บางเรื่องของผม
บางเรื่องของผม
ผม ๑ น. ขนที่ขึ้นอยู่บนศีรษะ โดยปรกติเป็นเส้นยาว, บางทีก็ใช้เข้าคู่กับคำ เผ้า เป็นผมเผ้า
hair n. ผม รวมทั้งหนวด เครา และขน, ขนที่ขึ้นเป็นเส้น, เส้นผม, ขนหัว(ลุก)
ผม หรือเส้นผม หรือทรงผม มีบางประเด็นที่น่าสนใจไม่น้อยกว่าเรื่องอื่นๆ
ลองอ่านเล่นๆ ดูสักนิดซิครับ
# 1 การใช้ครีมนวดผม
สิ่งที่จะบอกกับตัวเราว่า เราใช้ครีมนวดผม (Conditioning) ในปริมาณที่พอเหมาะกับผมหรือไม่ ทำโดยสังเกตสภาพเส้นผมของเราหลังจากใช้ครีมนวดผมชนิดนั้นแล้ว
หากเส้นผมของเราดูมัน ดูเป็นเงาประกาย พลิ้วสลวย จัดทรงได้ง่าย หวีเข้ารูป นั่นละ ใช่เลย ใช้ปริมาณพอดีแล้ว
แต่หากเส้นผมของเราดูลีบ ดูหนักๆ ใช้ไดร์เป่าผมเท่าไหร่ๆก็ไม่เงา นั่นแสดงว่า เราใช้ครีมนวดผมมากเกินไป หรือไม่ก็เราล้างครีมนวดผมออกไปไม่หมด
หรือถ้าวันไหนเราได้สระผมและใช้ครีมนวดผมไปแล้ว แต่รู้สึกว่าเส้นผมสกปรกเร็วจัง มีน้ำมันออกมาเยอะเหนียวเหนอะหนะ อันนี้ก็เป็นสัญญาณบอกเราได้ว่า ครีมนวดผมที่เราใช้ มีความเข้มข้นจนเกินไป ไม่เหมาะกับสภาพเส้นผมของเรา
ครีมนวดผมที่ใส่สารเคมีบางอย่าง ที่ไปเพิ่มให้เส้นผมของเราดูเป็นเงาประกายนั้น สารเคมีพวกนี้จะมีสภาพคล้ายกาว ที่จะจับบรรดาผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม เช่นสเปรย์ น้ำหอม ให้ติดแน่น สะสมอยู่ที่เส้นผมของเราด้วย นานๆเข้าเส้นผมของเราจะดูไม่เป็นเงาประกาย และไม่พลิ้วสลวยเหมือนเดิม
จึงควรจะมีการใช้ Deep Cleansing Shampoo หรือแชมพูสำหรับผมมัน นานๆสระผมของเราสักทีหนึ่ง เพื่อจะช่วยขจัดความมันของเส้นผม หรือขจัดครีมนวดผมที่เราใช้ประจำ หรือขจัดบรรดาคราบผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมทั้งหลายบนศีรษะเราให้หมดออกไป
# 2 ร้านทำผมในอดีต
อดีตเมื่อคุณยาย(หรือบางคน..อดีตเมื่อคุณแม่)ยังสาวนั้น การแต่งทรงผมจะยังไม่มีเฉดสีสวยๆ เร็วไวทันแฟชั่นจากเมืองนอกอย่างในปัจจุบัน อาจจะมีการดัดเป็นลอน อาจจะมีการยีให้ทรงผมโป่งพองอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ฮ๊อต รวดเร็ว แพร่หลาย เช่นในปัจจุบัน อาจจะเพราะการขาดข้อมูลด้านแฟชั่นทรงผม อาจจะเพราะการถูกห้ามปรามจากพ่อแม่ และการกลัวการนินทาจากสังคมรอบด้าน
ยิ่งทรงผมนักเรียน ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ นักเรียนหญิงจะตัดผมสั้นแค่ติ่งหู และความยาวเท่ากันโดยไม่มีการซอย หรือหากจะไว้ยาวก็ต้องรวบเป็นหางม้าให้เรียบร้อย หรือถักเปียให้เรียบร้อย ส่วนด้านหน้าอาจเป็นผมแสกหรือผมหน้าม้าก็ได้
ส่วนนักเรียนชายนั้น ส่วนใหญ่จะตัดสั้นเกรียน ไว้ข้างหน้าได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เรียกว่าแค่พอจับติด จะมีก็เพียงบางโรงเรียนเท่านั้นที่อนุญาตให้นักเรียนชายไว้ผมรองทรงได้
ส่วนการทำความสะอาดเส้นผม ก็จะใช้เพียงแชมพูเหลว หรือแชมพูผง(มีใครเคยเห็นซองแชมพูผงบ้าง)ที่ใช้สระผมกันอยู่เป็นประจำ พวกครีมนวดต่างๆจะยังไม่มีในท้องตลาด แถมในต่างจังหวัดในบางอำเภอ ก็ยังใช้สบู่สระผมกันอยู่ก็มี
