“ในฐานะนักทำหนังคนหนึ่ง ผมปฏิบัติกับหนังของผมประดุจลูกชายและลูกสาว เมื่อผมให้กำเนิดเขา พวกเขาก็มีชีวิตเป็นของตนเอง ผมไม่ใส่ใจว่าผู้คนจะรักหรือเกลียดลูกของผม ตราบใดที่ผมสร้างเขาขึ้นมาด้วยความตั้งใจและความพยายามอย่างสูงสุด ถ้าลูกๆ ของผมไม่สามารถอาศัยอยู่ในประเทศของเขาเองไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใดก็ตาม ก็ปล่อยเขาเป็นอิสระเถิด เพราะมันยังมีพื้นที่อื่นๆ ที่ต้อนรับเขาอย่างอบอุ่นในแบบอย่างที่เขาเป็น มันไม่มีเหตุผลเลยที่ต้องทำให้พวกเขาพิกลพิการจากระบบแห่งความกลัวหรือความละโมบ มิฉะนั้นแล้วมันก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่คนสักคนหนึ่งจะสร้างงานศิลปะต่อไป”
-- อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล
(คำปรารภหลังจาก "แสงศตวรรษ" ผลงานภาพยนตร์จากผู้กำกับคนไทย พูดภาษาไทย ใช้ดาราคนไทย ถูกกองเซนเซ่อประเทศไทยบังคับให้ตัดฉากสำคัญ 4 ฉากออกหากต้องการฉายในโรงภาพยนตร์ของประเทศไทย)




“ผมคิดว่าพระกลุ่มนี้โดนจี้จุดจึงร้อนตัวเกินไป หรือเป็นพวกอยากดัง จึงต้องทำตัวเป็นข่าว อยากถามว่าทำไมไม่ไปเรียกร้องหรือแก้ปัญหาพระที่ออกมาแก้ผ้า มั่วสีกา หรือใช้มีดกรีดร่างกาย หลอกลวงประชาชน ทั้งนี้หากจะฟ้องก็ยินดีให้ฟ้องได้ทุกศาล หรือว่าจะไปฟ้องจตุคาม ศาลเจ้าแม่กวนอิม พระอินทร์ พระอิศวร ก็เชิญ ผมไม่สนใจ แต่เห็นว่าพระกลุ่มนี้ไม่เหมาะสมในสมณะ และเป็นพระหน้าเดิมที่ออกมาเดินขบวนเรียกร้องการบรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ”
-- ถวัลย์ ดัชนี
(คำตอบโต้ภายหลังกลุ่มพระสงฆ์ที่ชุมนุมประท้วง ขู่ฟ้องคดีอาญาต่ออธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร นายอนุพงษ์ผู้วาดภาพภิกษุสันดานกาและหมานุษย์ และคณะกรรมการที่ตัดสินรางวัลศิลปกรรมแห่งชาติ ในข้อหาหมิ่นศาสนา)
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2549
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
3 ตุลาคม 2549
 
All Blogs
 
แซ่บเรื่องหนัง(4) : โคตรรักเอ็งเลย/ The Lake House/ House of Wax/ Miami Vice/ United 93/ Brick



Date : 3 สิงหาคม 2549
Location : Siam

หนังไทยเรื่องแรกตั้งแต่ “มหาลัยเหมืองแร่” ที่โรงหนังเครือเอเพกซ์(สยาม,ลิโด้,สกาล่า)ซื้อฟิล์มไปฉาย ชวนให้คิดว่า หนังมันต้องมีอะไรดีซักอย่าง ไม่งั้นค่ายหนังที่มีแนวทางเฉพาะตัวอย่างเอเพกซ์คงไม่ซื้อหนังเรื่องนี้ไปฉายแน่ เพราะหนังที่ฮิตติดตลาดอย่าง “เพื่อนสนิท” หรือล่าสุดอย่าง “Seasons Change” ยังไม่ได้ฉายในโรงหนังเครือนี้เลย หรืออาจเป็นเพราะหน้าหนังที่ดู “ติสต์แดก” สุดๆ ทั้งดารานำอย่างโน้ส-อุดม แต้พานิช และผู้กำกับอย่าง พิง ลำพระเพลิง ก็เป็นได้

