|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
- รวม Review หนังสั้นประจำเดือน ตุลาคม-พฤศจิกายน 2550
- รักแห่งสยาม : บทพล่ามถึงความรักที่ลอยอยู่รอบตัวเรา
- รวม Review ภาพยนตร์ประจำเดือน ตุลาคม 2550
- ร่าง พรบ. ฉบับใหม่... กูไม่ใช่เกาหลีเหนือโว้ย!!
- รวม Review ภาพยนตร์ประจำเดือน กันยายน 2550
- รวม Review ภาพยนตร์ประจำเดือน กันยายน 2550(2)
- รวม Review ภาพยนตร์ประจำเดือน กันยายน 2550(1)
- ชำแหละความชิบหายของ "เพื่อน...กูรักมึงว่ะ"
- รวม Review ภาพยนตร์ประจำเดือน สิงหาคม 2550
- รวม Review ภาพยนตร์ขนาดยาวประจำเดือน สิงหาคม 2550 (2)
- รวม Review ภาพยนตร์สั้นที่ได้ดูในเดือนสิงหาคม 2550
- รวม Review ภาพยนตร์ขนาดยาวประจำเดือน สิงหาคม 2550 (1)
- รวม Review ภาพยนตร์ 16 เรื่องจาก Bangkok Film
- รวม Review ภาพยนตร์ที่ได้ดูในเดือนกรกฎาคม 2550
- รวม Review ภาพยนตร์ที่ได้ดูในเดือนมิถุนายน 2550
- รวม Review ภาพยนตร์ที่ได้ดูในเดือนพฤษภาคม 2550
- Memories of Matsuko แค่อยากเป็นคนที่ถูกรัก แค่อยากเป็นคนที่ถูกใครสักคนเข้าใจ
- Pan's Labyrinth มันหนังรัฐศาสตร์ชัดๆเลยครับพี่น้อง!!!
- รวม Review ภาพยนตร์ที่ได้ดูในเดือนเมษายน 2550
- รวม Review ภาพยนตร์ที่ได้ดูในเดือนมีนาคม 2550
- รวม Review ภาพยนตร์ที่ได้ดูในเดือนกุมภาพันธ์ 2550
- รวม Review ภาพยนตร์ที่ได้ดูในเดือนมกราคม 2550
- Fur: An Imaginary Portrait of Diane Arbus (สหรัฐอเมริกา, Steven Shainberg, 2006)
- Open Season (สหรัฐอเมริกา, กำกับสามคน, 2006)
- Thank You for Smoking (สหรัฐอเมริกา, Jason Reitman, 2005)
- Earthcore - หนังสั้นปฐมบทของ "13 เกมสยอง" (ไทย, ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล, อนุโลมว่า 2550 ละกัน)
- Final Score-365 วัน ตามติดชีวิตเด็กเอ็นท์ (ไทย, โสรยา นาคะสุวรรณ, 2550)
- A Stranger of Mine aka Unmei janai hito (ญี่ปุ่น, Uchida Kenji, 2005)
- Velvet Goldmine (สหราชอาณาจักร+สหรัฐอเมริกา, Todd Haynes, 1998)
- ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาคองค์ประกันหงสา (ไทย, หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล, 2550)
- Dead Poets Society (สหรัฐอเมริกา, Peter Weir, 1989)
- ครูสมศรี (ไทย, หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล, 2528)
- Reservoir Dogs (สหรัฐอเมริกา, Quentin Tarantino, 1992)
- 10 หนังสั้นในโครงการ "ชวนเด็กดูหนัง"
- Conflict (สหภาพโซเวียต, ใครกำกับ?, ปีไหนก็ไม่รู้)
- Takeshis' (ญี่ปุ่น, Kitano Takeshi, 2005)
- Wordplay (สหรัฐอเมริกา, Patrick Creadon, 2006)
- The Black Dahlia (เยอรมนี+สหรัฐอเมริกา, Brian de Palma, 2006)
- Hidden aka Cache (ฝรั่งเศส+ออสเตรีย+เยอรมนี+อิตาลี, Michael Haneke, 2005)
- Perfume: The Story of a Murderer (เยอรมนี+ฝรั่งเศส+สเปน, Tom Tykwer, 2006)
- Blood Diamond (สหรัฐอเมริกา, Edward Zwick, 2006)
- Nanoguy Awards 2006
- Nanoguy Awards 2006 ช่วงที่ 2
- Nanoguy Awards 2006 ช่วงที่ 1
- จมโลกเซลลูลอยด์
- ปิดเทอมผลาญหนัง ตอนที่ 4 : อำมหิตพิศวาส/ เปนชู้กับผี/ Stormy Night/ หมากเตะรีเทิร์น/ mastersOFhorror
- ปิดเทอมผลาญหนัง ตอนที่ 3 : Days of Glory/ Candy/ The Pianist / Infernal Affairs /Monster House
- ปิดเทอมผลาญหนัง ตอนที่ 2 :: The Last Emperor/ DOA/ ผีคนเป็น/ Climates/ 21 Grams/ The Departed
- ปิดเทอมผลาญหนัง ตอนที่ 1 : Cars/ The Ant Bully/ 13 เกมสยอง/ A Soap/ Paris, I Love You/ Rob-B-Hood
- แซ่บหนัง ทั้งเทอม!!
- แซ่บเรื่องหนัง(7-จบ) : The Wind that Shakes the Barley, WTC, The Devil Wears Prada, The Child
- แซ่บเรื่องหนัง(6) : Me and Youฯ, The Thomas Crown Affair, The Host, Seasons Change, Death Note
- แซ่บเรื่องหนัง(5) : Jasmine Women/ My Super Ex-Girlfriend/ Dreamer/ An Inconvenient Truth/ Cube
- แซ่บเรื่องหนัง(4) : โคตรรักเอ็งเลย/ The Lake House/ House of Wax/ Miami Vice/ United 93/ Brick
- แซ่บเรื่องหนัง(3) : Superman Returns/ แก๊งชะนีกับอีแอบ/ The Alibi/ Lady in the Water/ Sad Movie
- แซ่บเรื่องหนัง(2) : Don't Tell/ X-Men 3/ หนูหิ่น เดอะมูฟวี่/ The Bow/ Pirates of the Caribbean 2
- แซ่บเรื่องหนัง(1) : Sympathy For Mr Vengeance/ The Lover/ Spirited Away/ The Omen/ Scary Movie 4
- ต้มยำรวมมิตร(3-จบ) Poseidon/ มอ๘/ Match Point/ The Da Vinci Code/ Kinsey/ Always/ ก้านกล้วย
- ต้มยำรวมมิตร(2) ลาง-หลอก-หลอน/ The Wild/ Red Lights/ Perhaps Love/ Date Movie/ Ice Age 2/ M:I:3
- ต้มยำรวมมิตร(1) Capote/ V For Vendetta/ Inside Man/ Where the Truth Lies/ Hoodwinked/ She's the Man
- จับฉ่ายตอนอวสาน : The Constant Gardener/ Transamerica/ Final Destination 3/ A History of Violence
- จับฉ่ายตอนที่ 2 : Paradise Now/ กระสือวาเลนไทน์/ Walk the Line/ Munich/ เด็กหอ/ Invisible Waves
- จับฉ่ายตอนที่ 1 : Memoirs of a Geisha/ Brokeback Mountain/ Sophie Scholl : The Final Days/ Tsotsi
- When Crash was crashed, เมื่อ Crash กลายเป็นแพะ
- Rashomon ธรรมชาติของมนุษย์
- March of the Penguins วิบากแห่งเผ่าพันธุ์
- Nanoguy Awards 2005
- The Chronicles of Narnia : The Lion, The Witch and the Wardrobe แฟนตาซีอลังการส่งท้ายระกาศก
- King Kong ลิงยักษ์ที่คนต้องเสียน้ำตาให้
- Harry Potter and the Goblet of Fire ขาดหาย ตกหล่น พอทน ดูไป
- Nana สองสาว สองฝัน แต่ชื่อเดียวกัน
- เที่ยวนี้ ว่าด้วยความตาย Corpse Bride / Saw 1-2
- คอมโบหนังโรง Into the Blue / Flightplan / 3-Iron / อหิงสา จิ๊กโก๋มีกรรม
- คอมโบอีกซักทีดีไหม? Cinderella Man/Red Eye/เพื่อนสนิท
- Charlie and the Chocolate Factory หนังเด็ก ที่น่าให้ผู้ใหญ่ดู
- คอมโบอย่างบ้าคลั่ง กับหนัง 4 เรื่องรวด
- Team America : World Police เสียดสี ดีเดือด เลือดพล่าน
- The Machinist หลอนได้ที่ สยองได้ใจ
- The Island มนุษย์หนอมนุษย์...