ทรงผมผู้ชายนั้น จะตัดผมโดยใช้ปัตตาเลี่ยน หรือปัตตาเลี่ยนไฟฟ้า การโกนหนวดและการกันจอน ก็จะใช้มีดโกนที่ต้องลับไถกับแผ่นหนัง ช่างตัดผมในอดีตจะมีศัพท์เรียกซะโก้ว่า กัลบก
ในอดีตร้านตัดผมผู้ชายและร้านทำผมของผู้หญิง จะแยกออกจากกัน
ร้านตัดผมผู้ชายจะมีเก้าอี้ตัดผม เป็นรูปทรงพิเศษ เก้าอี้แบบนี้จะไม่มีการนำไปใช้กับอาชีพอย่างอื่น พนักหลังจะเป็นเบาะแข็งๆรูปร่างสี่เหลี่ยมหรือกลม มีที่เท้าแขน มีที่รับเท้า สามารถปรับพนักหลังให้เอนนอนได้ เพื่อการโกนหนวดและการแคะหู
เก้าอี้แบบนี้จะสามารถหมุนได้รอบทิศ เพื่อกัลบกจะได้หมุนเก้าอี้หันด้านหูซ้ายหรือหูขวาของลูกค้ามาด้านที่ตนทำงานถนัดหรือด้านที่มีแสงสว่างเหมาะสม ไม่ต้องเดินอ้อมตัวลูกค้า
จะมีกระจกเงาบานใหญ่อยู่เหนือชั้นวางอุปกรณ์ตัดผม และด้านหลังระดับสูงตรงกันข้ามกับกระจกเงาบานใหญ่ จะมีกระจกเงาบานเล็กอีกบานหนึ่งที่ปรับระดับได้ สำหรับให้ลูกค้ามองทรงผมตนเองที่กำลังถูกตัด หรือถูกกันด้วยมีดโกน
สำหรับผ้าคลุมตัวของลูกค้าตั้งแต่คอลงไปคลุมถึงหน้าแข้งนั้น จะเป็นผ้าสะอาดสีขาว เสื้อคลุมของกัลบกก็จะมีสีขาวเช่นเดียวกัน
ปกติในร้านตัดผมผู้ชาย จะมีเก้าอี้หรือม้านั่งให้ลูกค้านั่งรอ อาจจะมีหนังสือพิมพ์และกระดานหมากรุกให้เล่นฆ่าเวลาระหว่างรอคอย ผู้ชายโดยทั่วไปจะตัดผมใช้เวลาครั้งละ1/2ชั่วโมง -1ชั่วโมง(จะมีบางคนสระผมด้วย แต่บางคนจะไม่ยอมสระผมที่ร้าน) โดยปกติจะตัดผมเฉลี่ย 3 สัปดาห์ - 1เดือน ต่อครั้ง
ส่วนร้านทำผมของผู้หญิง เพราะผู้หญิงจะใช้เวลาในการเสริมสวยนาน ทั้งสระผม ซอยผม ไดร์ผม ดัดผม ย้อมผม และบางร้านจะมีรับแต่งหน้า กันใบหน้า แต่งเล็บด้วย
ดังนั้นในร้านทำผมของผู้หญิง จะมีอุปกรณ์มากกว่า ทั้งเตียงสระผม เก้าอี้สำหรับตัดผมดัดผม เครื่องอบผม เก้าอี้นั่งรอ อุปกรณ์ตัดผมดัดผมย้อมผม อุปกรณ์ตัดเล็บทาเล็บ รวมทั้งผ้าคลุม ผ้าขนหนูก็มีมากชิ้น
การเข้าร้านทำผมของผู้หญิงแต่ละครั้ง จึงใช้เวลานานกว่า อาจจะตั้งแต่ 1-3 ชั่วโมง ความถี่มากน้อยในการเข้าร้านทำผมของผู้หญิง อาจจะขึ้นกับหลายปัจจัย แต่สำหรับผู้หญิงที่มีเงิน มีเวลา และรักความสวยงามมากๆ เธอจะเข้าร้านทำผมบ่อย ตั้งแต่ 2-3วันครั้ง จนถึง สัปดาห์ละครั้ง
ร้านตัดผมผู้ชายที่มีชื่อเสียงในอดีต เป็นที่รู้จักกันมานานจนถึงปัจจุบัน ได้แก่ร้านสมโภช ซึ่งอยู่ใกล้กับกระทรวงมหาดไทย เป็นร้านตัดผมที่ผู้หลักผู้ใหญ่ของประเทศรู้จักดี มีหลายท่านจะมาใช้บริการที่ร้านนี้ และเป็นลูกค้าประจำ
ส่วนร้านทำผมผู้หญิงที่มีชื่อเสียงในอดีตนั้น คือร้าน ริต้า อยู่ในซอย ซึ่งอยู่บนถนนเพชรบุรี ฝั่งตรงข้ามกับห้างพันทิป ร้านนี้ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อ เป็นร้าน เกศสยาม
สมัยนั้นมีคุณ ปาน บุนนาค ช่างผมที่มีชื่อเสียงยุคคุณย่าคุณยายยังสาว จะรู้จักเธอเป็นอย่างดี เพราะเธอสามารถดัดแปลงทำผมทรงต่างๆให้กับลูกค้าผู้หลากมากดี โดยการนำ วิกผม มาใช้ เหล่าบรรดาดาราหญิงในอดีตมักจะนิยมมาทำผม ที่นี่กันมาก เพราะไว้ใจในฝีมือของคุณ ปาน
นอกจากร้าน เกศสยามแล้ว ร้านทำผมที่มีชื่อเสียงในอดีต ก็มีร้าน จันทนา อยู่ย่านราชปรารภ ของคุณหญิงสุชาดา อรรถวิจิตรจรรยาลักษณ์ ร้านนี้มีชื่อในด้านเกล้าผมมวยให้กับว่าที่เจ้าสาว
