|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
เรื่องผ้าเหลือง กับ สังคมเครื่องแบบ
วันนี้นัดกับ S e m a k u t e k ! ไปเอาใบนำปลด ที่ศูนย์ รด.วิภาวดี เพื่อที่จะได้รีบๆหาเวลากลับบ้านซักสามสี่วันช่วงปิดเทอมเล็ก เอาไอ้ใบนี่ไปยื่นสัสดีอำเภอเมืองอุดรธานี แล้วจะได้ไม่ต้องไปเกณฑ์ทหารตอนปีหน้า ถ้าเกิดเจียมตัวเรียนอยู่ที่อุดรซะตั้งแต่แรกก็คงไม่ต้องกลับไปกลับมาแบบนี้สินะ ใครใช้ให้กระแดะลงมาเรียนกรุงเทพ? ไม่รู้ รู้แค่ว่าวุ่นวายชิบหาย เพราะระบบทหารคือการเกื้อหนุนปิตาธิปไตย ใช้ที่อยู่ของพ่อมาคุมชีวิตการเป็นทหารของประชาชนแต่ละคน เจริญ!!!
ตอนแรกนัดกันดิบดีเก้าโมงเช้า ปรากฏว่าตื่นเที่ยงทั้งคู่ กว่าจะเจอกันก็บ่ายสองครึ่ง นั่งแท็กซี่ขึ้นทางด่วนไปแบบเร่งรีบสุดๆ เพราะได้ข่าวว่ามันจะปิดรับตอนบ่ายสาม (ไอ้ห่า... จะรีบไปไหน กูล่ะเบื่อ Bureaucracy จริงๆ) วิ่งเข้าไปถึงตอนประมาณสองโมงห้าสิบ เหนื่อยชิบหายเหงื่อก็แตก อารมณ์ก็เสีย ขุ่นมัวอยู่ตลอดเวลา ก่อนที่ทหารยามจะบอกว่า
"รองเท้าแตะเข้าไม่ได้นะครับ"
อ้าว เชี่ยเลย... กูเรียนจบมาสองปีเพิ่งจะรู้ว่ารองเท้าแตะเข้าไม่ได้ อารมณ์ตอนนั้นคือ ไอ้เหี้ยย เสียเที่ยวชิบหาย เสียเงินทั้งบีทีเอสทั้งแท็กซี่แล้วเข้าไม่ได้ นอยอยู่แป๊บนึงถึงรู้ว่า แถวๆนั้นมีร้ายเมียทหารให้ "เช่ารองเท้าผ้าใบ" คู่ละสิบบาท สำหรับกรณีนี้โดยเฉพาะ (เชี่ยมาก ทำมาหาแดกครบวงจร ลองคิดว่าแค่เดือนตุลาที่ปิดเทอมกันเดือนนึงสามสิบเอ็ดวัน สมมติมีคนมาเช่าผ้าใบวันละ 50 คน ก็ได้เหนาะๆแล้วหมื่นห้า ลงทุนแค่รองเท้านักเรียนเน่าๆไม่กี่คู่)
หลังจากเดินฟัง "ภูมิแผ่นดิน นวมินทร์มหาราชา" ไปเกือบครึ่งเพลงก็มาถึงตึกสำนักงาน เข้าไป เอาหลักฐานยื่นไป เพื่อที่จะได้รู้ว่า กูต้องกลับมาอีกทีตอนต้นเดือน พย. เพราะว่ารายชื่อจากอุดรยังส่งลงมาไม่ถึงที่นี่ (เพราะไม่มีระบบข้อมูลสารสนเทศ เรียกว่าเป็น Conservative Bureaucracy หรือระบบราชการแบบอนุรักษ์นิยม นั่งเก็บข้อมูลใส่แฟ้ม ใช้ระบบพิมพ์ดีดต๊อกแต๊กๆ) ระหว่างที่นั่งรอไอ้เซมากุเตะนั่งทำเรื่องอยู่ก็คิดในใจว่านี่กูมาเพื่ออะไร กูเสียเงินค่าเดินทางมาเพื่อรับรู้ว่าระบบราชการมันช้า ชื่อมึงเลยยังมาไม่ถึงเลยนะจ๊ะ