- A Snake of June อสรพิษ=ตัณหา
- War of the Worlds ถึงมนุษย์ผู้หลงลำพอง
- Mr and Mrs Smith อารมณ์เดียวกับ "มหาลัยเหมืองแร่"
- มหาลัยเหมืองแร่ กินได้ แต่ไม่กลมกล่อม
- Star Wars Episode 3 : Revenge of the Sith เหมือนจะไม่ดี แต่ก็เหมือนจะดี...
- Sin City โหด ซาดิสต์ ถึงลูกถึงคน ถึงเลือดถึงเนื้อ...
- Kingdom of Heaven รบกันไปเพื่อ???
- I Am David เรียบๆ เฉยๆ พอดูได้
- Bangkok:Dangerous ร่วมกันยืนไว้อาลัยออกไซด์ แปง...
- The Interpreter เมื่อสามออสการ์โคจรมาพบกัน
- Hide and Seek ใครบอกตอนจบ บ้านบึ้ม...
- The Fog of War ม่านหมอกแห่งสงคราม
- And all razzies go to........ The Eye 10
- The Chorus หนังดีแบบดูง่ายๆ
- The Motorcycle Diaries เรียบๆ แต่ลุ่มลึก
- บุปผาราตรี เฟส 2 หนังเอามันส์ กระชากจิต...
- Hotel Rwanda กับความจัญไรของใจคน
- ความแตกต่างของหนังผู้หญิงและหนังผู้ชาย
- หลวงพี่เท่ง...ง่ะ
- ย้อนอดีต อันดากับฟ้าใส...
- เก็บตกสถิติออสการ์ (น่าอ่าน)
|
|
|
|
|
รวม Review ภาพยนตร์ประจำเดือน ตุลาคม 2550
ในตอนที่ 1 นี้เป็นหนังยาว (Feature Film) นอกเทศกาล World Film นะครับ อีกสองตอนที่เหลือของเดือนตุลาคมคือ หนังสั้น และ หนังใน World Film (ที่ตอนนี้ยังอัพไปไม่ถึงไหน และมีแววจะเสร็จหลังปีใหม่เป็นแน่) ได้โปรดรอ 55+
บอดี้ ศพ#19 aka The Body (ไทย, ปวีณ ภูริจิตปัญญา, 2550, A)
หนังไซโคทริลเลอร์เชื้อสายไทยเรื่องนี้ โดดเด่นที่บทภาพยนตร์ที่วางพล็อต วางโครงเรื่อง การดำเนินเรื่อง หักมุม มาได้ค่อนข้างดีและไม่ขัดหลักตรรกะ (เหมือนกับเรื่องล่าสุดที่เพิ่งเข้าฉายอย่าง วิญญาณโลกคนตาย ที่จะเขียนถึงสั้นๆ ในเดือนหน้า 55+) รวมถึงการแสดงของนักแสดงที่อยู่ในระดับเข้าชิงรางวัลปลายปีได้หลายคน ทำให้หนังเรื่องนี้มีดีพอที่จะเป็น masterpiece ชิ้นหนึ่งของประเทศไทยได้ หากไม่ติดที่ว่ามันยังคงมีความล้นๆ เกินๆ บ้าๆ ตามสไตล์ของคนกำกับหนังใหญ่เรื่องแรกทุกคน บางคนก็เป็นผลดี แต่สำหรับเรื่องนี้ค่อนข้างเป็นผลเสียที่ทำให้หนังไปไม่ถึงระดับ A+ ของผม
ว่ากันเรื่องการแสดงก่อน น่าเสียดายนิดหน่อยที่หนังเฉลี่ยบทไปไม่ทั่วถึงมากนัก เพราะมัวแต่เอาเวลาไปให้เป้วงเสลอทำท่ากลัวผี(และดูหนัง GTH)อยู่เสียเกือบครึ่งเรื่อง นักแสดงสองคนที่เข้าตาผมมากๆ คือคุณเมย์-ภัทรวรินทร์ ทิมกุล ในบทของดาราราย แต่บทนี้ของเธอยังไม่จัดจ้านเท่างานเก่าอย่าง "จัน ดารา" แต่ด้วยศักยภาพของเธอก็ทำให้ฉากในห้องเลคเชอร์น่ากลัวกว่าผีดารารายปรากฏตัวประมาณเจ็ดสิบล้านเท่า
อีกคนที่โดดเด้งและเซอร์ไพรส์มากๆ ก็คือคุณปลาย ปรเมศร์ ในบทสามีของหมออุษา (รับบทโดย เข็ม-กฤตธีรา สาวใหญ่ผู้ชำนาญภาษาอังกฤษ) คนเดียวกับคนที่เล่นเป็นพ่อในโฆษณาไทยประกันชีวิตเวอร์ชั่นพ่อตบลูกที่ริอ่านท้องในวัยเรียน ถือว่ามาเหนือเมฆและเหนือความคาดหมายมากๆ กับการแสดงในช่วงท้ายของเรื่อง และถ้าได้รางวัลติดไม้ติดมือกลับบ้านสักตัวก็ไม่น่าเกลียด เพียงแต่สถาบันรางวัลเมืองไทยจะมองเห็นนักแสดงหน้าใหม่วัยดึกคนนี้หรือไม่ เท่านั้นเอง...