พล็อตเรื่องเกี่ยวกับคู่รักคู่หนึ่งที่วันเวลาผ่านไปแล้วความรักเริ่มจืดจางลง จนฝ่ายหนึ่งเริ่มปันใจให้ชายอื่น และเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงจนต้องจากกันไปอย่างไม่มีวันกลับ พล็อตแค่นี้ถ้าเกิดกดดันหนักๆ ดราม่าหนักๆ ก็เรียกน้ำตาคนดูได้พอๆกับ Sad Movie หรือหนังเรียกน้ำตาเรื่องอื่น แต่ด้วยความ “เฉพาะตัว” ของผู้กำกับพิง ลำพระเพลิงที่ไม่อยากให้เนื้อเรื่องจบอยู่แค่นั้น

หนังเรื่องนี้ในบางช่วงจึงกลายเป็น Comedy (ช่วงที่ฉายภาพบทภาพยนตร์ที่เขียนไม่ผ่านของรงค์ และให้เสียงภาษาไทยโดยพันธมิตร) บางช่วงกลายเป็น Horror (ช่วงที่ผีแดง – ไม่ใช่แมนยู – มาเดินๆอยู่ในบ้าน และมีภาพติดในรูปถ่ายเหมือนชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ) ในขณะที่ช่วงอื่นที่เหลือที่เป็น Romantic นั้นก็ถูกเนื้อหาในส่วนนี้ลดทอนไป ที่พูดแบบนี้ก็เพราะว่า ความรักที่ค่อยๆจืดจางของรงค์และแดงนั้น ปูพื้นมาในเรื่องได้ดีแล้วว่าความจืดจางของสามีภรรยาคู่นี้เกิดขึ้นเพราะอะไร และคนดูเองก็เห็นภาพอยู่แล้วด้วย

จุดติในหนังเรื่องนี้จึงคล้ายๆกับ Don’t Tell ที่จงใจใส่ซับพล็อตเข้ามาในหนังมากจนเกินไปจนทำให้ theme ของหนังที่ควรจะมี theme เดียวเสียไป แม้ว่าซับพล็อตที่ใส่เข้ามานี้จะไม่ได้ย่ำแย่อะไรมากก็ตาม แต่ด้วยเนื้อหาส่วนที่พูดถึงไปในย่อหน้าที่แล้ว ทำให้ theme โรแมนติกรีดน้ำตาอย่างที่เห็นในตัวอย่างหนังนั้นน้อยลงไปกว่าที่ควรจะเป็น ถึงเรื่องราวลึกลับในช่วงหลังของหนังนั้นเมื่อดำเนินไปถึงบทสรุปแล้วจะทำได้ดีก็ตาม

น่าเสียดาย... ให้ 7 เต็ม 10



Date : 5 สิงหาคม 2549
Location : Lido Multiplex


เพราะว่าไม่ได้ดู Il Mare หนังเกาหลีที่เป็นต้นฉบับของหนังเรื่องนี้ จึงไม่สามารถเอามาเปรียบเทียบได้ว่าฉบับเอเชียกับฉบับอเมริกันนั้น ฉบับไหนทำได้ดีกว่ากัน แต่ที่อยากดูก็เพราะว่า Sandra Bullock เล่นนี่ล่ะ...

เรื่องราวรักข้ามกาลเวลาของ Kate Forster กับ Alex Wyler ที่ติดต่อกันได้ผ่านตู้จดหมายหน้าบ้านพักริมทะเลสาบ ทั้งคู่ติดต่อคุยกันผ่านตัวหนังสืออยู่ระยะหนึ่งก่อนที่จะรู้ว่าทั้งคู่อาศัยอยู่ในบ้านนั้นห่างกันถึงสองปี แต่เหมือนโชคชะตาเล่นตลก เมื่อสองคนนี้เกิดรักกันขึ้นมาซะงั้น!

ด้วยความเป็นฮอลลีวูด ตอนจบของหนังเรื่องนี้เล่นเอาเจ้าของบล็อกนอยไปหลายวัน.. จะพูดก็สปอยล์เปล่าๆ - -* แต่มันเป็นตอนจบที่ชวนให้อารมณ์เสียมากๆ ให้ตายเถอะ
เพราะว่าเจ้าของบล็อกไม่ค่อยชอบตอนจบแบบ happy-ending น่ะ...