ไอ้ห่า... ความผิดกูมั้ยเนี่ย สาดดดดด
เอาเถอะ ระบบราชการอนุรักษ์นิยมแบบนี้แม่งคิดไม่เป็นหรอกว่าคนอย่างกูก็ต้องเดือดร้อนจากความล่าช้าของมัน พวกที่อยู่ในกรุงเทพ ชื่อพ่ออยู่กรุงเทพมันยื่นในกรุงเทพเมื่อไหร่ก็ได้ ยิ่งพวกที่เกิด 2531 ยิ่งสบายใหญ่ มีเวลาไปยื่นอะไรต่อมิอะไรอีกหนึ่งปีเต็มๆ แต่คนที่เกิด 2530 อย่างกูมีเวลาถึงแค่สิ้นปีนี้เท่านั้น แม้ว่ากูจะเกิดเดือนธันวาปลายปีสุดโต่ง แต่ทหารมันขี้เกียจและโง่เลข บวกลบเป็นแต่ปีเท่านั้น เพราะฉะนั้นแม้กูจะอายุแค่ 20 ปี 1 เดือนในเดือนมกราคม มันก็จะนับกูว่าอายุ 21 แล้วถ้าไม่ยื่นก็เกิดการชิบหาย โดนเกณฑ์ทหารชัวร์ๆ
เมื่อกว่าชื่อกูจะยุรยาตรลงมาจากอุดรธานี ใช้เวลาถึงต้นเดือนหน้า แล้วแทนที่กูจะได้ใช้เวลาปิดเทอมไปจัดการชีวิตทหารๆของกูให้จบสิ้น เพื่อจะได้ไม่เบียดเบียนชีวิตการเรียนของกูในวันทำการของราชการ แล้วทีนี้แม่งกว่าจะมาก็เดือนหน้า กูก็ต้องเอาเวลาเรียนกูกลับไปยื่นเรื่องชีวิตทหารของกู เพราะไปวันพ่อแม่งก็หยุด ไปปีใหม่แม่งก็หยุดอีก เชี่ยเอ๊ย....
แล้วทำไมมันต้องเอาการเป็นทหารของกูไปผูกกับพ่อด้วย รู้สึก nonsense มาก... กูเลยต้องมาขึ้นๆลงๆอยู่แบบนี้ เพื่อกระดาษแค่แผ่นเดียว (เหมือนตอนที่ไปเอา สด.9 นั่นแหละ เสียเวลาชีวิตมาก)
ระหว่างที่นั่งคิดๆอยู่นั้น ก็จะมีเสียง background เป็นทหารแก่ๆคนหนึ่งนั่งด่า นศท. ที่เข้าไปถ่ายรูปแค่ลืมเลข ติดกระดุมไม่ถูก (ก็คนมันไม่รู้) ก็ด่าไปถึงขั้นว่า "ทีเรื่องชิบหายๆล่ะจำได้ ไปขี่รถซิ่งไปหลีหญิงล่ะจำได้ ทีไปพ่นสีว่าโรงเรียนมึงเป็นน้องเมียโรงเรียนกูล่ะจำได้" (ถ้ากูเป็นไอ้นั่นกูคงด่าอยู่ในใจว่ามึงมาเสือกรู้อะไรกับกู กูไม่ได้ไปซิ่งเหมือนมึงตอนวัยรุ่นนี่ไอ้ห่า)
แน่นอนว่า นศท. ทำอะไรไม่ได้ว่ะ เพราะระเบียบวินัยแบบทหารๆ คนแก่ว่าอะไรต้องถูกหมด แม้ว่าจะละเมิดสิทธิมนุษยชนและหมิ่นประมาทแค่ไหนก็ตาม
ชวนให้นึกถึงสังคมเครื่องแบบจัดๆ ของบ้านเรามากๆ...