จุดที่น่าเสียดายมากๆ คือความบ้าซีจีของผู้กำกับ มีหลายฉากที่ใส่เข้ามาจนล้นและไม่รู้จะใส่มาเพื่ออะไร เช่น ฉากขับรถกลับบ้านของเป้กับแป้งอรจิรา ที่เหมือนจะได้แรงบันดาลใจมาจากหนังอย่าง Sin City หรือฉากพิพิธภัณฑ์อลังการปานประหนึ่งสมิธโซเนียนที่อ้อยอิ่งอยู่ได้ราวๆ 2-3 นาที เพียงเพื่อให้มีตัวประกอบเข้าไปโดนลวดหนามพันเนื้อพันตัวจนตาย หรือแมวผีที่ดูยังไงก็เป็นซีจีที่ไม่เนียน (และในความเห็นผม แมวดำเฉยๆก็สื่อถึงการเป็นผีได้แล้ว ไม่ต้องเปลืองซีจีทำให้แมวกลายเป็น "องค์บากสันหลังหวะ" แต่อย่างใด)
ก่อนที่ความพินาศฉิบหายจะมาเยือนเมื่อเพลง "ยาพิษ" ดังขึ้นตอน end credit.. (เพลงนี้ทำให้ผมอคติกับหนังเรื่องนี้อยู่ร่วมเดือนทีเดียว กว่าจะปรับเกรดจากต่ำกว่า A- ขึ้นมาเป็น A)
เรื่องจริง aka One True Thing (ไทย, วิชาติ สมแก้ว, 2550, A+)
ถือว่าโชคดี ที่ผมยังมีโอกาสได้ดูสารคดีเรื่องนี้หลังจากที่พลาดไปในคราวเทศกาลหนังสั้นของมูลนิธิหนังไทย (แต่เรื่องนี้ดันยาวตั้ง 80 นาทีได้ ผ่าเหล่าผ่ากอมาก 55+) เพราะผมเชื่อว่าถ้าไม่ได้ดูสารคดีเรื่องนี้คงต้องเสียดายไปอีกนาน
"เรื่องจริง" คือสารคดี(ส่วนตัว)ของผู้กำกับ ผู้ที่บอกกับเราผ่านสารคดีเรื่องนี้ว่าเขาต้องการบอกความจริงเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศของตัวเองให้กับคนใกล้ชิด ทั้งพ่อแม่และเพื่อนสนิท แม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนมีความสุข ไม่มีปัญหาอะไรกับการที่เขาใช้ชีวิตประจำวัน พบปะพูดคุยกับคนรู้จักโดยที่คนเหล่านั้นไม่รู้ว่าเขาเป็นเกย์ แต่เขาก็บอกเราผ่านสารคดีเรื่องนี้ (ซึ่งผู้กำกับบอกว่าสารคดีเรื่องนี้ช่วยชีวิตเขาไว้) ว่าภายใต้ความปกติที่ทุกคนเห็นนั้น เขาต้องเจ็บปวดกับความรู้สึกว่ากำลังโกหกคนอื่นอยู่ตลอดเวลา และกินเวลามานานตลอดชีวิตตั้งแต่รู้ใจตัวเอง
ความกระอักกระอ่วนที่หนังสื่อให้เห็นผ่านการพูดคุยกับเพื่อนและแม่ของผู้กำกับ อาจทำให้คนดูบางส่วนรำคาญ แต่อย่างน้อยเราก็เข้าใจว่าผู้กำกับเองยังไม่อาจแน่ใจต่อผลตอบรับที่จะเกิดขึ้นหากเขาเผยเรื่องจริงออกไป สังคมบริบทของผู้กำกับอาจไม่ใช่สังคมที่แน่ใจได้ร้อยเปอร์เซนต์ว่ายอมรับเพศที่สามเป็นเรื่องปกติ จนมั่นใจได้ว่าถ้าเพื่อนรู้ว่าเขาเป็นเกย์แล้วจะไม่ ignore
ถึงแม้ว่าหนังจะเป็นสารคดี แต่ด้วยความที่เป็นเหมือน "หนังส่วนตัว" ทำให้ผู้กำกับลำดับภาพและเวลาของหนังได้ดี และสะเทือนอารมณ์คนดูอย่างได้ผล ด้วยการค่อยๆไล่เรียงลำดับความเครียดที่ค่อยๆไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ พร้อมกับเพลงที่เลือกมาคอยกระตุ้นอารมณ์คนดูเป็นระยะๆ ซึ่งได้ผลในระดับเทียบเท่าถึงมากกว่าเพลง "อยากรู้ แต่ไม่อยากถาม" จากหนังเกย์เมนสตรีมอย่าง "เพื่อน กูรักมึงว่ะ"
สุดท้าย... ผมว่าน่าจะเอาหนังเรื่องนี้ไปรับรางวัลที่เบลเยี่ยมแทนหนังของเจ๊พจน์ว่ะ 5555555
Shindo aka Genius (ญี่ปุ่น, Hagiuda Koji, 2007, A-)
หนังโชว์ฝีมือเปียโนของไอ้หนุ่มแอลหน้าเอ๋อ มัตสึยาม่า เคนอิจิ (และได้ผลพอๆกับ Secret ของเจย์โชว) ว่าด้วยเด็กหนุ่มผู้หลงใหลเปียโนแต่ยังไม่รู้จักวิธีใส่ "ใจ" ลงในคีย์ตัวโน้ต กับเด็กสาวเปี่ยมพรสวรรค์ผู้พยายามเดินห่างวิถีแห่งดนตรี ก่อนจะมาเจอกับพ่อหนุ่มแอลโดยบังเอิญ ซึ่งเขาได้ปลุกไฟแห่งคีตกวีขึ้นมาในตัวเธออีกครั้ง
ส่วนตัวชอบการแสดงของนารุมิ ริโกะ ที่เป็นนางเอกมากกว่าพระเอกอยู่เยอะพอสมควร แต่ทั้งเรื่องเธอก็ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรมากมาย จะเน้นระเบิดอารมณ์ด้วยการทำหน้านิ่งๆซะมากกว่า ส่วนเคนอิจิจะได้บทที่ดูโวยวายเล่นใหญ่มากกว่า แต่ในส่วนของเนื้อเรื่องยังเฉยๆ ไม่รู้สึกอินไปกับจิตใจ ปมประเด็นภายใน ของทั้งพระเอกนางเอก แถมหนังยังพยายามจะยัดเรื่องโรคทางการได้ยินของนางเอกเข้ามา แล้วก็ไม่ได้ให้น้ำหนักจนเราอินกับมันเท่าไหร่
อนึ่ง หนังเรื่องนี้ก็ยังไม่ต่างกับหนังญี่ปุ่นทั่วไปเท่าไหร่นัก คือหลายๆฉากจะมีการแสดงแบบ "การ์ตูนญี่ปุ่น" หลุดเข้ามาบ่อยๆ ซึ่งจนป่านนี้ผมก็ยังไม่ชินเท่าไหร่ และตอนจบของเรื่องก็ยืดเยื้อเกินความจำเป็น
The Witnesses aka Les Témoins (ฝรั่งเศส, André Téchiné, 2007, A+)
เรื่องราวความสัมพันธ์ที่โยงใยคาบเกี่ยวซ้อนทับกันของตัวละครหลัก 4 ตัวท่ามกลางสังคมฝรั่งเศสในยุคที่โรคเอดส์เริ่มระบาดแพร่กระจายไปทั่วโลก อันได้แก่คู่ผัวเมียตำรวจ-นักเขียนที่เพิ่งมีลูกคนแรก (เมห์ดี และ ซาร่าห์) เกย์เฒ่าที่เป็นหมอเพื่อนของซาร่าห์ (อาเดรียง) ผู้ไปตกหลุมรักหนุ่มเกย์เชื้อสายแอฟริกันที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเมห์ดี (มานู)
เรื่องราวเข้ามาโยงใยเกี่ยวข้องเขม็งเกลียวกันเมื่อทั้งสี่(ไม่นับลูกที่เพิ่งเกิดของซาร่าห์กับเมห์ดี)ได้ไปพักตากอากาศกัน ทำให้มานูหลงเสน่ห์เมห์ดีและเรื่องราวเตลิดไปไกลกว่าที่ควรจะเป็น จนกระทั่งมานูเกิดติดเชื้อเอดส์ ซึ่งในขณะนั้นเป็นโรคประหลาดที่ไร้ทางรักษา และเป็นปริศนาต่อประชาสังคมทั่วไป
ตัวละครทุกตัวล้วนแฝงไปด้วยความเห็นแก่ตัว ทั้งเมห์ดี นายตำรวจหนุ่มผู้แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่ารังเกียจโสเภณีและเกย์ แต่ในทางกลับกันก็มีอะไรกับมานูอยู่เป็นกิจวัตร และคอยหาผลประโยชน์จากเหล่าโสเภณีอยู่เป็นนิจ เมื่อมานูเกิดติดโรคร้าย สิ่งที่เขาคิดถึงเพียงอย่างเดียวคือ "กูจะตายมั้ย" รวมไปถึงอาเดรียง หมอเกย์เฒ่าเปล่าเปลี่ยวที่วันๆได้แต่ขับรถเพื่อหาเด็กหนุ่มมาเยียวยาจิตใจเหี่ยวๆของตัวเอง แม้จะแสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่าไม่ได้ต้องการครอบครองมานูเพื่อความสัมพันธ์ทางเพศ แต่อาเดรียงมองมานูเป็นแค่ "เครื่องมือแก้เหงา" ไม่ใช่ "คนรัก" หรือแม้แต่มานู ที่โหยหาความสัมพันธ์อยู่ตลอดเวลาแม้ว่าจะเป็นโรคร้าย
ในทางกลับกัน ตัวละครซาร่าห์ที่ดูเป็นคนใจจืดใจดำและด้านชาที่สุดที่คนดูได้เห็น (โดยเฉพาะสภาพจิตใจของเธอที่สื่อออกมาเป็นนิยายเกี่ยวกับแม่ที่ไม่รักลูกตัวเอง และเอาลูกไปทิ้งให้อดตายอย่างเลือดเย็น) กลับเป็นตัวละครที่ไม่อินังขังขอบกับความสัมพันธ์แบบชู้ของสามีตัวเอง และเธอยังปรารถนาดีต่อมานูที่เป็นผัวน้อยของสามีแบบไม่มีอะไรแอบแฝง
ภาพที่เหมือนไม่มีอะไรแต่น่ากลัวและสยดสยองมากๆสำหรับผม คือฉากตอนท้ายเรื่องที่คนกลุ่มนี้นัดกันไปพักตากอากาศอีกครั้ง (หลังจากการตายของมานู) หนังแทบจะก๊อปปี้ฉากพักตากอากาศตอนต้นเรื่องมาใช้ใหม่ เว้นเสียแต่ลูกของซาร่าห์กับเมห์ดีจะโตขึ้น และชายหนุ่มคนใหม่ของอาเดรียง (ซาร่าห์ใส่ชุดสีเหลืองชุดเดียวกันกับปีที่แล้ว) ชวนให้คิดว่าเหตุการณ์ทั้งหมดจะวน loop อีกหรือไม่ หลังจากที่คนทั้งสี่ได้เป็นพยานในเหตุการณ์วิกฤติครั้งก่อนหน้านี้...