เอาเถอะ.. มาพูดถึงเรื่องอื่นดีกว่า.. เอาเป็นว่า บ้านริมทะเลสาบในเรื่องก็สวยดี Sandra Bullock ก็เล่นดีพอสมควร ดูสวยขึ้นด้วย ทั้งๆที่อายุอานามก็ไม่ใช่น้อย (ส่วน Keanu Reeves นั้นดูโทรมเหลือเกิน)

ไม่รู้จะเขียนอะไรถึงเรื่องนี้แฮะ - -*

6.5 เต็ม 10



Date : (Can't remember)
Location : VCD เช่า

เรื่องนี้เช่ามาแล้วคาอยู่ในคอมมาประมาณชาติเศษ (ตั้งแต่สนธิยังไม่ชุมนุมไล่ทักษิณนู่น) จนกระทั่งเพื่อนมันมานอนค้างที่หอ แล้วมันอยากดูหนัง ให้มันเลือกจากไฟล์ที่มีในเรื่อง แล้วมันก็เลือก House of Wax

ได้ยินกิตติศัพท์มาตั้งแต่ฉายแล้วว่าเรื่องนี้ ซาดิสต์ (ถึงได้เช่ามาไงล่ะ วะฮะฮ่า) พอเปิดดูก็รู้แล้วว่าซาดิสต์..

เนื้อเรื่องตามแนว ฆาตกรโรคจิตไล่เชือดผู้บริสุทธิ์ เมื่อวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งไปพักผ่อนกลางทางเพื่อไปดูอเมริกันฟุตบอลนัดสำคัญ แต่ระหว่างทางเกิดรถเสีย น้ำมันหมด เลยต้องไปหาน้ำมัน และได้เข้าไปในเมืองลึกลับแห่งหนึ่ง ก่อนที่จะเจอกับเหตุการณ์อันน่าสะพรึง และค่อยๆตายไปทีละคน ตามสูตร

แต่ที่ชอบหนังเรื่องนี้ก็เพราะความซาดิสต์ของมัน และการตายของ Paris Hilton ที่สะใจมั่กมาก 55+ เรียกว่าคนครีเอตวิธีตายนี่สูสีกับ Final Destination เลย แถมเรื่องนี้สยองกว่าอีกตะหาก... (เอาคนไปหลอมในขี้ผึ้ง พอแกะขี้ผึ้งออกมา เนื้อก็หลุดเห็นเลือดแดงๆใต้ผิวหนัง บรื๋อออ)

Elisha Cuthbert เล่นได้ดีโดดเด่นออกมามากกว่าคนอื่น (แน่นอน เล่นดีกว่าแม่นางปารีสที่ตอนนี้หันไปร้องเพลงโดยการใช้คอมพิวเตอร์แต่งเสียงแทน)

เมืองหุ่นขี้ผึ้งในเรื่องทำได้เนียนมาก.. พอรู้ความจริงทุกอย่างที่เกี่ยวกับเมืองนั้นแล้ว สยองขนลุก....

ดีเกินคาด 7.5 เต็ม 10



Date : 7 สิงหาคม 2549
Location : Lido Multiplex

สองคู่หูตำรวจไมอามี่อย่าง Sonnie Crockette และ Rico Tubb ต้องเข้าไปแทรกแซงสืบสาวเพื่อจัดการกับเจ้าพ่อค้ายารายใหญ่ระดับโลกชาวโคลัมเบียอย่าง Montolla (อ่านว่า มอนโตย่า เขียนตามแบบสเปนน่าจะออกมาประมาณนี้มั้ง – ฝึกไว้ก่อนเดี๋ยวจะไปลงภาษาสเปน 555) ผ่านทาง Jose Hiero หัวหน้าแก๊งบังหน้าของมอนโตย่าอีกที และมอนโตย่าก็มีเมียสาวกระดังงาลนไฟสุดเซ็กซี่อย่าง Isabella (รับบทโดย ก่งลี่ – เกอิชา ฮัตสึโมโมะ จาก Memoirs of a Geisha) ที่ดูมีใจให้ Sonnie อยู่ไม่ใช่น้อย

ซอนนี่และริโก้เข้ามาทำงานในแก๊งค้ายานี้ซักระยะ จนกระทั่งได้รับความไว้วางใจจากมอนโตย่า (ในรายของซอนนี่ ได้รับความไว้วางใจจากอิซาเบลล่าด้วยอีกต่อหนึ่ง) ให้ขนยาครั้งสำคัญๆ ทำให้โฆเซ่ เยโร่มองสองคนนี้ด้วยความไม่พอใจอยู่ห่างๆ และเริ่มสะกิดใจถึงความสัมพันธ์ลับๆระหว่าง อิซาเบลล่า กับ ซอนนี่