ชีวิตนี้เราเจอเครื่องแบบกันมากี่ล้านรูปแบบ?
เอาตั้งแต่เด็ก เราทุกคนต้องใส่ชุดนักเรียนเพื่อไปโรงเรียน ภายใต้มายาคติที่บอกเราว่า นี่คือการทำให้นักเรียนทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่มีใครเหนือกว่าใครแม้ว่าฐานะทางการเงินจะต่างกัน แต่ถามหน่อยเถอะว่าแล้วบ้านที่เขายากจน จนต้องเอาของไปจำนำทุกเทอมๆ เพื่อหาอุปกรณ์การเรียน และโดยเฉพาะสิ่งที่ไม่มีความจำเป็นใดๆทั้งสิ้นอย่างชุดนักเรียนที่ขึ้นราคาอย่างสม่ำเสมอ แบบนี้คือการทำให้เกิดความเท่าเทียม หรือว่าการถ่างช่องว่างทางสังคมให้กว้างขึ้น?
ถ้าจะเท่าเทียมจริง ทำไมไม่ยกเลิกเครื่องแบบไปซะ? เพราะในสายตาผมแล้วเครื่องแบบนักเรียนพวกนี้เป็นสินค้าสิ้นเปลืองสำหรับคนที่ฐานะทางการเงินไม่ค่อยดีเอามากๆ เสื้อตัวหนึ่งแพงกว่าเสื้อยืดสกรีนที่ใส่ๆกันอยู่นี่อีก ทั้งๆที่เป็นสินค้าที่คนทุกคนที่เข้าสู่ระบบการศึกษาต้องใช้ แต่ทำไมราคาดันแพงขึ้นๆ โดยที่รัฐบาลผู้กำหนดไม่เข้ามาช่วยอะไรเลย...
ยิ่งเห็นนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ยิ่งขำเข้าไปใหญ่ บอกจะมีชุดนักเรียนฟรี เปลืองงบประมาณและภาษีประชาชนมากๆ ยกเลิกเครื่องแบบซะก็สิ้นเรื่อง เอาภาษีประชาชนไปทำอะไรที่มันมีประโยชน์มากกว่านี้ดีกว่า เช่นซื้อคอมมาให้เด็กเรียนอะไรแบบนั้น คนทุกคนก็เท่าเทียมกัน ใส่ไปรเวตไปเรียน มีผลวิจัยที่ไหนบอกหรือเปล่าว่าการใส่ชุดไปรเวตรองเท้าแตะ(รวมไปถึงการไว้ผมยาว เจาะหู) จะทำให้นักเรียนเรียนหนังสือไม่ได้ หรือว่าโง่ลง
นอกจากนี้ยิ่งในสังคมเมืองทุนนิยม เครื่องแบบกลายเป็นตัวชี้วัดแบ่งแยกฐานะคน ใครได้ใส่เครื่องแบบโรงเรียนดังก็มีทุนทางสังคมสูงไปโดยปริยาย ทั้งที่จริงๆแล้วอาจจะมีพฤติกรรมชิบหายเสื่อมทรามบัดซบ กลายเป็นการแบ่งแยกสังคมไฮโซโลโซ แค่สถานที่เรียนและตัวอักษรที่ปักอยู่บนหน้าอก พร้อมกับประจานว่าเราชื่อแซ่อะไร
