าเดี๋ยวนี้คนเราเป็นปัจเจกมากขึ้น ความสัมพันธ์เป็นไปในแบบผิวเผินมากขึ้น เหมือนอย่างคู่เด็กสาวสองคนที่อยากลองเรื่องเซ็กส์ แล้วเธอทั้งคู่ก็เดินเข้าไปหาเด็กขายผิวดำคนหนึ่งที่เพิ่งเจอหน้ากันแค่ครั้งเดียว เพื่อขอทดสอบว่า "ใครใช้ปากเก่งกว่ากัน"
อีกฉากที่ส่อเสียดความสัมพันธ์อันแสนจะผิวเผินและบางเบาของสังคมมนุษย์ในปัจจุบันนี้ คือฉากที่นางเอกของเรื่องเดินทางไปถึงพิพิธภัณฑ์ศิลปะ เพื่อส่งผลงานให้กับศิลปินสาวใหญ่ที่เป็นที่ยอมรับนับถือในฝีมือ แต่กลับถูกเธอไล่ให้ไปส่งมาทางไปรษณีย์แทน
คำคมที่เด็ดจี๊ดได้ใจในหนังนี้มีหลายประโยค แต่ประโยคที่บอกว่า "You think you deserve that pain, but you don't" นั้นเด็ดโดนใจมาก.. เมื่อเจ็บแล้วจะไปทนอยู่กับมันทำไม จริงมั้ย? เหมือนโดนรองเท้ากัดก็ปล่อยให้มันกัดอยู่นั่น เปลี่ยนๆคู่ใหม่ที่มันไม่กัดไปซะก็จบ!
ดูรอบแรกยังไม่สัมผัสกับความดีของหนังเรื่องนี้เท่าไหร่ จนเมื่อมานั่งขบนั่งคิดนั่งตีความถึงสิ่งที่เขาต้องการสื่อนี่แหละ ถึงได้เห็นว่าหนังเรื่องนี้มันมีอะไรแฝงอยู่มากมายนัก และเป็นหนังที่ต้องใช้ "ใจ" ดูจริงๆ
8.5 เต็ม 10

Date : (Can't remember) Location : ห้องประชุมมาลัยหุวะนันทน์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หนังเรื่องนี้ดูในคลาส "ความรู้เบื้องต้นทางรัฐศาสตร์" ของรองศาสตราจารย์ดอกเตอร์เอก ตั้งทรัพย์วัฒนา เหมือนเป็นงานชิ้นคลายเครียด นั่งดูหนังแล้ววันต่อมาก็ตอบคำถามจากหนัง เหอๆๆ...
เรื่องราวของ Thomas Crown (รับบทโดย James Bond คนเกือบล่าสุด Pierce Brosnan) ชายหัวสมองฉลาดผู้ร่ำรวยแต่มีนิสัยชอบขโมยภาพศิลปะมาสะสม วันหนึ่งเขาไปขโมยภาพศิลป์มาจากพิพิธภัณฑ์ ร้อนไปถึงบริษัทประกันที่รับทำประกันภาพนี้เอาไว้ต้องส่งคนมาติดตามเอาคืน (รับบทโดย Rene Russo ที่ตอนนั้นยังเซ็กซี่อยู่ - หนังเรื่องนี้ก็เกือบสิบปีแล้ว 55+) เพราะไม่อยากเสียเงินประกันจำนวนมหาศาล
หลังจากนั้นเรื่องราวก็กลายเป็นความรักโรแมนติกที่สปาร์กปิ๊งปั๊งกันระหว่างคนฉลาดสองคนที่ถูกใจในความรู้ทันของแต่ละฝ่าย เหมือนกับ "โอ้ว.. แต่เราก็หาาากานน จนเจอ~" ยังไงยังงั้น (และแฟนเซอร์วิสด้วยเลิฟซีนอล่างฉ่างโนเซ็นเซอร์ของคู่พระนาง)
จริงๆเรื่องนี้ไม่มีอะไรเลย แต่ว่าสนุกดีตอนฉากที่ขโมยภาพ และเอาภาพไปคืนโดยรอดพ้นจากเงื้อมมือตำรวจไปได้
คำถามที่ถูกถามก็คือ "พระเอกมีวิธีการแสดงความรักต่อนางเอกอย่างไร" โอ้ว... ตอบแถมั่วๆไปเข้ากับเรื่อง Legitimacy ซะงั้นอะเรา
ดูขำๆทำงานคลายเครียด 6.5 เต็ม 10

Date : 7 กันยายน 2549 Location : Siam
หนังสัตว์ประหลาดส่วนใหญ่จะเห็นจากฝั่งฮอลลีวูดและฝั่งญี่ปุ่นซะส่วนใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นหนังแอ็คชั่นดาษๆ สัตว์ประหลาดไล่ฆ่าคน และคนร่วมมือกันฆ่าสัตว์ประหลาด แล้วก็ฆ่าได้สำเร็จ(นอกจากจะเก็บไว้ทำภาคต่อ อาจจะมีไข่ทิ้งไว้ใต้ทะเล)