เจ้าของบล๊อกอยากดูหนังเรื่องนี้มากเพราะเครดิตของผู้กำกับอย่าง Michael Mann ที่ฝากผลงานมาสเตอร์พีซไว้อย่าง Collateral (ที่ Tom Cruise ย้อมผมขาวทั้งเรื่อง) ที่เจ้าของบล็อกนั่งดูไปตื่นเต้นไป แล้วเชียร์ Jamie Foxx ให้ได้ออสการ์อย่างออกนอกหน้า (ได้จาก Ray ไปก็ไม่ว่ากัน) เรื่องนี้ก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง เพียงแต่ว่ารสชาติของหนังนั้นอาจจะอ่อนกว่า Collateral อยู่ในระดับหนึ่ง

พึงสังวรไว้ว่า เมื่อคุณดูหนังของ Michael Mann คุณจะไม่ได้ดูหนัง action ประเภทระเบิดภูเขาเผากระท่อมแฟนตาซีสุดฤทธิ์เหมือน Michael Bay หรือ Jerry Bruckheimer แต่คุณจะได้ดูหนังแอ๊คชั่นที่เป็นแอ๊คชั่นจริงๆ สมจริงในทุกรายละเอียด โดยเฉพาะฉากยิงต่อสู้กันตอนสุดท้ายนั้น เหมือนจริงจนน่าขนลุก

แต่ว่าจุดอ่อนของ Miami Vice ก็คือ เรื่องราวที่ “ไม่มีอะไรเลย” เพราะถ้าจะดูจริงๆ เรื่องราวของหนังก็แค่ “ตำรวจเข้าไปในแก๊งค้ายา – หนึ่งในนั้นมีชู้กับเมียหัวหน้าแก๊ง – ขัดแย้งกับคนในแก๊ง – เอาตำรวจมาทลายแก๊ง – ยิงยิงยิง – จบ” ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่เท่าไหร่ในพล็อตหนังเรื่องนี้. แต่ว่าด้วยฝีมือของ Michael Mann ที่สามารถคุมโทนหนังได้ อย่างน้อยก็ทำให้คนดูติดตามหนังเรื่องนี้ไปได้เรื่อยๆ จนจบ และอารมณ์ความตื่นเต้นไม่ถูกลดทอนลงไป

นักแสดงคนที่ทำหน้าที่ได้ดีที่สุดคือ ก่งลี่ ในบทอิซาเบลล่า ป้าก่งลี่(อายุ 40 กว่าแล้ว - -) ยังเซ็กซี่ไม่เสื่อมคลาย และสามารถดันตัวเองให้เด่นขึ้นมาได้ แม้ว่าในบางครั้งบทภาพยนตร์อาจจะไม่ส่งเลย (อย่างในกรณีของ Memoirs of a Geisha ที่เบียดบังนางเอกอย่าง จางจื้ออี้ ซะจนตกขอบ ทั้งๆที่ตัวบทแทบไม่ได้ใส่ความเป็นมนุษย์ให้ฮัตสึโมโมะ แต่ก่งลี่สามารถสื่อให้ผู้ชมเห็นมิติความเป็นคนในตัวฮัตสึโมโมะ และเรียกความเห็นใจจากคนดูได้) ซึ่งในเรื่องนี้เธอเล่นเข้าคู่กับ Colin Farrell ได้ดี แต่ที่ให้เครดิตก่งลี่มากกว่า เพราะเหมือนกับว่าแนวทางนี้เป็นแนวทางที่ Colin เล่นมาบ่อยจนเข้าทางแล้ว ส่วนนักแสดงออสการ์อย่าง Jamie Foxx นั้นก็ทำหน้าที่ได้ในระดับกลาง

7.5 เต็ม 10



Date : 8 สิงหาคม 2549
Location : Scala

หนังที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยาเรื่องนี้ ไม่ได้มุ่งเน้นเข้าไปที่ตัวตึกแฝด หากแต่เน้นที่เที่ยวบิน United 93 ที่ตกอยู่ในทุ่งหญ้า ไม่ได้พุ่งเข้าชนอาคารสำคัญเหมือนลำอื่นที่ถูกจี้