สิ่งที่ตามมาคือการควบคุมเราในระบบที่ไม่ต่างกับระบบทหาร การปลูกฝังมายาคติเรื่องความภาคภูมิใจของเครื่องแบบเข้าไปในหัวสมอง ไม่ต่างกับทหารหรือตำรวจ (โดยเฉพาะของจุฬาฯ ที่ว่า "เครื่องแบบนิสิตคือความภาคภูมิใจ เพราะเป็นเครื่องแบบพระราชทาน" อะร้ายยยยย!!!!) ทั้งๆที่จริงๆแล้วเสื้อนักเรียนและเสื้อนิสิตนักศึกษามันก็เสื้อขาวเหมือนกัน ทำมาจากฝ้ายเหมือนกัน แทบไม่ต่างกับเสื้อเชิ้ตอื่นๆที่ทำจากฝ้าย แต่กลายเป็นว่าเมื่อคุณเข้ามาสู่ระบบนี้ คุณกลับต้องนั่งยัดเสื้อเข้าในกางเกง แม้ว่ามันจะทำให้คุณดูลงพุงยิ่งกว่าหมูป่า เอวขยายชิบหายยิ่งกว่าราชินีช้าง แต่ก็ต้องทำเพราะมันคือความภาคภูมิใจ?????? (โถ.. กูคงภูมิใจมากที่เครื่องแบบทำให้กูดูต่ำต้อยได้ขนาดนี้)
ที่สำคัญไปกว่านั้น มันไม่ได้มาควบคุมแค่การแต่งตัวของเรา แต่มันเข้ามาควบคุม lifestyle ของเราไปด้วย ด้วยการบังคับให้เรากลายเป็นเกรียน บังคับให้เรากลายเป็นคนที่เหมือนไว้ทุกข์ตลอดเวลาด้วยการห้ามผูกโบว์เป็นสี ห้ามใส่นาฬิกาสวยๆ ทั้งที่ก็ถามหน่อยเถอะว่าโบว์สีอื่นมันผูกผมนักเรียนหญิงไม่ดีเท่าสีดำ? หรือว่านาฬิกาอื่นมันจะบอกเวลาไม่ได้ แล้วมันส่งผลกระทบกับการเรียนอย่างไร?
ทั้งหมดนี้กลายเป็นการปลูกฝังให้เรายอมรับกับอะไรที่ไร้เหตุผล ด้วยเหตุผลที่ว่า "มันเป็นเรื่องหน้าตาและศักดิ์ศรี" ของสถานที่นั้นๆ และกลายเป็นว่าเรากำลังมองคนกันที่ภายนอก และไม่ได้สนใจสิ่งอื่นภายใน
เราคงจะเคยได้ยินกฎบ้าๆ ตั้งแต่สมัยประถมประเภทที่ว่า "นักเรียนต้องแต่งตัวให้เรียบร้อยจนถึงบ้านนะคะ" กันมาบ้างแล้วใช่ไหม?
นี่คือสิ่งที่น่ากลัวมาก เพราะเราถูกปลูกฝังในวัยที่ไม่รู้อะไรเลย ให้ยอมรับการละเมิดสิทธิของเรา ถามหน่อยเถอะว่าเมื่อเราออกนอกโรงเรียนแล้วชีวิตเราไม่เป็นของเราจริงๆหรือ? การที่เราจะแต่งตัวอย่างไรมันใช่เรื่องของใครที่จะเข้ามาเสือกมายุ่ง และถ้าหากสถานศึกษาจะเต้นเร่าๆ สะดีดสะดิ้ง เมื่อเจอคนโลกแคบสองสามคนมาบ่นๆว่า "เฮ้ย.. เดี๋ยวนี้ทำไมโรงเรียนคุณถึงมีเด็กใส่เสื้อหลุดนอกกางเกงเยอะแบบนี้ โรงเรียนคุณแย่มากนะ" ก็เท่ากับว่าสถานศึกษากำลังสนับสนุนให้คนตัดสินผู้คนจากภาพภายนอกที่เคลือบเราอยู่ ใช่หรือไม่?