คราวนี้เป็นรสชาติใหม่ของความเป็นสัตว์ประหลาด เมื่อจะได้ดูสัตว์ประหลาดคลุกกิมจิดูบ้าง พร้อมกับรูปลักษณ์แปลกประหลาด เหมือนปลาช่อนยังไงยังงั้น (น่ารักไปอีกแบบ เหอๆๆ )
ถ้าเป็นแฮมเบอร์เกอร์สัตว์ประหลาดหรือซูชิสัตว์ประหลาด สัตว์ประหลาดคงจะชิ้นใหญ่จนล้นข้าวล้นขนมปัง จนบางทีคนกินก็เลี่ยนแต่พูดไม่ออก ต้องทนกินเพราะเสียดายเงิน 100-120 บาทที่เสียไป
แต่ว่ากิมจิสัตว์ประหลาดนี้มีเนื้อสัตว์ประหลาดอยู่ในปริมาณพอดีกับผักกาด กินได้ไม่เลี่ยนแถมยังได้คุณค่าทางอาหารมากกว่าแฮมเบอร์เกอร์อีกต่างหาก (อืมม..แค่กิมจิสัตว์ประหลาดนะครับ เพราะส่วนตัวแล้วเจ้าของบล๊อกไม่ได้ชอบกินกิมจิเท่าไหร่ - -*)
เพราะว่า The Host เป็นหนังที่ชูประเด็นทางการเมือง แถมยังด่าอเมริกาแบบสุดโต่งอีกต่างหากว่าเป็นต้นเหตุของหายนะสัตว์ประหลาดทั้งหมดทั้งปวงในเรื่อง ตั้งแต่นักเคมีชาวอเมริกันบังคับให้นักเคมีเกาหลีเทฟอร์มาลินนับร้อยขวดลงในอ่างโดยไม่ฟังคำทัดทานว่ามันจะลงแม่น้ำฮาน สายเลือดหลักของคนเกาหลี (พร้อมกับคำพูดของอเมริกันชนผู้นั้นที่จะขำก็ขำไม่ออกว่า "หัดใจกว้างเหมือนแม่น้ำฮานซะบ้างสิ แค่นี้มันจะเป็นอะไรไป")
เมื่อสัตว์ประหลาดถือกำเนิดขึ้นจากการกลายพันธุ์เพราะสารเคมี ฟูมฟักอยู่หกปีก็ได้เวลาออกอาละวาด และได้จับตัว Hun-seo ลูกสาวของตระกูล Park ที่ขายของอยู่ริมน้ำฮานลงไปใต้น้ำ
ความหวังที่จะเห็นลูกสาวรอดกลับมาของ Park Gang-doo นั้นแทบไม่เห็นหนทาง แต่กลางดึกคืนนั้นที่โรงพยาบาล ลูกสาวโทรเข้ามือถือของพ่อแต่ยังคุยกันไม่ทันรู้เรื่องว่าอยู่ไหนแบตก็หมดไปซะก่อน แต่อย่างน้อยพ่อก็รู้แล้วว่า ลูกสาวยังไม่ตาย
ถ้าเป็นตามแนวฮอลลีวูดหรือหนังญี่ปุ่นก๊อตซิลล่าก็จะมีสูตรของมัน อย่างฮอลลีวูดก็จะเป็นการรวมตัวกันของประชาชนในเมืองเพื่อจัดการกับสัตว์ประหลาด ในขณะที่ญี่ปุ่นก็จะเป็นหน่วยงานหรือฮีโร่อย่างอุลตร้าแมน และถ้ามีใครถูกจับตัวไปก็ต้องมีคนไปเสาะหาตามหาจนเจอจนได้
แต่ The Host เหยียบขนบโบราณเหล่านั้นซะจมดิน ด้วยการใส่ประเด็นเรื่องไวรัสจากสัตว์ประหลาดเข้ามาในหนัง Park Gang-doo จึงไม่อาจออกไปตามหาลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของตัวเองได้ เพราะว่าโดนภาครัฐกักตัวในฐานะผู้ต้องสงสัยเป็นพาหะไวรัสพันธุ์ใหม่ หลังจากที่นายทหารอเมริกันคนหนึ่งตายลงหลังจากสู้กับสัตว์ประหลาดจนแขนขาด
ครอบครัวปาร์คจึงต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อตามหาลูกสาวคนเดียวของตระกูล ในขณะที่ภาครัฐเฝ้าระวังเพียงแต่เรื่องไวรัส ไม่ได้คิดจะจัดการสัตว์ประหลาดตัวนี้เลย แถมเรื่องไวรัสนี้อเมริกาเป็นคนบอกอีกต่างหาก.. แล้วรัฐบาลเกาหลีก็ทำตามงกๆๆยังกะเป็นทาส!