เรื่องราวของ United 93 ดำเนินไปเหมือนไม่มีพล็อต ดำเนินไปตามลำดับเวลา เริ่มเรื่องด้วยการทำพิธีของชาวมุสลิมที่ได้รับเกียรติจากพระเจ้า (จอมปลอมของเหล่าผู้ก่อการร้าย) ให้ทำหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์ ในวันประวัติศาสตร์วันนี้ จนกระทั่งเมื่อเครื่องบินเทคออฟจากสนามบิน เรื่องราวก็มุ่งไปโฟกัสที่ศูนย์ควบคุมการบินที่เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของเครื่องบินบางลำที่ไม่ส่งสัญญาณตอบกลับมา และบรรยากาศสบายๆตั้งแต่ต้นเรื่องก็แปรเปลี่ยนเป็นความกดดันขั้นสูง เมื่อทราบแน่ชัดแล้วว่ามีเครื่องบินถูกจี้มากกว่าหนึ่งลำ และผู้คนภาคพื้นดิน(ทั้งฝ่ายควบคุมการบินของสนามบินตอนต้นเรื่อง ฝ่ายควบคุมการบินของสนามบินที่เครื่องบินลำอื่นเทคออฟ รวมไปถึงฝ่ายควบคุมการบินของกระทรวงกลาโหม) ไม่อาจทำอะไรได้มากไปกว่าคอยเฝ้าดูสถานการณ์ระทึกนี้ จนกระทั่งเครื่องบินลำดังกล่าวหายไปจากจอเรดาร์ พร้อมกับภาพตึกเวิลด์เทรดมีควันไฟพวยพุ่งออกมาทางช่อง CNN

ภาพของเครื่องบินลำที่สองที่พุ่งเข้าชนตึกเวิลด์เทรดต่อหน้าต่อตาคนทั้งโลก ยังทำให้ผู้ชมกดดันและตกตะลึงกับภาพนี้ได้ แม้ว่าจะเห็นมาภาพนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาเป็นร้อยๆครั้งเมื่อห้าปีก่อน แต่เพราะการปูเรื่องที่ค่อยๆเพิ่มความกดดันให้กับคนดู ทำให้ภาพเดิมๆนี้สร้างความกดดันได้เป็นเท่าทวีคูณ และทำให้เหล่าผู้คนภาคพื้นดินได้รู้ว่าเหตุการณ์จี้เครื่องบินนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้ว และได้แจ้งเตือนเครื่องบินลำอื่นๆที่ลอยอยู่เหนือน่านฟ้าอเมริกาให้ระวังให้ดี...

เรื่องราวถัดจากนี้ จึงเริ่มเรื่องของเที่ยวบิน United 93 อันเป็นที่มาของชื่อเรื่อง เมื่อผู้ก่อการร้ายมุสลิมในตอนต้นเรื่องเริ่มปฏิบัติการตามแผนการที่ได้รับมา ได้เริ่มกระทำการโดยไม่ปรานีและฆ่าคนเป็นผักปลาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้ผู้โดยสารตกอยู่ในภาวะตื่นตระหนกสุดขีด และยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้นเมื่อคนที่ติดต่อกับภาคพื้นดินได้ ได้รับทราบเหตุวินาศกรรมตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์

แล้วเรื่องราวก็ดำเนินไปถึงจุดจบของมัน... คือที่ทุ่งหญ้าแห่งนั้น ที่ห่างจากทำเนียบขาวไม่มากเท่าไหร่...

เนื้อเรื่องดำเนินไปตามครรลองของมัน แล้วยิ่งการถ่ายภาพแบบ hand-held และดารานักแสดงที่ไม่เป็นที่รู้จักของประชาชน ยิ่งทำให้ United 93 ดูสมจริงมากขึ้นราวกับเป็นสารคดีที่ถ่ายจากสถานที่จริงทั้งบนเครื่องกับภาคพื้นดิน ความสมจริงนี้เองที่สามารถกดดันคนดูให้มีอารมณ์ร่วมไปกับหนังได้ชะงัดนัก แม้ว่าจุดจบของหนังนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้อยู่ตั้งแต่แรกเริ่มก็ตาม