ไม่แปลกใจที่จะมีคนประเภท "เห้ย.. มึงเกลียดรัฐประหาร งั้นมึงต้องโปรทักษิณ" อยู่ในประเทศนี้กลาดเกลื่อนไปหมด ผลมันมาจากการปลูกฝังแบบน้ำซึมบ่อทรายนี่เอง เพราะในเมื่อยังมีคนประเภทที่ตัดสินภาพรวมทั้งสถานศึกษาจากนักเรียนที่เสื้อหลุดออกนอกกางเกงแค่ไม่กี่คน
ยิ่งตอนนี้นอกจากเครื่องแบบทหาร ตำรวจ นักศึกษา นิสิต นักเรียน ก็มีเครื่องแบบเสื้อเหลืองที่ต้องใส่ทุกวันจันทร์ในแทบทุกองค์กรทั้งประเทศอีกด้วย... เอาเถอะ จะพยายามปลง เพราะสองแบรนด์อย่าง Arrow และ La Coste ก็หันมาทำแคมเปญเสื้อเหลืองเทิดพระเกียรติกันยกใหญ่ โฆษณาออกทีวีอย่างครึกโครมและโจ่งแจ้ง
สังคมไทย กำลังกลายเป็นสังคมเครื่องแบบ อย่างเต็มตัว และเริ่มจะถึงจุดสูงสุดแล้ว หลังการปลูกฝังอย่างยาวนานและหยั่งรากลึก
เพราะเครื่องแบบจะไม่ได้เป็นแค่เรื่องของสถานศึกษาและสถาบันอีกต่อไป แต่การตัดสินคนจากเครื่องแบบนั้น จะลามไปถึงเรื่องขององค์กรระดับชาติ และสถาบันเหนือเกล้าอีกด้วย
เมื่อก่อนอาจไม่เป็นเรื่องประหลาด แต่เมื่อช่วงครองราชย์ 60 ปีผ่านไป การใส่เสื้อสีดำในวันที่ 5 ธันวาคมอาจกลายเป็นความผิดขั้นอุกฤษฎิ์ ที่คนผู้นั้นจะถูกพิพากษาอย่างรุนแรงถึงความไม่จงรักภักดี จากผู้คนในลัทธิ "บ้าเครื่องแบบ" บางส่วน ที่ดูจะลืมไปแล้วว่าเสื้อตัวเดียวตัดสินชีวิตคนไม่ได้
เพราะเครื่องแบบกลายเป็นเครื่องมือที่ใช้รักษาภาพลักษณ์ขององค์กร ด้วยการสร้างมายาคติกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก โดยตัวเครื่องแบบเองก็เป็นเครื่องมือควบคุมชั้นแรก ซึ่งขั้นต่อมาคือ ทำให้องค์กรเหล่านั้นอ้างสิทธิเพื่อละเมิดสิทธิของเราได้อย่างชอบธรรม ด้วยคำว่า "เพื่อภาพลักษณ์ขององค์กร"
ไม่แน่... ต่อไปหากมีคนไม่ใส่เสื้อเหลืองในวันจันทร์ ภาพลักษณ์องค์กรนั้นอาจจะถึงขั้นชิบหาย เพราะไม่เทิดทูนสถาบันก็เป็นไปได้ หึหึ.. (คิดเล่นๆไปงั้นแหละ อย่าใส่ใจความเพ้อเจ้อของเจ้าของบล๊อกนี้เลย)
เพราะสิ่งที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ก็มีหลายเครื่องแบบเหลือเกินที่พยายามรักษาภาพลักษณ์ขององค์กรด้วยวิธีการเวรๆต่างๆนานามากมายมหาศาลตามแต่จะสรรหามาได้ ทั้งแพทยสภาที่คอยออกมาปกป้องแพทย์ให้ดูสูงส่งอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะเคสที่ชิบหายที่สุดอย่างการเข้ามาในกองเซนเซอร์ และสั่งให้หนังเรื่อง "แสงศตวรรษ" ตัดฉากหมอกินเหล้า กับหมออวัยวะเพศแข็งตัวตอนจูบกับแฟนออกไป หรืออย่างกรมการศาสนาที่เข้ามาในกองเซนเซอร์ และสั่งให้หนังเรื่องเดียวกันตัดฉากพระเล่นกีตาร์ และพระเล่นจานร่อนฟริสบี้ ออกไป...