ร้าน แอนนา ของ อรุณี สามโกเศศ อยู่ย่านเกษร เป็นร้านที่นำทรงผมแบบทันสมัยจากอังกฤษ มานำเสนอต่อลูกค้าบ่อยๆ ลูกค้าจึงมักเป็นกลุ่มสาวสังคมนักเรียนนอก
ส่วนย่านสุขุมวิทนั้นได้แก่ร้าน เกสรี ของ เกสรี บุลสุข ซึ่งเป็นร้านที่มีชื่อเสียงในการซอยผมบ๊อบ ซึ่งใช้วิธีการซอยผมแบบใหม่จากฝรั่งเศส
ผู้ชายเริ่มจะเข้าไปนั่งและตัดผมในร้านตัดผม แบบที่คล้ายร้านเสริมสวยของผู้หญิง ในยุคของ มนูศักดิ์ บุญมาเลิศ กัลบกหนุ่มผู้หันหลังให้กับปัตตาเลี่ยน แต่หันไปใช้กรรไกรซอยผมให้ผู้ชายแบบเดียวกับผู้หญิง
มนูศักดิ์ เปิดร้านของเขาบนถนนเพชรบุรี ใกล้ๆ สี่แยกราชเทวี โดยเริ่มกิจการเล็กๆในห้องแถวคูหาเดียว เขาเริ่มโด่งดังในยุคของฮิปปี้เฟื่องฟู นับตั้งแต่ เดอะ บีเทิลส์ เป็นวงดนตรีแนวใหม่ที่ทั่วโลกคลั่งไคล้ ผู้ชายไทยก็ใจกล้าที่จะไว้ผมยาวมากขึ้น จนมีเรื่องราวทะเลาะและเถียงกับพ่อแม่บ่อยๆ เพราะพ่อแม่น้อยคนที่จะยอมรับในเรื่องการไว้ผมยาวของลูกในสมัยนั้น
มักจะกลายเป็นข้อต่อรองระหว่างลูกชายกับพ่อแม่ ลูกศิษย์กับอาจารย์ แล้วหนุ่มๆที่มีการศึกษาและกล้าหาญในสมัยนั้น ก็มักจะแหกกฎพ่อแม่ ไม่นิยมไปตัดผมโดยช่างที่ใช้ปัตตาเลี่ยนตัดแบบรุ่นพ่อ อีกต่อไป ..
ช่าง มนูศักดิ์และช่างแต่งผมหัวก้าวหน้าในยุคนั้น จึงปรับตกแต่งร้าน และใช้กรรไกรเป็นอุปกรณ์เล็มผมของหนุ่มๆในยุคนั้น(หรือคุณปู่คุณตาในยุคนี้)ให้มีรูปทรงของทรงผมที่ยาวแต่ดูหมดจดขึ้น
# 3 บาร์เบอร์วีไอพี
หนึ่งในร้านแต่งผมผู้ชาย ที่โด่งดังมีชื่อเสียง เพราะผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง นักธุรกิจ นายธนาคาร บุคคลในแวดวงไฮโซหลายต่อหลายคน รวมทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ก็นิยมไปใช้บริการบ่อยครั้ง อาจจะตัดผม โกนหนวด โกนเครา หรือทำเล็บ ก็คือร้าน คาลิสโต้ บาร์เบอร์ แอนด์ บิวตี้ (CALISTO Barber & Beauty) ในโรงแรมดุสิตธานี
เหตุผลที่ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง และนักธุรกิจ ผู้บริหารนิยมใช้บริการแต่งผมที่ร้านนี้ อาจเป็นเพราะสถานที่ ที่ตั้งอยู่ในที่ที่ไม่พลุกพล่าน คงความเป็นส่วนตัวของลูกค้าได้สูง อยู่ในโรงแรมกลางเมือง ทำให้เดินทางและจอดรถสะดวก มีสถานที่จับจ่ายซื้อของ ออกกำลังกาย รับประทานอาหาร หรือนั่งพักผ่อนได้อย่างพร้อมมูลแล้ว คุณ พศิน ชูปาน หรือ "ชาย" ที่ลูกค้าเติมคำว่า "คุณ" นำหน้า กระทั่งเรียกกันจนติดปากว่า "คุณชาย" อายุ 45 ปี เจ้าของร้านคาลิสโต้ นั้นยังเป็นช่างฝีมือดีที่สุดของร้าน และตัดผมได้เนี้ยบถูกใจผู้ใช้บริการทุกคนด้วย
คุณชาย เล่าถึงความเป็นมาของร้านว่า "คาลิสโต้" เป็นภาษากรีก แปลว่า สวยที่สุด เปิดบริการที่โรงแรมดุสิตธานี มากว่า 7 ปีแล้ว และกว่าจะก้าวเข้ามาเป็นช่างผมชั้นนำนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เวลาพิสูจน์ฝีมืออยู่ถึง 10 ปีเศษ
คุณชาย ย้อนประวัติตัวเองอย่างเปิดเผยว่า เป็นคนจังหวัดนครศรีธรรมราช เคยเรียนรามคำแหงแต่เรียนไม่จบ จึงตัดสินใจเข้าเรียนด้านวิชาชีพแทน เลือกเรียนวิชาชีพเสริมสวยที่ "โรงเรียนมนูศักดิ์"