อนึ่ง อ่านบทวิจารณ์เรื่องนี้ที่เขียนดีกว่านี้สามล้านเท่าในบทความ The Witnesses (Les Témoins) กำไลเพชรล้อมพลอย ของ อังเดร เตชิเน่ โดยคุณพี่เตเต้ ไกรวุฒิ จุลพงศธร ในนิตยสาร Bioscope ฉบับที่ 71 (ต.ค.2550)
The Iceberg aka L'Iceberg (เบลเยี่ยม, Dominique Abel+Fiona Gordon+Bruno Romy, 2005, A)
หนังเล่าเรื่องเพี้ยนๆเกี่ยวกับพนักงานฟาสต์ฟู้ดคนหนึ่งที่ซื่อบื้อจนเผลอขังตัวเองไว้ในห้องเย็นของร้านอยู่หนึ่งคืน เมื่อรอดชีวิตออกมาได้ คุณเธอก็ปฏิบัติการทิ้งลูกทิ้งผัวเดินทางขึ้นเหนือเพื่อไปใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนขั้วโลก เพราะโรคเสพติดความเย็นเล่นงาน (แต่เอาเข้าจริงคงไม่ใช่เพราะเสพติดความเย็นอย่างเดียวหรอก ขนาดเมียหายไปอยู่ในห้องเย็นตั้งคืนนึง ผัวตื่นมายังไม่รู้เลยว่าเมียไม่ได้กลับบ้าน ชีวิตซังกะตายชิบหาย)
หนังไม่มีบทพูดเท่าไหร่ เน้นการแสดงท่าทางและสีหน้า รวมถึงสถานการณ์ประหลาดๆ เพี้ยนๆ ตลกๆ กับภาพสีฉูดฉาดและแปลกตาของทิวทัศน์ทั้งในเมือง ริมฝั่ง กลางทะเล ไปจนถึงภูเขาน้ำแข็ง ระหว่างการเดินทางตามหารักใหม่และภูเขาน้ำแข็งของฟิโอน่า และการตามล่าเอาเมียคืนของชูเลียง(จูเลี่ยน)
ส่วนตัว ดูเอาเพี้ยน สนุกสนานดีครับเรื่องนี้
Eternal Summer aka Sheng Xia Guang Nian (ไต้หวัน, Leste Chen, 2006, A+)
ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด ค่ายหนังจึงออกแบบ standy และแฮนด์บิลล์ โดยแปะเรื่องย่อของ Eternal Summer ในทำนองที่ว่าหนังเรื่องนี้เกี่ยวกับเกย์สองคนที่รักกันปานจะกลืนกิน ก่อนที่ชะนีแรดตัวหนึ่งจะก้าวเข้ามาในชีวิตและทำลายความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ให้วุ่นวาย
อันที่จริงแล้วหนังเรื่องนี้พูดถึงเพื่อนสนิทคู่หนึ่งได้แก่ คังเจิ้งฉิง และ หยูโซ่วเหิง (หรือชื่ออังกฤษ Shane กับ Jonathan) ที่คบกันมาตั้งแต่สมัยประถม จนถึงช่วงปัจจุบันของเรื่องคือช่วงคาบเกี่ยวตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย และการเข้ามาของ ฮุ่ยเจีย ที่ทำให้จิตใจของคนทั้งคู่สั่นคลอนและต้องกลับมาตอบคำถามครั้งใหญ่ให้หัวใจตัวเอง
เพราะฉะนั้น สถานการณ์อึดอัดและกระอักกระอ่วนที่ปรากฎในเรื่องนี้จึงไม่ใช่ "เพื่อนกูรักมึงว่ะ" แต่ว่าเป็น "เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ" และคงจะเรียกว่าหนังเกย์ได้ไม่เต็มปากนักแม้จะมีฉากความสัมพันธ์ทางเพศของผู้ชาย และหนึ่งในสองตัวละครหลักเป็นเกย์ หนังก็ไม่ได้เน้นย้ำตรงนี้บ่อยนัก(มีไม่กี่ฉาก เหมือนกับจะไม่ให้คนดูลืม) แต่ไปเน้นความสัมพันธ์ฉันเพื่อนของตัวละครหลักสองตัวมากกว่า พร้อมกับการสำรวจจิตใจของตัวละครหลังการเข้ามาของตัวละครหญิง
ฉากหนึ่งที่เหมือนจะไม่มีอะไรแต่สะกิดใจผมพอสมควร คือฉากที่เจิ้งฉิงกับโซ่วเหิงต้องหลบแผ่นดินไหวตอนกำลังติวหนังสือ เข้าใจว่าหนังน่าจะเอามาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ไต้หวัน (ครั้งไหนไม่อาจทราบได้ เพราะไหวบ่อยเหลือเกินประเทศนี้) แต่อีกใจผมก็นึกถึงการเปรียบเทียบชีวิตของคนทั้งสามกับธรรมชาติของเปลือกโลกยามเกิดแผ่นดินไหว
ธรรมชาติของแผ่นดินไหว มันไม่ใช่แค่กระเทือน 7 ริกเตอร์แล้วจบ ทุกอย่างกลับสู่สภาพเดิม แต่ต้องอาศัย aftershock ที่ก็รุนแรงไม่แพ้กันหลายต่อหลายครั้ง เพื่อให้เปลือกโลกกลับสู่สภาพเดิมให้ได้มากที่สุด ความสัมพันธ์ของตัวละครทั้งสามก็หวั่นไหวสะเทือนไปหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่ฮุ่ยเจียเข้ามารู้จักกับเจิ้งฉิงและโซ่วเหิง ที่ช่วงแรกนั้นเธอใกล้ชิดกับเจิ้งฉิง และมีส่วนให้เขารู้ว่าจริงๆแล้วเขาชอบเพื่อนสนิทตัวเอง จนกระทั่งการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่เมื่อฮุ่ยเจียไปคบหาเป็นแฟนกับโซ่วเหิง หลังจากนั้นหนังก็ aftershock ความสัมพันธ์ของคนทั้งสามหลายต่อหลายครั้ง กระเทือนความเป็นเพื่อนหลายต่อหลายหน ก่อนจะสงบลงเมื่อถึงฉากจบริมทะเล แม้จะไม่ใช่สภาพเดิมโดยสมบูรณ์แบบก็ตาม
อย่างน้อยคนทั้งสามก็ได้เติบโต เรียนรู้ชีวิต เรียนรู้ความรัก รู้จักมิตรภาพในซัมเมอร์ปีนั้น ที่พวกเขาต้องเผชิญเหตุการณ์ต่างๆนานาที่พร้อมเข้ามาปะทะจิตใจพวกเขา แม้ว่าจะมีความทุกข์ รู้สึกผิด รู้สึกแย่ รู้สึกเศร้าโศก เหลือทนกับชีวิต
ผมเชื่อว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นจะตราตรึงใจ และเป็นความทรงจำดีดีที่พวกเขาจะคิดถึงในช่วงเวลาที่เหลือของชีวิต...