นอกจากแค่รักษาภาพลักษณ์องค์กรแล้ว ยังกลายเป็นเครื่องมือในการยกระดับองค์กรให้สูงเหนือจริงอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย โดยเฉพาะเครื่องแบบที่พัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลาจนมีทุนทางสังคมสูง เช่นพระและแพทย์อย่างที่ได้ยกตัวอย่างไปแล้ว..
สี่ฉากที่เรียกร้องให้ตัดออกไปนั้น ชวนให้คิดเหลือเกิน ว่านี่คือกระบวนการยกระดับองค์กรให้ "เหนือมนุษย์" หรือเปล่า? เพราะทั้งสี่ฉากนั้นคือสิ่งที่ปุถุชนธรรมดาเองก็ใช่ว่าจะไม่สามารถทำได้ พระที่ทำผิดศีลยิ่งกว่าเล่นกีตาร์ก็ใช่ว่าจะไม่มี คนเล่นจานร่อนฟริสบี้ที่ประเทศไหนเป็นเรื่องผิดกฎหมาย? หรือว่าองค์กรแพทย์ทั้งองค์กร ไม่มีใครคนไหนเลยที่เกิด morning erection ในยามเช้าของทุกวัน ยกเว้นผู้ที่ใช้งานไม่ได้อีกต่อไป?
ยิ่งเมื่อรวมกับกรณีประท้วงภาพภิกษุสันดานกาและหมานุษย์ของ อนุพงษ์ จันทร ซึ่งภาพแรกนั้นได้รางวัลศิลปกรรมแห่งชาติประจำปี 2550 ยิ่งแสดงถึงความต้องการ "เหนือมนุษย์" ของอาชีพพระสงฆ์มหานิกายได้เป็นอย่างดี เพราะเกรียนห่มเหลืองเหล่านั้นเรียกร้องที่จะไม่ให้มีการเผยแพร่ และชมเชยสิ่งใดๆที่ตีแผ่จุดบอด จุดเสีย ที่แฝงเร้นอยู่ในวงการพระพุทธศาสนา เพียงเพราะกลัวว่าคนจะมองศาสนาในแง่ลบ ทั้งๆที่คนปกติทุกคนทุกองค์กรก็ไม่เคยมีองค์กรใดดีร้อยเปอร์เซนต์ (แน่นอน รวมถึงสถาบัน "นั้น" ด้วย)
แล้วสิ่งที่พวกเขาต้องการคือ Pure Image หรืออย่างไร? ต้องการให้ปกปิดความชั่วร้ายที่แฝงเร้นอยู่ แล้วดำรงอยู่ต่อไปแบบเชิดหน้าชูตารักษาภาพลักษณ์ว่ากูดี กูเลิศ กูน่านับถือ แต่ทำเพิกเฉยกับความชิบหายในองค์กรของตัวเอง ทั้งที่การตีแผ่ความชิบหายนี่แหละคืออีกหนทางหนึ่งของการช่วยทำให้องค์กรดีขึ้น
พวกเกรียนเหล่านั้นออกมาเรียกร้องให้เลิกการแสดงภาพที่ได้รางวัล ที่สื่อถึงความชิบหายในวงการศาสนา ตีแผ่พระชั่วๆบางตัวออกมาในรูปแบบผลงานศิลปะ เกรียนเหล่านี้เมินเฉยต่อภาพที่พวกเดียวกันที่ออกมาแสดงอภินิหารในงานปลุกเสกก้อนดินหลอกลวงประชาชน และได้รับปัจจัยนับล้านต่อการออกงานหนึ่งครั้ง รวมไปถึงเกรียนพวกเดียวกันที่มั่วสีกา จนคนศรัทธาในศาสนาเริ่มอิดหนาระอาใจ โดยไม่แม้แต่จะ mention ถึงว่านี่ก็คือหนึ่งในผู้ทำลายศาสนา
สิ่งที่เกรียนเหล่านั้นทำ คือการอ้างว่า "พิทักษ์ศาสนา" ด้วยการละเมิดสิทธิในการสรรค์สร้างงานศิลปะ และกล่าวหาทั้งศิลปิน ผู้จัดงาน ลามไปถึงกรรมการตัดสินรางวัลว่าเป็นผู้ "หมิ่นศาสนา" แบบยกกระบิจนถึงขั้นจะฟ้องคดีอาญา
น่าขัน เกรียนพวกนี้ alert มากเมื่อมีภาพที่แสดงความชั่วร้ายของวงการตัวเองออกมา ทั้งๆที่ภาพเหล่านั้นก็มีให้เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และน่าขันยิ่งกว่า เมื่อเกรียนเหล่านี้ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนใดใด กับภาพพระสงฆ์พม่าถูกตำรวจและทหารทำร้าย หรือยิงจนตายห่าอยู่ในกรุงย่างกุ้ง ไม่มีแม้แต่ท่าทีจน NGO อดรนทนไม่ไหว ต้องไปยื่นจดหมายขอให้สงฆ์ไทยแสดงท่าที!!!