"ผมเข้าวงการเสริมสวยตั้งแต่อายุ 19 ปี ตอนแรกเข้าเป็นลูกจ้างในร้านเสริมสวยเพ็ญ ย่านสุขุมวิท อยู่ในร้านก็ต้องทำทุกอย่าง ตั้งแต่กวาดพื้น เช็ดกระจก ส่งของ ถึงงานพวกนี้จะไม่ใช่งานของช่างทำผม แต่เราก็ต้องทำ กว่าจะได้เป็นช่างทำผมจริงๆ จังๆ ก็ต้องทำงานเป็นคนรับใช้ไปก่อน" คุณชายเล่า
เมื่อผมได้โชว์ฝีมือเป็นที่ถูกใจลูกค้า ลูกค้าพูดกันปากต่อปาก ลูกค้าก็เริ่มมาเลือกตัดผมกับผมมากขึ้น พอดีกับที่มีโอกาสได้ขยับจากร้านตัดผมธรรมดาขึ้นเป็น ช่างประจำร้านเสริมสวยในโรงแรมเอราวัณ จึงเป็นโอกาสที่ผมได้ให้บริการลูกค้าระดับวีไอพี ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
โอกาสพัฒนาฝีมือเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง เมื่อได้ไปเรียนรู้ ดูเทรนด์แฟชั่นทรงผมใหม่ๆ และดูงานที่สถาบัน วิดัล แซสซูน (Vidal Sassoon) ที่ประเทศอังกฤษ หลายครั้ง แทบทุกปี
และเมื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานมากพอแล้ว ผมก็มาเปิดร้านเป็นของตัวเอง ชื่อ คาลิสโต้ ตั้งอยู่ในโรงแรมดุสิตธานี ตั้งแต่ทีแรกจนถึงปัจจุบันเลย ไม่เคยย้ายไปที่ไหน มีช่างแต่งผมอยู่ 4-5 คน แต่ละคนได้ฝึกฝนฝีมือและวิธีให้บริการกับตัวผมมาเป็นอย่างดี
คุณชาย อธิบายถึงร้านของตัวเองว่า เป็นบาร์เบอร์แบบโบราณสำหรับผู้ชาย มีบริการหลากหลายทั้ง ตัดผม โกนหนวด โกนเครา ทำเล็บ ขัดหน้า นวดหน้า ขัดตัว นวดตัว แต่ถ้าลูกค้าที่เข้ามาเป็นผู้หญิง เข้ามาพร้อมกับเพื่อน ที่นี่ก็ให้บริการได้ โดยแบ่งส่วนหญิงกับส่วนชาย แยกให้บริการจากกัน
ที่ร้านจะยินดีให้บริการลูกค้าทุกระดับ ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นวีไอพี แต่ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะอยู่ในวงสังคม มีชื่อเสียงเป็นรู้จักกันดี อาจจะเพราะมีการบอกปากต่อปากถึงคุณภาพของร้านก็ได้ ที่ร้านยังมีให้บริการลูกค้าต่างชาติบ่อย อาจจะเพราะเป็นลูกค้าอยู่ในโรงแรม หรืออาจจะเพราะสถานที่เอื้ออำนวย ทำให้ชาวต่างชาติที่อยู่ในไทยมาใช้บริการกันเยอะ
"วันหนึ่งๆ จะมีลูกค้าเข้าร้านประมาณ 25 คนขึ้นไป ส่วนใหญ่ก็จะนัดล่วงหน้า แต่ก็มีเหมือนกันที่วอล์คอินเดินเข้ามา ถ้ามีคิวอยู่ก็ต้องรอ แต่ก็รอไม่นานหรอกครับ ที่เป็นลูกค้าประจำที่นี่ จะมีมากพอสมควร บางท่านใช้บริการเป็นเวลา 10-20 ปีก็มี
"ลูกค้าต่างชาติที่เป็นลูกค้าประจำ ก็มีลูกค้าชาวอังกฤษ อเมริกา ชาวฮ่องกง หรืออย่างพนักงานของสายการบินต่างๆ ที่เข้ามาพักในโรงแรมนี้ เขาเห็นร้านก็เข้ามาตัดผม ขนาดเปลี่ยนโรงแรมแล้ว แต่หลายคนก็ยังกลับมาตัดผมที่นี่ครับ" คุณชายบอก
เมื่อถามถึงลูกค้าระดับวีไอพีของเมืองไทยว่า มีใครบ้าง เจ้าของร้านได้แต่ยิ้ม แล้วบอกว่า
เป็นจรรยาบรรณและเป็นความลับของลูกค้าครับ เพราะทางร้านมีนโยบายว่า จะไม่เอาลูกค้ามาโฆษณาร้าน แต่ถ้าลูกค้าเป็นฝ่ายพูดถึงร้านที่นี่เอง อันนี้ก็ไม่มีปัญหา ถือเป็นสิทธิของลูกค้า แต่ถ้าลูกค้าไม่อนุญาตให้ทางร้านพูด ก็พูดไม่ได้ครับ
เป็นกฎของร้านที่ทำอย่างนี้มาตลอด"
ราคาค่าบริการของร้านคาลิสโต้ บาร์เบอร์
..