คิมหันต์นิรันดร
Smoking/No Smoking (ฝรั่งเศส, Alain Resnais, 1993, A+)
ถ้าจำไม่ผิด หนังเรื่องนี้น่าจะเป็นประสบการณ์การดูหนังที่ยาวที่สุดของผม (หลังจากพลาด อดดูหนังฟิลิปปินส์ยาว 9 ชั่วโมงเรื่อง Heremias ที่เทศกาลภาพยนตร์ดิจิตอล) กับความยาวทั้งหมด 298 นาที (4 ชั่วโมง 58 นาที) แห่งความเพลิดเพลิน กับเรื่องราววุ่นวายของชีวิตครอบครัว ความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิดตั้งแต่พ่อแม่ยันภารโรงที่โรงเรียน ซึ่งตัวละครทั้งหมดมีคนเล่น 2 คนเท่านั้น และถ่ายทำเหมือนกับละครเวทีต้นฉบับของอังกฤษ โดยเปลี่ยนเนื้อเรื่องไปอยู่ที่ฝรั่งเศส แต่ทุกอย่างยังเป็นอังกฤษ (แล้วทำไมมึงไม่ทำให้อยู่อังกฤษไปซะเลยล่ะ 5555+)
หนังดูได้เรื่อยๆ น่ารักสนุกสนานดี(ผิดกับหนังฝรั่งเศสโดยทั่วไป 555+) เพลินได้เรื่อยๆเวลาคนเล่นทั้งชาย-หญิง มันเปลี่ยนชุดเปลี่ยนทรงผมออกมาเป็นตัวละครอีกตัว ฉากก็ดูเฟคๆ เหมือนละครเวทีจริงๆ แล้วที่เก๋ที่สุดคือหนังเรื่องนี้มีตอนจบ 16 แบบ ที่ทุกแบบจะเปลี่ยนไปเพราะคำพูดหรือการกระทำเล็กๆครั้งเดียว ชะตากรรม การลงเอยของตัวละครทุกตัวจะเปลี่ยนไปหมดเลย และหนังจะแบ่งเป็นสองช่วงคือ "สูบบุหรี่" กับ "ไม่สูบบุหรี่" แค่ตัวละครเลือกที่จะสูบหรือไม่สูบ เหตุการณ์ตอนจบของแต่ละช่วงต่างกันแบบฟ้าเหวเลยทีเดียว (และตอนจบบางแบบก็ขำขี้แตกขี้แตน ฮาไม่หยุดฉุดไม่อยู่)
The Kingdom (สหรัฐอเมริกา, Peter Berg, 2007, B)
ตอนแรกคิดว่าจะไม่ดูหนังเรื่องนี้ เพราะตัวอย่างนั้นดู "โปรอเมริกา" เสียเหลือเกิน แต่เมื่อมีหลายเสียงรอบตัวมายืนยันว่าหนังเรื่องนี้ออกจะเป็นกลาง แถมยังจิกกัดด่าอเมริกาเองอีกต่างหาก อย่าอคติไป ก็เลยตัดสินใจลองไปดูซะหน่อย จะลองดูซิว่าหนังแอ็คชั่นตำรวจอเมริกันที่ไม่โปรประเทศตัวเองจะออกมาเป็นยังไง
ผลปรากฏว่า... มันคือหนังโปรอเมริกา ที่พยายามทำให้ตัวเองดูไม่โปร แต่ไม่สำเร็จ
เราจะเห็นภาพของตำรวจเอฟบีไอ 4 นาย (ซึ่งมีทั้งอเมริกันผิวขาว, แอฟริกันอเมริกัน, อเมริกันยิว ไปจนถึงตำรวจหญิง ราวกับต้องการบอกเราว่าวงการตำรวจอเมริกันไร้แล้วซึ่งการเหยียดเชื้อชาติหรือเพศสภาพ แต่สงสัยคงต้องไล่ให้ไปดูเรื่อง Crash ของ Paul Haggis ซักรอบ) ผู้ใช้วิธีการแบล็คเมล์เอกอัครราชทูตซาอุดิอาระเบียประจำสหรัฐอเมริกา (แคสต์ตัวแสดงมาหน้าเหมือนตัวจริงมาก) จนได้ไปสืบสวนคดีวางระเบิดในนิคมชาวอเมริกันถึงกรุงริยัธ และเก่งกาจเกินหน้าเกินตาตำรวจซาอุแทบทั้งเมืองหลวง ผู้ไม่รู้วิธีการเก็บหลักฐานทั้งๆที่ก็เคยเจอวินาศกรรมประมาณนี้มาพอสมควร รวมไปถึงการบุกทลายผู้ก่อการร้ายกลางกรุงที่ตำรวจ 4 คนเพียงแค่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น
ถึงแม้ว่าหนังจะ "พยายาม" ใส่แง่มุมเห็นใจชาวมุสลิม (เช่นฉากที่สามีของเหยื่อในเหตุระเบิด ด่าตำรวจซาอุสาดเสียเทเสียเหมารวมว่ามุสลิมเป็นผู้ก่อการร้าย และไม่ให้ความร่วมมือในการสอบสวน) แต่ก็มีน้ำหนักไม่มากพอในความคิดผม เหมือนกับหนังยังติดกรอบความเป็น "อเมริกัน" ของตัวเองมากเกินไป และความพยายามจะเป็น Michael Mann มากเกินไปของปีเตอร์ เบิร์กเองด้วย เพียงแต่ยังไม่ถึงขั้น
ฉากแอ็คชั่นแบบพยายามสมจริงด้วยกล้องแฮนด์เฮลด์ เป็นโชคร้ายของเรื่องนี้ที่ดันเข้าฉายทีหลัง The Bourne Ultimatum ที่ใช้ประโยชน์จากกล้องแฮนด์เฮลด์และการตัดต่อได้คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพมากกว่า ทำให้ฉากทลายแก๊งก่อการร้ายในตอนท้ายไม่ได้น่าจดจำมากนัก (แต่ที่ฮาคือ หนึ่งในตำรวจที่ถูกจับไปเพื่อถ่ายคลิปตัดหัวตัวประกัน ดันเป็นตำรวจอเมริกันเชื้อสายยิว 5555)
ฉากที่ดีที่สุดของหนัง คงจะเป็นฉากสุดท้ายที่สรุปความฉิบหายของโลกนี้ได้ดี เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างพูดกับคนฝั่งตัวเองว่า "We'll kill them all" และฆ่ากันไปฆ่ากันมาไม่รู้จบสิ้น
โรงงานอารมณ์ aka Pleasure Factory (ไทย+ฮอลแลนด์+ฮ่องกง, เอกชัย เอื้อครองธรรม, 2550, A+)
ย่านขายบริการ Geylung ของสิงคโปร์นั้นก็เปรียบเสมือน "โรงงานอารมณ์" ที่ผู้คนเข้ามาสนองความต้องการของตัวเอง ด้วยการเลือกสเปคสินค้าที่มีให้เลือกสรรมากมายในโรงงานแห่งนี้ หากแต่ "สินค้า" ที่ผลิตจากโรงงานแห่งนี้ไม่ใช่สินค้าที่ไร้ชีวิตจิตใจ และหนังเรื่องนี้จะพาเราไปสำรวจค้นหาและทำความรู้จักพวกเขา
หนังแยกเรื่องราวออกเป็นสามช่วงกับตัวละครสามกลุ่ม กลุ่มแรกคือชายหนุ่มปริศนา(อนันดา) ที่ไร้ที่มาที่ไปเหมือนกับคนมาเที่ยวทั่วๆไป ที่เกิดต้องตาต้องใจเด็กสาวในเสื้อสายเดี่ยวสีฟ้า และเมื่อตามไปเขาก็พบกับโสเภณีสาวรุ่นใหญ่(หยางกุ้ยเหม่ย- ผู้ให้การแสดงที่น่าจดจำในฉากที่ฟังเพลงเติ้งลี่จวิน)ที่พาเด็กคนนี้มา "เปิดซิง" กับเสี่ยร่างอ้วนนิสัยกักขฬะ กลุ่มที่สองคือทหารหนุ่มที่เพื่อนพามา "เปิดซิง" เขาเลือกโสเภณีสาวผิวขาวจากเซี่ยงไฮ้ ทั้งคู่เกิดความรู้สึกดีดีให้กัน ในขณะที่เพื่อนหนุ่มได้แต่กระวนกระวายใจ กลุ่มสุดท้าย หญิงสาวชุดแดงที่เหมือนเป็นคนดังของที่นี่ กับหนุ่มนักร้องที่ถูกขอให้เล่นเพลงพิเศษที่ไม่เคยเล่นมาก่อน
สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ดู "จริง" มากคือการเล่าเรื่องแบบนิ่งๆ และปล่อยให้อารมณ์ซึมลึกลงในความรู้สึกคนดู โดยเฉพาะฉาก climax ของตัวละครทั้งสามกลุ่ม ที่แสดงให้เห็นถึงหัวจิตหัวใจและความเป็นมนุษย์ของคนที่เราไม่เคยคิดจะทำความรู้จักหรือแม้แต่ชายตามอง
โสเภณีสาวใหญ่น้ำตาไหลเมื่อได้ยินเพลงของเติ้งลี่จวิน.... โสเภณีเซี่ยงไฮ้ขอให้ทหารหนุ่มทักทายเธอหากเดินเจอกัน.... และสาวชุดแดงกับหนุ่มนักดนตรีที่อิงแอบแนบชิดหัวร่อต่อกระซิกกันบนเตียง เธอทั้งสามต่างก็เข้าใจในชะตาชีวิตของตัวเองดี คนหนึ่งต้องเอาลูกเข้ามาข้องแวะกับวงจรนี้ คนหนึ่งจากบ้านมาไกลเพื่อหาเงินและไม่อาจสานต่อความสัมพันธ์กับคนที่เธอรู้สึกดีด้วยได้ ในขณะที่อีกคนนั้นดูเหมือนมีความสุขเพราะเป็นดาวดัง แต่เธอเองก็อยากเป็น "ผู้เลือก" บ้างในบางครั้ง และเหนื่อยหน่ายกับการมีเพศสัมพันธ์ซึ่งเปรียบเหมือนเป็นงานประจำ
หนังค่อนข้างเรียกร้องความสนใจจากคนดู แต่ถ้าคนดูปล่อยตัวปล่อยใจให้ซึมลึกลงสู่วิถีชีวิต และความคิดความรู้สึกของตัวละครในเกลัง ก็จะได้สัมผัสกับบรรยากาศและอารมณ์ความรู้สึกที่ล่องลอยวนเวียนอยู่รอบตัว เพราะหนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังที่จะจับคนดูด้วยเนื้อเรื่อง หากแต่เป็นความรู้สึกลึกๆข้างในมากกว่า
Elizabeth (สหราชอาณาจักร, Shekhar Kapur, 1998, A)
Elizabeth คือควีนของอังกฤษผู้ก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ท่ามกลางความขัดแย้งรอบด้าน ทั้งด้านการปราบแคว้นที่คิดแข็งข้อเป็นกบฏ รวมไปถึงศาสนจักรที่จ้องจะโค่นอำนาจเธอ เพราะเธอไม่ได้เป็นคาทอลิก (แถมยังประกาศให้อังกฤษนับถือคริสต์แบบ Church of England แทนคาทอลิก ตัดสัมพันธ์กับวาติกันแบบไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหม) นอกจากความขัดแย้งทางการเมือง ยังมีเรื่องปัญหาเรื่องการเลือกคู่ครอง เพราะทุกอย่างบนบัลลังก์ล้วนแล้วแต่เป็น "การเมือง"
โดนส่วนตัวแล้วไม่ได้โดนกับหนังเรื่องนี้มากนัก เพราะ Cate Blanchett ให้การแสดงที่ดีมาก แถมดีเกินไปจนดูกลบคนอื่นอีกต่างหาก (นี่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่กรรมการออสการ์ให้ Gwyneth Paltrow ได้รางวัลนำหญิงแทน??) แต่อย่างน้อยก็เป็นหนังที่ควรดู (แต่เสียงวิจารณ์ภาค Golden Age ย่ำแย่สุดๆ... ไม่รู้จะออกมาเป็นแบบไหน)
Flags of Our Fathers (สหรัฐอเมริกา, Clint Eastwood, 2006, A เกือบบวก)
หนังเรื่องแรกในทวิภาคอิโวจิม่า เล่าเรื่องของทหารอเมริกันกลุ่มที่กลายเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ ด้วยการปักธงชาติอเมริกาบนยอดเขาซึริบาชิได้สำเร็จ แต่หนังพาเราไปไกลกว่าหนังเฉลิมฉลองยกย่องโปรอเมริกา แต่ตั้งคำถามกับเราถึงความจำเป็นของสงคราม ที่ค่อยๆทำลายความเป็นคนลงเรื่อยๆ พร้อมกับคำสรรเสริญจอมปลอมอย่างคำว่า Hero
หลังจากการปักธงครั้งนั้น (ซึ่งหนังบอกว่าเป็นการปักธงครั้งที่สอง เพราะธงแรกนั้นนักการเมืองที่มาสมรภูมิเกิดอยากเก็บกลับบ้านเป็นที่ระลึก) 3 จาก 6 คนที่รอดชีวิตจากสงครามได้กลับบ้านโดยทิ้งเพื่อนร่วมสมรภูมิไว้ข้างหลัง กลายสภาพจากทหารเลวเป็นฮีโร่ และเป็นพรีเซนเตอร์พันธบัตรรัฐบาลเพื่อหาเงินไปถมที่อิโวจิม่า หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯกำลังขาดเงินอย่างรุนแรงเพราะภาวะสงคราม โดยเลี่ยงที่จะพูดถึงทหารหาญที่กำลังเสียเลือดเนื้อตายเป็นเบืออยู่บนเกาะกำมะถันอิโวจิม่า
คำว่า ฮีโร่ จึงเสมือนเป็นคำที่ใช้ประชาสัมพันธ์ของรัฐบาล เช่น ถ้าคุณซื้อพันธบัตรสนับสนุนสงคราม คุณก็เป็นฮีโร่เหมือนคนที่ไปรบเสียเลือดเสียเนื้อจริงๆ เพื่อเกียรติภูมิของชาติที่จะกำชัยชนะเหนือญี่ปุ่น สนับสนุนการเอาชีวิตไปทิ้ง
จุดหนึ่งที่ผมว่าน่าสนใจ คือการพูดถึง Ira Hayes (เท่าที่ดูเบื้องหลัง เคยมีหนังที่สร้างเกี่ยวกับทหารคนนี้เดี่ยวๆมาแล้ว) นายทหารอินเดียนแดงที่ตอนแรกปฏิเสธการกลับบ้านก่อนกำหนดพร้อมกับเพื่อนอีกสองคน เพราะสมัยสงครามโลกนั้นคนเชื้อสายอินเดียนแดงยังถูกเหยียดผิว และกีดกันทางสิทธิต่างๆนานา (ในหนังบอกว่ามีเขตอินเดียนโดยเฉพาะ) ซึ่งถ้าเทียบกับหนังเร็วๆนี้ เหตุผลที่ไอร่าต้องการอยู่ในสนามรบก็คงไม่ต่างกับที่สองนักศึกษาเม็กซิกันและแอฟริกันตัดสินใจไปอัฟกานิสถานใน Lions for Lambs เมื่อพิจารณาถึงสถานภาพทางสังคมที่ต่ำต้อยเหลือเกิน (บทนี้ Adam Beach เล่นได้ดีจนน่าจะเข้าชิงออสการ์สมทบชายแทน Alan Arkin หรือ Mark Wahlberg ไปเสียเลย ฮ่วย!!)