นี่หรือ คือสงฆ์ในเมืองที่อ้างตนว่าเป็นเมืองหลวงศาสนาพุทธของโลก?
ลืมไป... มันไม่ใช่สงฆ์ แต่มันเป็นเกรียนที่อาศัย "เครื่องแบบสงฆ์" หากินไปวันๆ
Create Date : 08 ตุลาคม 2550 |
|
60 comments |
Last Update : 8 ตุลาคม 2550 19:49:08 น. |
Counter : 1963 Pageviews. |
|
 |
|
|
| |
โดย: squidy ying IP: 210.86.214.171 8 ตุลาคม 2550 19:44:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: HeliumHe IP: 58.9.94.134 8 ตุลาคม 2550 19:49:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: ~oh~of~TFC~ IP: 125.26.18.131 8 ตุลาคม 2550 20:01:27 น. |
|
|
|
| |
โดย: squidy ying II IP: 210.86.214.171 8 ตุลาคม 2550 21:47:41 น. |
|
|
|
| |
โดย: พระเจ้า** IP: 58.9.6.111 8 ตุลาคม 2550 21:58:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: Unravel 8 ตุลาคม 2550 23:56:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: ฟ้าดิน IP: 58.8.90.213 9 ตุลาคม 2550 3:04:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: poomeeeeeeee IP: 58.9.163.76 9 ตุลาคม 2550 3:42:45 น. |
|
|
|
| |
โดย: ฟ้าดิน (ฟ้าดิน ) 9 ตุลาคม 2550 4:28:08 น. |
|
|
|
| |
โดย: BoW_ZaABlueDragon IP: 77.209.77.23 9 ตุลาคม 2550 4:42:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: รถเล็ก IP: 124.121.110.206 9 ตุลาคม 2550 6:54:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: Unravel 9 ตุลาคม 2550 9:45:51 น. |
|
|
|
| |
โดย: initial A IP: 161.200.255.162 9 ตุลาคม 2550 11:52:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: 125 66 IP: 58.9.49.58 9 ตุลาคม 2550 20:19:03 น. |
|
|
|
| |
โดย: 125 66 IP: 58.9.49.58 9 ตุลาคม 2550 20:32:24 น. |
|
|
|
| |
โดย: >>..JoY~*..<< IP: 58.8.252.16 9 ตุลาคม 2550 23:53:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: ดอกส้ม IP: 124.120.73.93 10 ตุลาคม 2550 0:24:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: ตาล ณ เสือเหลือง IP: 125.25.68.183 10 ตุลาคม 2550 5:45:34 น. |
|
|
|
| |
โดย: yibby 10 ตุลาคม 2550 8:46:26 น. |
|
|
|
| |
โดย: yibby 10 ตุลาคม 2550 12:00:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: yibby 10 ตุลาคม 2550 12:11:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: nanoguy 10 ตุลาคม 2550 14:07:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: S e m a k u t e k ! IP: 124.120.93.39 10 ตุลาคม 2550 14:51:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: S e m a k u t e k ! IP: 124.120.93.39 10 ตุลาคม 2550 14:57:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: yibby 10 ตุลาคม 2550 15:15:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: pangz 10 ตุลาคม 2550 16:39:41 น. |
|
|
|
| |
โดย: Unravel 10 ตุลาคม 2550 18:23:19 น. |
|
|
|
| |