The Host แปลตรงตัวว่า "พาหะ" ในที่นี้ "พาหะ" ของหายนะในเรื่องไม่ใช่สัตว์ประหลาด แต่เป็น "อเมริกา" ต่างหาก.. ด้วยความที่เป็นจอมเสือกระดับโลก ยุ่งเรื่องชาวบ้านเค้าไปทั่ว แถมยังกร่างว่าใครๆก็เชื่อกู กูจะโกหกใคร ใครจะวินาศเท่าไหร่ ใครก็เชื่อ
สีฟ้านี่คือสปอยล๋นะ... โดยเฉพาะเรื่องของไวรัสพันธุ์ใหม่จากสัตว์ประหลาดในเรื่อง ท้ายที่สุดกลับกลายเป็นเรื่องโกหก เพราะความผิดพลาดในการผ่าตัดนายทหารอเมริกันรายนั้น ด้วยความกลัวเสียหน้าของอเมริกันชน จึงได้กุเรื่องไวรัสขึ้นมาแก้เก้อ แถมยังอนุมัติใช้ "ฝนเหลือง" ซึ่งส่งผลกระทบกับคนเพื่อกำจัดไวรัส "ที่ไม่มีอยู่จริง"
เหมือนกับกรณีสหรัฐ-อิรัก ที่อเมริกาอ้างเรื่องอาวุธร้ายแรงในกรุงแบกแดดของซัดดัม ฮุสเซน สุดท้ายแม้ว่าจะเจอซัดดัม แล้วไหนล่ะอาวุธที่มึงว่า?
The Host เลยกลายเป็นหนังเกาหลีอีกเรื่องที่โดนใจเจ้าของบล๊อกสุดๆ ด้วยความแหวกแนวของมัน และความที่มันไม่เป็นหนังโรแมนติกเน่าสนิท 55+
9.7 เต็ม 10

Date : 9 กันยายน 2549 Location : SF Cinema MBK
Seasons Change เป็นหนังไทยอีกเรื่องที่ทำตัวอย่างได้น่าดูมากกกกกกๆๆๆๆๆๆๆๆถึงมากที่สุด เพราะว่านางเอกน่ารักได้ใจมากๆ  ต่ายน่ารักสุดๆ..
ที่เค้าบอกว่าเด็กเตรียมน่ารักนี่ท่าทางจะจริง 5555
ป้อม ผู้ไม่ชอบกินผักทุกชนิด (อืมม...เค้าว่าคนไม่กินผักจะหน้าตาดีเหมือนเจ้าของบล๊อก อันนี้ก็จริง 5555) สมัครเข้าเรียนวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ตามดุจดาว อารยะนิมิตสกุล ดาวโรงเรียนผู้ปราดเปรื่องไวโอลิน เพียบพร้อมทั้งหน้าตา ความสามารถ ชาติตระกูล (เด็กเตรียมก็ดูดีแบบนี้นี่เอง เหอๆ ) ด้วยความสามารถตีกลองชั้นเซียนของเขา ทำให้เขาสอบติด แต่ป้อมดันต้องโกหกที่บ้านว่าเรียนเตรียมหมอ เพราะที่บ้านไม่อยากให้เป็นนักดนตรี ทั้งๆที่ก็รู้ว่าลูกตัวเองออกจะชอบเล่นดนตรีและมีความสามารถขนาดนั้น...