หากตัดผม อยู่ที่ 500-1,200 บาท
สระเซ็ต 350 บาท
ดัดผม 3,500-4,000 บาท
ไฮไลต์ผม 2,500-3,000 บาท
ทำสีผม 2,000-6,000 บาท
สปาผม 1,500-2,000 บาท
ทรีทเมนต์ 800-1,200 บาท
ทำเล็บมือ 300 บาท
ทำเล็บเท้า 350 บาท
แว็กขนหน้าแข้ง 700 บาท
โกนหนวด 300-400 บาท
แคะหู 300 บาท
นวดหน้า 1,500 บาท
นวดตัว 1,000 บาท
ขัดตัวเจ้าสาว 6,500 บาท
เทคนิคที่ทำให้ลูกค้าอยากกลับมาใช้บริการซ้ำ จนกลายเป็นลูกค้าประจำนั้น คุณชายออกตัวว่า ไม่ได้มีอะไรพิเศษกว่าช่างผมคนอื่นหรือร้านอื่นๆ
"ปกติ เวลาลูกค้าเข้ามาใช้บริการ ที่ต้องดูก็คือ ลักษณะของโครงหน้า และลักษณะของเส้นผม ดูว่าลูกค้าสามารถแต่งทรงผมเองได้ไหม คือดูความสะดวกของลูกค้า และลูกค้าสามารถกำหนดทรงผมเองได้ ว่าต้องการแบบไหน เราก็ตัดตามนั้น อาจจะให้คำแนะนำเล็กน้อยว่า รูปหน้าหรือเส้นผมแบบนี้ ควรจะตัดผมทรงไหน"
ที่ลูกค้าพอใจการให้บริการของร้านเป็นพิเศษ ก็อาจจะอยู่ที่ สภาพทรงผมที่เมื่อลูกค้าเดินออกไปจากร้าน ด้วยสภาพผมแบบไหน ผมก็อยู่ทรงแบบนั้นได้นาน และแม้กลับไปถึงบ้านไปสระผมแล้ว ก็แค่เป่าผมให้แห้ง ทรงผมก็จะเป็นเหมือนตอนแต่งผมเสร็จใหม่ๆ อันนี้ลูกค้าเขาบอก เขาบอกว่าเขาพอใจฝีมือ
# 4 การซื้อขายเส้นผม
ปกติของคนทั่วไป เส้นผมจะหลุดร่วงวันละ 60-80 เส้น แต่เมื่ออายุมากขึ้น เส้นผมก็จะหลุดร่วงมากขึ้นเร็วขึ้น อย่างน่าใจหาย จึงมีผู้คิดประดิษฐ์หัวใสนำเส้นผมที่ดีสวยงามของผู้อื่นมาขายและมาประดิษฐ์ตกแต่งให้กับผู้ที่มีความต้องการความหล่อความสวยงาม โดยการเชื่อกันว่าเส้นผมคนจริงๆย่อมจะดีกว่าเส้นผมสังเคราะห์
ธุรกิจการรับซื้อ-ขายเส้นผมของบ้านเรา ยังถือว่าเป็นเรื่องใหม่ การเดินเข้าร้านตัดผมแล้วถามช่างว่า จะรับซื้อเส้นผมหรือไม่ ย่อมจะได้รับการส่ายหน้าปฏิเสธ ตรงกันข้ามกับประเทศจีนและประเทศอินเดีย เส้นผมคนจริงๆจะถูกนำมาวางขายราวกับผักปลาในท้องตลาด
จะมีเพียงไม่กี่แห่งของบ้านเราที่จะรับซื้อเส้นผม เพื่อนำไปใช้ในกิจการของตนเอง เช่นที่ห้อง comsumer science centre ของบริษัทยูนิลิเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง แยกรัชโยธิน
สภาพของห้อง comsumer science centre จะไม่ต่างไปจากร้านทำผมทั่วไป ที่นี่จะมีหญิงสาวผมยาวหลายต่อหลายคนที่เดินเข้ามาแล้วเดินออกไป ด้วยเส้นผมที่สั้นลง กลายเป็นรูปทรงผมทรงใหม่
วริน กอพงษ์พานิช คอมซูมเมอร์ ไซน์ ซูเปอร์ไวเซอร์ อธิบายให้ฟังว่า เส้นผมที่ทางเรารับซื้อเหล่านี้ จะนำไปใช้ในการทดลองพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ของบริษัท
"เส้นผมที่ได้ เราจะนำไปคัดเส้นผม เส้นผมไหนเสียจะนำออก ดูให้เรียบสม่ำเสมอ เพื่อทำการทดลองในห้องปฏิบัติการเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เส้นผม ในส่วนของแชมพู ครีมนวด ทำสีผม พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ก่อนที่จะมีการทดลองบนเส้นผมบนศีรษะคนจริงๆ"