โดย: S e m a k u t e k ! IP: 124.120.93.39 10 ตุลาคม 2550 21:22:22 น. |
|
|
|
| |
โดย: S e m a k u t e k ! IP: 124.120.93.119 10 ตุลาคม 2550 21:29:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: nanoguy 10 ตุลาคม 2550 22:43:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: nanoguy 10 ตุลาคม 2550 23:06:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: necromancer IP: 58.137.54.35 11 ตุลาคม 2550 0:31:45 น. |
|
|
|
| |
โดย: necromancer IP: 58.137.54.35 11 ตุลาคม 2550 0:33:38 น. |
|
|
|
| |
โดย: nanoguy 11 ตุลาคม 2550 0:51:17 น. |
|
|
|
| |
โดย: N'sinE IP: 210.75.123.194 11 ตุลาคม 2550 0:53:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: S e m a k u t e k ! IP: 124.120.92.81 11 ตุลาคม 2550 8:13:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: yibby 11 ตุลาคม 2550 12:32:11 น. |
|
|
|
| |
โดย: pangz 12 ตุลาคม 2550 0:31:17 น. |
|
|
|
| |
โดย: iaiapprentice IP: 59.141.98.178 12 ตุลาคม 2550 18:55:08 น. |
|
|
|
| |
โดย: pangz 13 ตุลาคม 2550 11:29:11 น. |
|
|
|
| |
โดย: yibby 13 ตุลาคม 2550 14:44:12 น. |
|
|
|
| |
โดย: มารีออง 14 ตุลาคม 2550 0:05:23 น. |
|
|
|
| |
โดย: บาส IP: 58.8.145.81 14 ตุลาคม 2550 21:54:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: PPpIRCU (PPpIRCU ) 14 ตุลาคม 2550 22:58:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: pangz 15 ตุลาคม 2550 9:30:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: บลูยอชท์ 15 ตุลาคม 2550 11:19:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: Unravel 16 ตุลาคม 2550 0:04:37 น. |
|
|
|
| |
โดย: pangz 16 ตุลาคม 2550 18:12:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: ดฟหกดฟห IP: 58.64.70.166 6 ธันวาคม 2550 22:26:15 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

|
คนในสังคมจารีตที่มีความคิดทางเวลาแบบไตรภูมิจะไม่ให้ความสำคัญแก่เวลาตามประสบการณ์ กล่าวคือไม่ให้ความสำคัญแก่การเปลี่ยนแปลงที่เป็นจริงของชีวิตและสังคมว่าดำเนินมาและดำเนินไปอย่างไร เชื่อในการคลี่คลายเปลี่ยนแปลงของชีวิตและสังคมซึ่งจะต้องเป็นเช่นนั้นตามกฎแห่งเวลาของพุทธศาสนา
- อรรถจักร สัตยานุรักษ์ (จากบทความ "ความเปลี่ยนแปลงความคิดทางเวลาในสังคมไทย" วารสารเศรษฐศาสตร์การเมือง 4 ตุลาคม 2531)
Let this song rhyme our souls when your voice and mine become one and whole.
Let it carry us high above When we recite our poetry of love that when there's love then there's hope.
Your love is my light, and it'll get us through this lonely night.
- รักแห่งสยาม (ซับไตเติ้ลอังกฤษเพลง กันและกัน ท่อนฮุค)
|
|
|
|
|
|
|
แต่อ่านไปได้นิดนึง ขอดูบอลก่อน
มาเก๊ากองหลัง10ตัว ห้อยประตูไว้คนนึง...สุดๆ
แต่โอ๊ย ทีมชาติไทยบทจะเสียประตูก้ง่ายเกิ๊น...เพราะบอลหลุดมือครับท่าน