การยกย่อง ฮีโร่ เพื่อสนับสนุนสงครามนี้ค่อยๆทำลายความเป็นมนุษย์ลงช้าๆ เมื่อคำคำนี้เป็นเพียงคำจอมปลอมที่ใช้โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกใดๆ ทั้งสามคนที่ต้องรับคำนี้รู้สึกว่าตนเองไม่คู่ควรกับคำนี้ (โดยเฉพาะตัวละคร John Doc Bradley ที่เป็นพ่อของเจ้าของบทประพันธ์เรื่องนี้) หรืออย่างไอร่าที่แม้จะมีสถานภาพเป็นฮีโร่ แต่เขาก็ยังถูกกีดกันในฐานะอินเดียนแดงเหมือนเดิม ในขณะที่ผู้หลักผู้ใหญ่ก็ไม่ได้เห็นพวกเขาเป็นฮีโร่ที่แท้จริง แต่เป็นเพียงเครื่องมือเรียกเงินไปซื้ออาวุธถล่มอิโวจิม่าเพิ่มก็เท่านั้น
รัฐบาลพยายามช่วยเหลือ เกื้อหนุน และให้ท้ายเหล่าฮีโร่ที่พวกเขาสร้างขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่คิดจะเหลียวแลคนอื่นที่เกี่ยวข้องกับการรบที่อิโวจิม่า จุดหนึ่งที่กระแทกใจมากๆ คือเรื่องของแม่ที่เห็นแผ่นหลังของลูกแล้วรู้ว่าลูกตัวเองปักธงชาติอเมริกา แต่ว่าชื่อที่ได้รับการยืนยันกลับเป็นอีกชื่อ (เพราะว่าปักธงสองรอบอย่างที่ได้บอกไปแล้ว) และเมื่อการณ์ได้รับการสืบสวนจนรู้ว่าเป็นลูกของแม่คนนี้จริง เมื่อถึงวันเปิดตัวอนุสาวรีย์ปักธงตัวนี้ ครอบครัวของทหารคนแรก(ที่มีชื่อแต่จริงๆไม่ได้ปัก) ก็ไม่ได้รับการเหลียวแลจากรัฐบาลอีกเลย...
เพราะฉะนั้นเรายังพูดได้เต็มปากหรือว่าสงครามนี้รบเพื่อคนทั้งชาติ ไม่ใช่ผลประโยชน์ของคนไม่กี่คนในรัฐบาล
Letters from Iwo Jima (สหรัฐอเมริกา, Clint Eastwood, 2006, A+)
ภาคสองของทวิภาคอิโวจิม่า ที่ย้ายศูนย์กลางของเรื่องจากอเมริกาไปที่กองบัญชาการทหารแห่งเกาะอิโวจิม่า ก็ตั้งคำถามเดียวกับภาคอเมริกา ว่าด้วยมรรคผลของสงครามที่ได้ให้กับประชาชนทุกคนที่ถูกเกณฑ์เข้ามามีส่วนร่วม
ภาพที่เราเห็นจากหนังฝั่งญี่ปุ่น เริ่มตั้งแต่การเกณฑ์ผู้ชายจากบ้านต่างๆเพื่อเข้าร่วมรบในสมรภูมิ การให้ทหารมาเอาทรัพย์สินของประชาชนไปให้รัฐบาลเพื่อขายหาเงินซื้ออาวุธไปรบ (หลังจากที่ญี่ปุ่นไปหาเรื่องอเมริกาที่เพิร์ลฮาร์เบอร์) และการเปิดโรงเรียนเสี้ยมสอนทหารให้ทำหน้าที่คล้าย Gestapo ของนาซี เพื่อคอยสอดส่องทหารที่คิดจะหนีทัพ (ซึ่งมีไม่น้อย เพราะใช่ว่าทุกคนจะเต็มใจถวายชีวิตให้กับสงคราม)
การ propaganda ในฝั่งญี่ปุ่นเองก็มีเช่นกัน เพียงแต่เป็นคนละรูปแบบของอเมริกา การปลุกระดมจิตสำนึกทหารของทางญี่ปุ่นจะคล้ายกับนาซีของฮิตเลอร์ (หาดูได้ในหนังเยอรมันเรื่อง Downfall) คือการพูดถึง "ตายเพื่อเป็นเกียรติของชาติ" คือถ้าจะถูกจับเป็นเชลย หรือไม่มีทางสู้จงอย่าวิ่งหนี แต่ยอมตายเสียดีกว่า ซึ่งเหตุการณ์ตรงนี้ทำให้เกิดตัวละครนายพลคูริบายาชิ (วาตานาเบ้ เคน) ผู้ที่ค่อนข้างแอนตี้ค่านิยมนี้ เพราะทำให้เสียรูปขบวนกลศึกและเสียทหารโดยไร้ความจำเป็น โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ส่วนกลางไม่เหลียวแลอิโวจิม่าและเททหารไปพิทักษ์แผ่นดินใหญ่กับพระราชวัง ทำให้กระบวนรบที่อิโวจิม่านั้นแตกเป็นสองสายคือสายคูริบายาชิ และสายทหารอนุรักษ์นิยมที่คิดแต่เรื่องฮาราคีรีหากรบแพ้ (ยังไม่รวมถึงการเสี้ยมสอนให้ภาพผิดๆเกี่ยวกับทหารอเมริกัน และการโอ้อวดศักยภาพของชนชาติตัวเองจนเกินจริง เหมือนกับเกาหลีเหนือในปัจจุบัน)
ถ้าเทียบกับช่วงลำดับเวลาแล้ว เหตุการณ์ใน Letters from Iwo Jima นั้นคาบเกี่ยวกับ Flags of Our Fathers เพียงเล็กน้อยเพราะเล่าเรื่องเท้าความไปก่อนหน้านั้นค่อนข้างมาก และเมื่อเนื้อเรื่องดำเนินมาถึงตอนที่กองทัพอเมริกันยกพลขึ้นบก หนังก็ยังเล่าเรื่องจากคนละมุมมองแบบสุดขั้วเช่นเดิม เพื่อแยกความแตกต่างทางมุมมองและการดำเนินเรื่องของอเมริกันและญี่ปุ่น รวมถึงวัฒนธรรมและค่านิยมที่แตกต่างกันสุดขั้วของสองชาติจากสองทวีป
น่าเสียดาย ที่ผมไม่ได้ชอบ Letters from Iwo Jima มากมายเหมือนกับที่คาดไว้แต่แรก เพราะมีหลายๆส่วนที่หนังทำแล้วไม่อิน เช่นชะตากรรมตอนจบของนายพลคูริบายาชิ หรือเรื่องของ "จดหมายที่ไม่ได้ส่ง" ก็ยังไม่มีพลังมากเท่ากับประเด็นเรื่องสงครามที่หนังตั้งคำถามไว้ทั้งสองภาค แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องชื่นชมว่าหนังไม่มีกลิ่นอายอเมริกาหลงเข้ามาปะปนมากล้นจนเกินไป
Create Date : 20 พฤศจิกายน 2550 |
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2550 16:03:29 น. |
|
44 comments
|
Counter : 1702 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ennisdelmar IP: 125.24.14.93 วันที่: 20 พฤศจิกายน 2550 เวลา:18:06:34 น. |
|
|
|
โดย: Unravel วันที่: 20 พฤศจิกายน 2550 เวลา:21:45:12 น. |
|
|
|
โดย: ทะเลคราม (blueocynia ) วันที่: 21 พฤศจิกายน 2550 เวลา:1:30:35 น. |