เวทีออสการ์น่าจะหันมาแล 9.5 เต็ม 10



Date : 21 สิงหาคม 2549
Location : Lido Multiplex

หน้าหนังบอกตรงๆอยู่แล้วว่า เป็นหนังแนวสืบสวนสอบสวน ขุดเค้นปริศนากันให้ปวดหัวตายไปข้าง เพราะฉะนั้น นี่คือหนังที่ตั้งใจเข้าไปเครียด ไม่ได้เข้าไปสนุกสนาน 55+

เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อ Brendan พระเอกของเรื่องไปพบศพของ Emily อดีตแฟนสาวที่คูระบายน้ำหลังจากที่เธอโทรหาเขาทางตู้โทรศัพท์ แล้วพูดอะไรบางอย่างที่เหมือนเป็น keyword ปริศนาอันน่างงงวย

เมื่อเขาเริ่มลงมือสืบความไปเรื่อยๆพร้อมกับ The Brain เด็กเนิร์ดเพื่อนสนิทและ Laura สาวสวยผู้มีปริศนา จนไปพัวพันกับขบวนการค้ายารายใหญ่ของ The Pin และสืบเรื่องราวของ Emily จนเสี่ยงอันตรายต่อชีวิต

บทภาพยนตร์เรื่องนี้คำพูดเยอะเหลือเกิน เยอะจนซับแปลไม่ทัน.. แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้มีปริศนาเยอะขึ้น - - ตอนจบจะว่ามันคลายหมดก็จริง แต่เหมือนกับว่าปริศนาที่หนังตั้งไว้มันก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากมายเท่าไหร่นัก

โบนัสอีกอย่างก็คือ หนังเรื่องนี้ถ่ายภาพสวยมาก.. โดยเฉพาะฉากที่สนามฟุตบอลตอนจบ อยากถ่ายได้แบบนี้บ้างงงงงง...

8 เต็ม 10


Create Date : 03 ตุลาคม 2549
Last Update : 4 ตุลาคม 2549 10:51:31 น. 3 comments
Counter : 1251 Pageviews.

 
สองเรื่องนี้ดูแค่เรื่องแรกกับยูไนเต็ดน่ะ

รู้สึกคล้ายๆ กันนะ


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 4 ตุลาคม 2549 เวลา:15:04:48 น.  

 
นอย นอย นอย ไม่ได้ดู United 93 ชั้นเลยไปเช่า fiight 93 มาดูแทน

รู้สึกหนังที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ 9/11 เนี้ยจะมากขึ้นทุกวันๆ แต่อเมริกันจ๋าทุกเรื่องเลย

อ่านบล๊อคแกแล้วหนุกจริงๆให้ตายเหอะ อัพบ่อยๆอย่าดองหนังที่ดูมากหล่ะ


โดย: zadwaan IP: 161.200.255.162 วันที่: 10 ตุลาคม 2549 เวลา:18:28:56 น.  

 
โคตรรักเองเลย นี่เพลงเพราะดี
House of wax พระเอกหล่อดี

อี 3 ยังไม่ได้ดูเรย


โดย: amoderndog (amoderndog ) วันที่: 4 พฤศจิกายน 2549 เวลา:16:30:13 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

nanoguy
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คนในสังคมจารีตที่มีความคิดทางเวลาแบบไตรภูมิจะไม่ให้ความสำคัญแก่เวลาตามประสบการณ์ กล่าวคือไม่ให้ความสำคัญแก่การเปลี่ยนแปลงที่เป็นจริงของชีวิตและสังคมว่าดำเนินมาและดำเนินไปอย่างไร เชื่อในการคลี่คลายเปลี่ยนแปลงของชีวิตและสังคมซึ่งจะต้องเป็นเช่นนั้นตามกฎแห่งเวลาของพุทธศาสนา

- อรรถจักร สัตยานุรักษ์
(จากบทความ "ความเปลี่ยนแปลงความคิดทางเวลาในสังคมไทย" วารสารเศรษฐศาสตร์การเมือง 4 ตุลาคม 2531)




Let this song rhyme our souls
when your voice and mine become one and whole.

Let it carry us high above
When we recite our poetry of love
that when there's love then there's hope.

Your love is my light,
and it'll get us through this lonely night.

- รักแห่งสยาม (ซับไตเติ้ลอังกฤษเพลง กันและกัน ท่อนฮุค)









Friends' blogs
[Add nanoguy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.