เพื่อช่วยโกหกที่บ้าน ป้อมจึงต้องอาศัยพ่อของเพื่อนอย่างอ้อม (น่าร้ากกก) ที่เป็นเพื่อนของพ่อตัวเองช่วยกลบเกลื่อนความจริง หลังจากที่ไปเดินเจอเพื่อนพ่อในวันปฐมนิเทศ ทำให้ป้อมสนิทกับอ้อมจนกลายเป็นเพื่อนสนิท
แม้ว่าจะมีความสามารถกลองชุดเข้าขั้นเทพ แต่ว่าป้อมกลับเลือกที่จะเข้าวงออเคสตร้า เพราะว่าดาวเล่นไวโอลินอยู่ในวง และอ้อมเองก็อยู่ในวงนี้เช่นกัน
พอเรื่องดำเนินไปๆมาๆ จาก theme เรื่องความรักที่ต้องเลือก กลายเป็นการต้องเลือกระหว่างสิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆ กับสิ่งที่คนอื่นหยิบยื่นให้
พูดถึงแง่มุมความรักที่สื่อออกมา หลายต่อหลายฉากทำได้น่ารักน่าชังดี อย่างฉากที่อ้อมเก็บร่มตัวเองแล้วบอกว่าลืม เพื่อจะได้อยู่ใต้ร่มคันเดียวกับป้อม แล้วป้อมก็วิ่งไปตากฝนไปในขณะที่ร่มคุ้มหัวอ้อมอยู่ตลอด ฉากนี้เด็ดจริงๆ..
อีกฉากน่ารักๆ คือฉากที่ดาวมองจากชั้นบนตอนที่ป้อมโทรไปหลอกเรื่องเอาสมุดการบ้านมาคืน ดูแล้วยิ้มไม่หุบเลยฉากนี้
การแสดงของสามพระนางก็เล่นได้มาตรฐานปกติดี (มีแค่ดุจดาวที่เสียงตะแง้วๆไปหน่อย แอบรำคาญ) อ้อมน่ารักกว่าดาว ส่วนพระเอก ไม่มีความเห็น นอกจากหล่อเหมือนเจ้าของบล๊อก 555+ (บอกแล้ว คนไม่กินผักเหมือนกันจะหน้าตาดีเหมือนกัน)
เรื่องนี้จอมขโมยซีนอย่างเจ๊โอปอล์-ปาณิสรา โดนอาจารย์ญี่ปุ่นสอนเพอร์คัสชั่นอย่าง ยาโน่ คาซูกิ (ที่คนดูเริ่มจำหน้าได้จาก "แก๊งชะนีกับอีแอบ") ขโมยซีนไปแทบหมด ท่าทางเรื่องหน้าถ้าอยากเด่นคงต้องหลีกเลี่ยงบทที่ต้องเล่นด้วยกัน (ฉากใบ้คำตอนตีกลอง ถึงจะใช้มุขเดิมจากแก๊งชะนีฯ แต่ก็ยังฮาได้อีก)
ส่วนเรื่องที่ว่า ป้อมชอบใคร ดาวชอบป้อมมั้ย อันนี้คงแล้วแต่คนจะมองจากบริบทต่างๆของหนัง แล้วแต่ว่าใครจะมองที่มุมไหนมากกว่า... เรื่องจะเป็นอย่างไร หนังเรื่องนี้ก็ยังสวยงามและประทับใจไม่รู้ลืม (สำนวนลิเก๊ ลิเกเนาะ)
9.6 เต็ม 10

Date : 30 กันยายน 2549 Location : Siam
จากการ์ตูนที่เล่นกับความคิดของคนได้อย่างชาญฉลาดชื่อเดียวกับหนัง กลายมาเป็นหนังทริลเลอร์สืบสวนที่สนุกสนานและกลมกล่อมลงตัวได้อีกเรื่อง
ถึงแม้ว่าตัวอย่างจะพยายามทำให้ Death Note กลายเป็น "สมุดผี" ด้วยการยัดภาพผีญี่ปุ่นคลานๆ หน้าตาคนเปื้อนเลือด (ที่ในหนังไม่ได้มีฉากพวกนี้เลยให้ตายเหอะ) แถมยังใส่เสียงหัวเราะ "เฮ่อะๆๆๆ" แบบสยองๆ ตอนฉายตัวอักษร L อีกต่างหาก - -*
ยังดีที่คนส่วนใหญ่ที่ไปดูหนังจะเป็นแฟนการ์ตูนเรื่องนี้ (รวมไปถึงโดจินวายต่างๆที่นิยมจับคู่พ่อไลท์กับนังแอลซะเหลือเกิน) รอบที่ไปดูที่สยามคนดูประมาณครึ่งโรง ครึ่งนึงในกลุ่มคนดูจะแต่งคอสเพลย์มาดูกัน แต่งเหมือนมิสะมิสะในเรื่องไม่มีผิด