หมายเหตุ : บริษัท ยูนิลิเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง เป็นผู้ผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ ซัลซิล ลักซ์ โดฟ บรีส พอนส์ โอโม่ คอมฟอร์ด ลักซ์ ไอศกรีมวอลล์ ชาลิปตัน วาสลีน และอื่นๆ
วริน อธิบายว่า ในขั้นตอนของการซื้อ ช่างที่ร้านจะทำการตรวจสภาพเส้นผม ถามผู้ที่มาเสนอขายว่า ต้องการให้ตัดออกยาวแค่ไหน จากนั้นจึงเริ่มวัดจากส่วนที่เท่ากัน หากปลายผมไม่เท่ากัน สไลด์เอาส่วนที่สั้นที่สุดวัดขึ้นไปยังจุดที่ต้องการขาย ส่วนใหญ่จะนิยมซื้อเส้นผมที่ตัดขึ้นไปเกิน 8 นิ้ว ช่างจะประเมินสภาพผมว่าเป็นเส้นผมดีสมบูรณ์หรือไม่ แบ่งเป็นผมดี ผมธรรมดา และผมแห้งเสีย
"ที่นี่ จะรับซื้อเส้นผมทุกประเภท แต่จะชอบมากเป็นพิเศษ คือ เส้นผมตรงธรรมชาติ ไม่ผ่านการทำสีผม สีผมเสมอกัน เมื่อก่อนจะรับซื้อผมหยักศกเยอะ ผมที่เป็นคลื่นน่ะ เพราะมีโปรเจกต์เยอะ แต่ช่วงนี้อาจจะไม่รับซื้อ ขึ้นอยู่กับความต้องการว่าช่วงไหนต้องการอะไร หลังจากตัดเส้นผมออกไปแล้ว ก็จะบริการตัดแต่งทรงผมให้ด้วย"
"ความยาวที่ต้องการจะตั้งแต่ 8 นิ้วขึ้นไป และจะวัดขนาดโดยเอาหนังยางรัดด้วย รอบหนังยางคือความหนา ตีราคาหากเส้นผมทำสีไฮไลต์ แตกปลายเล็กน้อย แห้งเสียเล็กน้อย จะพิจารณาอีกราคาหนึ่ง เช่นถ้าเส้นผมแห้งเสีย อาจได้ 500 บาท แต่ถ้าเส้นผมมีสุขภาพดี และหนา จะได้ราคาถึง 2,000 บาท"
"บางครั้งเมื่อเส้นผมที่ทดลอง ขาดแคลน ก็จะออกไปรับซื้อตามชนบทหรือตามโรงงานที่มีผู้หญิงเยอะๆก็มี เส้นผมคนไทยจะค่อนข้างดี ส่วนใหญ่คนที่เขาเก็บเส้นผมไว้ขาย เส้นผมเขาจะค่อนข้างดี ไม่มีการดัด การย้อม"
# 5 การต่อเส้นผม
ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง เส้นผมที่มีขนาดสั้นบนศีรษะก็สามารถจะกลายเป็นเส้นผมที่ยาวได้ ด้วยวิธีการต่อเส้นผม เส้นผมที่ใช้นำมาต่อนั้น มีทั้งเส้นผมสังเคราะห์และเส้นผมจริง ซึ่งมีทั้งนำเข้าจากแดนมังกรและอินเดีย
แหม่ม หญิงสาววัย 30 นิดๆ เธอมานั่งต่อเส้นผมที่แผงร้านทำผม ถนนข้าวสาร โดยให้เจ้าของร้าน 2-3 คนช่วยกันต่อเส้นผมให้เธอ จนยาวเกือบถึงเอว แหม่มเล่าว่า ก่อนหน้านี้เธอมีเส้นผมยาวเกือบถึงเอว แต่เนื่องจากเส้นผมเสีย จึงจำเป็นต้องตัดทิ้งเหลือยาวแค่บ่า และด้วยความเคยชินที่เคยไว้ผมยาวมานาน จึงเริ่มศึกษาข้อมูลหาที่ต่อเส้นผมให้ตัวเอง
"หามาหลายที่ บางที่ก็มีใช้ผมจริงจากจีน นำมาต่อเส้นผม ราคาประบ่า 7,000 บาท ถ้าจะให้ถึงเอวหลักหมื่นขึ้นไป จึงหันมาต่อที่ถนนข้าวสารแทน ใช้ผมปลอมสังเคราะห์ ราคาขนาดความยาวเกือบระดับเอว 1,600 บาท อยู่ได้ 1-2 เดือน สภาพเส้นผมจะไม่ต่างจากเส้นผมจริง แต่ที่ต้องระวัง คือ เส้นผมที่ได้รับการต่อแบบนี้ ห้ามอบไอน้ำเด็ดขาด"