|
|
|
โดย: kai`to IP: 124.120.169.232 วันที่: 21 พฤศจิกายน 2550 เวลา:2:27:17 น. |
|
|
|
โดย: อั๊ต (yibby ) วันที่: 21 พฤศจิกายน 2550 เวลา:16:46:08 น. |
|
|
|
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 21 พฤศจิกายน 2550 เวลา:17:32:31 น. |
|
|
|
โดย: 125 66 IP: 58.11.121.131 วันที่: 21 พฤศจิกายน 2550 เวลา:20:32:41 น. |
|
|
|
โดย: poome IP: 58.9.164.77 วันที่: 21 พฤศจิกายน 2550 เวลา:22:29:57 น. |
|
|
|
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 22 พฤศจิกายน 2550 เวลา:17:26:04 น. |
|
|
|
โดย: yibby วันที่: 22 พฤศจิกายน 2550 เวลา:22:48:09 น. |
|
|
|
โดย: iaiapprentice IP: 59.141.98.178 วันที่: 22 พฤศจิกายน 2550 เวลา:23:18:47 น. |
|
|
|
โดย: merf1970 IP: 202.139.223.18 วันที่: 23 พฤศจิกายน 2550 เวลา:23:05:44 น. |
|
|
|
โดย: Unravel วันที่: 23 พฤศจิกายน 2550 เวลา:23:47:55 น. |
|
|
|
โดย: Unravel วันที่: 23 พฤศจิกายน 2550 เวลา:23:48:37 น. |
|
|
|
โดย: Unravel วันที่: 24 พฤศจิกายน 2550 เวลา:10:03:59 น. |
|
|
|
โดย: S e m a k u t e k ! IP: 124.120.111.146 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2550 เวลา:12:30:52 น. |
|
|
|
โดย: >>..JoY~*..<< IP: 58.8.188.235 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2550 เวลา:12:39:17 น. |
|
|
|
โดย: ปีter Parker IP: 124.121.175.225 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2550 เวลา:14:11:47 น. |
|
|
|
โดย: Hammer IP: 202.57.176.111 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2550 เวลา:15:30:07 น. |
|
|
|
โดย: yibby วันที่: 25 พฤศจิกายน 2550 เวลา:12:45:48 น. |
|
|
|
โดย: beerled วันที่: 25 พฤศจิกายน 2550 เวลา:20:00:21 น. |
|
|
|
โดย: พระเจ้า** IP: 58.9.9.63 วันที่: 25 พฤศจิกายน 2550 เวลา:21:53:18 น. |
|
|
|
โดย: แค่เพียงฯ IP: 124.120.25.156 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2550 เวลา:2:05:07 น. |
|
|
|
โดย: S e m a k u t e k ! IP: 124.120.104.196 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2550 เวลา:12:36:20 น. |
|
|
|
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 26 พฤศจิกายน 2550 เวลา:16:47:32 น. |
|
|
|
โดย: merveillesxx วันที่: 27 พฤศจิกายน 2550 เวลา:18:34:39 น. |
|
|
|
โดย: yibby วันที่: 28 พฤศจิกายน 2550 เวลา:1:56:20 น. |
|
|
|
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 28 พฤศจิกายน 2550 เวลา:10:03:14 น. |
|
|
|
โดย: myo IP: 161.200.255.162 วันที่: 28 พฤศจิกายน 2550 เวลา:13:45:50 น. |
|
|
|
โดย: pangz วันที่: 28 พฤศจิกายน 2550 เวลา:19:38:09 น. |
|
|
|
โดย: เหม่เก่ว IP: 124.120.70.217 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2550 เวลา:22:20:19 น. |
|
|
|
โดย: yibby วันที่: 1 ธันวาคม 2550 เวลา:5:24:50 น. |
|
|
|
โดย: pangz วันที่: 1 ธันวาคม 2550 เวลา:19:27:16 น. |
|
|
|
โดย: pikaball วันที่: 1 ธันวาคม 2550 เวลา:21:08:29 น. |
|
|
|
โดย: Unravel วันที่: 1 ธันวาคม 2550 เวลา:22:48:39 น. |
|
|
|
โดย: คำห้วนล็อกอินหาย IP: 203.156.85.72 วันที่: 2 ธันวาคม 2550 เวลา:5:57:02 น. |
|
|
|
โดย: grappa IP: 58.9.189.153 วันที่: 2 ธันวาคม 2550 เวลา:7:40:12 น. |
|
|
|
โดย: โสมรัศมี วันที่: 2 ธันวาคม 2550 เวลา:12:01:13 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
คนในสังคมจารีตที่มีความคิดทางเวลาแบบไตรภูมิจะไม่ให้ความสำคัญแก่เวลาตามประสบการณ์ กล่าวคือไม่ให้ความสำคัญแก่การเปลี่ยนแปลงที่เป็นจริงของชีวิตและสังคมว่าดำเนินมาและดำเนินไปอย่างไร เชื่อในการคลี่คลายเปลี่ยนแปลงของชีวิตและสังคมซึ่งจะต้องเป็นเช่นนั้นตามกฎแห่งเวลาของพุทธศาสนา
- อรรถจักร สัตยานุรักษ์ (จากบทความ "ความเปลี่ยนแปลงความคิดทางเวลาในสังคมไทย" วารสารเศรษฐศาสตร์การเมือง 4 ตุลาคม 2531)
Let this song rhyme our souls when your voice and mine become one and whole.
Let it carry us high above When we recite our poetry of love that when there's love then there's hope.
Your love is my light, and it'll get us through this lonely night.
- รักแห่งสยาม (ซับไตเติ้ลอังกฤษเพลง กันและกัน ท่อนฮุค)
|
|
|
|
|
|
|
ในฐานะคนทำหนัง เรารู้สึกดีมากเวลามีคนพูดถึงมัน(หนัง) ไม่ว่าจะติหรือชม น้อมรับครับ
ปล.แต่มิอาจเอื้อมไปรับรางวัลที่เบลเยี่ยมครับ