เนื้อเรื่องที่เปลี่ยนจากในการ์ตูนสองส่วนใหญ่ๆ คือการเจอโน้ตของไลท์ ที่ในหนังสื่อถึงความเสื่อมศรัทธาในกระบวนการยุติธรรมของไลท์ได้ดีกว่าในการ์ตูน และเป็นเหตุผลสนับสนุนการมีอยู่ของโน้ตยมทูต และการกระทำของไลท์ หรือ คิระ
อีกส่วนหนึ่งที่เปลี่ยนไปคือเนื้อหาในตอนสุดท้ายที่เกี่ยวกับ มิโซระ นาโอมิ แฟนของเอฟบีไอที่ถูกคิระฆ่าเพราะสะกดรอยตาม ในหนังสือเนื้อเรื่องส่วนนี้จะเน้นแง่มุมจิตวิทยามากกว่านี้ (ซึ่งทำเป็นหนังยากเชี่ยๆ) และในการ์ตูน มิโซระ นาโอมิ ไม่ได้มุ่งสงสัยที่ตัวไลท์มากเหมือนในหนัง แต่ด้วยเนื้อหาส่วนที่ดัดแปลงในหนังทำให้ช่วงท้ายตื่นเต้นดีไม่หยอก
ตัวละครที่แคสต์ได้ดีมาก ก็คือ L, มิสะมิสะ และ มัตสึดะ (โดยเฉพาะรายหลังนี่ ถึงจะไม่ใช่ตัวเด่นมีเอกลักษณ์โดดเด่นแต่เห็นแวบแรกก็รู้เลยว่าเป็นมัตสึดะ) ส่วนไลท์นั้นหน้าไม่เหมือนในการ์ตูน แต่พอเล่นๆไป ก็พอจะลืมความหน้าบานของไลท์ในหนังไปได้ เพราะเขาก็เล่นได้เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองดี
รอดูภาคสองอย่างใจจดใจจ่อ ฉากสุดท้ายที่ไลท์ปะทะ L ก็ทำได้เท่ดี..
เกือบลืม.. ลุคทำโคตรเหมือน ฉากเอาหัวฟาดเพดาน โคตรฮา
8.5 เต็ม 10
Create Date : 03 ตุลาคม 2549 |
Last Update : 4 ตุลาคม 2549 10:53:56 น. |
|
5 comments
|
Counter : 1472 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: 125 66 IP: 58.9.43.145 วันที่: 5 ตุลาคม 2549 เวลา:20:32:47 น. |
|
|
|
โดย: พระเจ้า** IP: 58.9.6.10 วันที่: 6 ตุลาคม 2549 เวลา:0:06:07 น. |
|
|
|
โดย: zadwaan IP: 58.8.72.79 วันที่: 8 ตุลาคม 2549 เวลา:4:54:10 น. |
|
|
|
โดย: NyaBu IP: 210.250.2.96 วันที่: 30 ตุลาคม 2549 เวลา:22:02:33 น. |
|
|
|
โดย: แคท IP: 58.10.24.148 วันที่: 24 มิถุนายน 2550 เวลา:19:04:09 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

|
คนในสังคมจารีตที่มีความคิดทางเวลาแบบไตรภูมิจะไม่ให้ความสำคัญแก่เวลาตามประสบการณ์ กล่าวคือไม่ให้ความสำคัญแก่การเปลี่ยนแปลงที่เป็นจริงของชีวิตและสังคมว่าดำเนินมาและดำเนินไปอย่างไร เชื่อในการคลี่คลายเปลี่ยนแปลงของชีวิตและสังคมซึ่งจะต้องเป็นเช่นนั้นตามกฎแห่งเวลาของพุทธศาสนา
- อรรถจักร สัตยานุรักษ์ (จากบทความ "ความเปลี่ยนแปลงความคิดทางเวลาในสังคมไทย" วารสารเศรษฐศาสตร์การเมือง 4 ตุลาคม 2531)
Let this song rhyme our souls when your voice and mine become one and whole.
Let it carry us high above When we recite our poetry of love that when there's love then there's hope.
Your love is my light, and it'll get us through this lonely night.
- รักแห่งสยาม (ซับไตเติ้ลอังกฤษเพลง กันและกัน ท่อนฮุค)
|
|
|
|
|
|
|
แล้วเราหล่อ
เอ๊ะ แบบนี้แปลว่าไรอะตี้