แหม่ม เล่าประสบการณ์การต่อเส้นผมให้ฟังว่า "เส้นผมตามร้านในห้างอยู่ในระดับเกรดเอ วิธีการต่อ จะต่อความยาวจากโคนผมออกมา 1-2 ซม ใช้ตัวฮอตเซลท์ในการต่อเส้นผม เส้นผมที่ต่อจะมีอายุประมาณ 3-4 เดือน"
"เมื่อรู้สึกว่าเส้นผมเริ่มยาวขึ้น สระแล้วรู้สึกว่าเส้นผมจะเริ่มพันกัน ต้องมาให้ทางร้านเลื่อนปม แกะออกแล้วใส่เข้าไปใหม่ ราคาขนาดประบ่าความยาวตั้งแต่ 8 นิ้วขึ้นไปเริ่มต้นที่ 7 พันกว่าบาท ระดับกลางแผ่นหลัง ยาวสัก 16 นิ้ว ราคาอยู่ที่หมื่นสอง บางร้านจะคิดเป็นนิ้ว นิ้วละ 1,000 บาท ถ้า 8 นิ้วราคา 8,400 บาท แต่ถ้า 12-16 นิ้ว ราคาก็ประมาณหมื่นกว่า- สองหมื่น สั้นๆ ประมาณ 2.5 นิ้ว ก็ 5,000 บาท"
# 6 วิกผม
เส้นผมของคนปกติ จะมีอายุ โดยเริ่มตั้งแต่เกิด เจริญเติบโต จากนั้นเส้นผมก็จะหยุดเจริญเติบโต ถือว่าหมดอายุขัยและหลุดร่วงไป เซลล์ที่หลุดไปจะมีเส้นผมใหม่งอกขึ้นมาทดแทน อายุของเส้นผมประมาณ 2-7 ปี และเส้นผมที่หลุดร่วงประมาณวันละ 60-80 เส้นถือเป็นเรื่องปกติ แต่หากปริมาณมากกว่านี้ หรือร่วงเป็นหย่อมๆ หรือร่วงแล้วไม่มีเส้นผมเส้นใหม่ขึ้นมาทดแทน ก็จัดได้ว่าเป็นอาการผมร่วงชนิดผิดปกติ
อาการผมร่วงผิดปกติของผู้ชาย เส้นผมด้านหน้าและด้านบนของศีรษะจะค่อยๆเส้นผอมลงและนิ่ม แล้วหลุดร่วงไป เนื่องจากกรรมพันธุ์และฮอร์โมนเพศชายเป็นต้นเหตุ
เส้นผมที่ร่วงผิดปกตินี้ เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งพันธุกรรม สภาพแวดล้อม การหมุนเวียนของโลหิตไม่ดี มีกรดอะมิโนและวิตามินไม่เพียงพอ การซึมซับสารอาหารบกพร่อง เซลล์ผมเสื่อมสภาพ ความบกพร่องของต่อมไขมัน หนังศีรษะไม่สะอาด
ส่วนอาการผมร่วงเป็นย่อมๆ เป็นอาการผมร่วงโดยไม่จำกัดเพศและวัย สาเหตุเกิดจากความเครียด อาการผิดปกติของระบบประสาทรอบนอก และอาการแพ้ต่างๆ
นากาโตชิ คากามิ ประธานบริษัทแอดเดอร์รานส์ไทย จำกัด ซึ่งมีบริษัทแม่อยู่ที่ญี่ปุ่น เป็นบริษัทผลิตวิกผมผู้หญิงและผู้ชายในเมืองไทย ที่ขายให้กับคนไทยและส่งขายไปยังต่างประเทศ ตั้งโรงงานโดยใช้แรงงานฝีมือของคนไทย ผลิตวิกผมที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปถึงอเมริกา ให้ข้อมูลว่า
"วิกผมของที่นี่ แยกเป็น 2 แบบ แบบของผู้หญิงและแบบของผู้ชาย และยังแบ่งเป็นผลิตจากเส้นผมจริงและผลิตจากเส้นผมสังเคราะห์จากไฟเบอร์ ลักษณะของไฟเบอร์จะคล้ายพลาสติกแต่เลียนแบบเส้นผมได้เหมือนจริงมาก เพิ่มขั้นตอนการลบเงา ช่วยให้ดูเสมือนเส้นผมจริงมาก"
"ตลาดรับ-ซื้อเส้นผม จะมาจาก 2 แห่ง คือจากทางจีนกับทางอินเดีย ของจีนจะรับซื้อเส้นผมมาจากมณฑลเหอหนานของประเทศจีน เส้นผมของจีนและอินเดียจะต่างกันตรงที่ขนาดของเส้นผม เส้นผมจากอินเดียจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเล็ก เส้นเล็กเมื่อนำมาทำวิกผม ขั้นตอนของการกัดสีมักจะขาดง่าย สำหรับตลาดส่งออกของวิกผม ก็จะส่งไปตลาดยุโรป และสหรัฐอเมริกา "
"ปัจจุบันเส้นผมที่นำเข้า ส่วนใหญ่จะนำมาจากจีนมากขึ้น เพราะเส้นผมมีขนาดใหญ่หนา เข้ากับเส้นผมของคนเอเชีย และคนผิวสี ความยาวก็อย่างน้อย 25 ซม. สั้นกว่านี้ถือว่าใช้งานยาก ปกติของผู้ชาย 25 ซม. ของผู้หญิงก็ 40 ซม. สมัยก่อนราคากิโลกรัมละ 3,000 บาท แต่เดี๋ยวนี้ขึ้นเป็น 7,000-8,000 บาท นำมาทำวิกผมได้จำนวนเท่าไหร่นั้น ขึ้นกับขนาดความยาวของวิกผมแต่ละอัน และปกติเส้นผม 1 กิโลกรัมเมื่อผ่านขั้นตอนการกัดสีแล้ว น้ำหนักจะละลายหายไปกับน้ำยาเหลือไม่ถึงครึ่ง"
"ปัญหาใหญ่ในตอนนี้ คือ เดี๋ยวนี้เส้นผมจากจีน หายากขึ้น เพราะคนจีนรุ่นใหม่จะไม่นิยมไว้ผมยาว และยังนิยมย้อมสีผมหรือดัดผมกันมาก ทำให้สีของเส้นผมไม่บริสุทธิ์ เส้นผมขาดง่ายเมื่อนำมากัดสีหลายๆครั้ง ความแข็งแรงไม่พอ"
"เส้นผมที่ซื้อมา จะเก็บรักษาไว้ในอุณหภูมิห้องปกติ เมื่อจะใช้ก็นำมาล้างอีกครั้ง ที่จริงก่อนที่ทางจีนจะส่งมาขายเรา เขาก็ทำการสระล้างให้เรียบร้อยแล้ว แต่เราแคร์เรื่องความสะอาดมากๆ จึงขอทำอีกรอบ"
"หลังจากผ่านการกัดสี ก็นำมาย้อมสีเป็นเฉดสีต่างๆ จากนั้นนำมัดผมคละสี มาสางเข้ากับตะปู ลักษณะคล้ายแปรงหวีผมขนาดใหญ่ เพื่อทำให้เกิดการผสมของสีออกมาจนกลายเป็นเส้นผมสีต่างๆ แล้วช่างก็จะทำการออกแบบสินค้า และส่งไปให้ลูกค้าตรวจดูความพอใจ จากนั้นจึงรับออเดอร์ แล้วส่งไปผลิตที่โรงงานวิกผมแฟชั่นสตรี ที่จ.บุรีรัมย์"
สำหรับวิกผมชาย ซึ่งมีโรงงานใหญ่อยู่ที่อยุธยา คือ บริษัท เวิลด์คลอริตี้ ที่นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นโรงงานใหญ่ซึ่งทำวิกผมจากทั้งผมจริงและผมสังเคราะห์ ที่นี่สามารถผลิตได้ถึง 70,000-80,000 ชิ้นต่อปี
"สาขาใหญ่ของบริษัท ซึ่งทำการตลาดและขายให้กับคนในประเทศ อยู่ที่เวิลด์พลาซ่า ราชประสงค์ แต่จริงๆแล้ว ลูกค้าคนไทยจะไม่ค่อยมาก เป็นลูกค้าชาวต่างชาติมากกว่า และเขาจะรู้จักร้านเป็นอย่างดี ขั้นตอนแรก จะพูดคุยเรื่องทรงผมที่ชอบและสีผมที่ต้องการ ไม่เว้นแม้กระทั่งผมหงอกที่แซมอยู่ว่าจะให้มีก็ได้ แล้วบันทึกลงในใบ Order แต่กระดาษอาจจะทำให้ทรงผมที่ต้องการไม่ตรงตามความฝันของลูกค้า กระบวนการทำแบบทรงผม จะเริ่มต้นอย่างจริงจังโดยใช้แผ่นพลาสติกทาบลงบนศีรษะ เพื่อพิจารณาละเอียดทุกๆอย่างทั้งรอยแสก รอยขวัญว่าอยู่ตรงไหน จะต้องชัดเจนไม่ผิดเพี้ยน พร้อมกับตัดเส้นผมของลูกค้าไว้เป็นตัวอย่างของการประดิษฐ์เส้นผมบนวิกผมด้วย การดำเนินการจะหล่อแบบโดยใช้ผลิตภัณฑ์หนังศีรษะเทียม ให้ใกล้เคียงกับสัดส่วนจริงของลูกค้า มีการตรวจสภาพเส้นผม เลือกแบบเส้นผม เลือกสีเส้นผมให้ใกล้เคียงกับสีผมบนศีรษะหรือตามที่ลูกค้าต้องการ ใช้ฟิตเตอร์ (fitter) แผ่นพลาสติกซึ่งได้รับความร้อนจนอ่อนตัว ยังอุ่นๆอยู่ทาบลงบนรูปศีรษะจำลอง วาดรูปแบบทรงผมที่ต้องการแล้วติดเส้นผมลงไป ทรงผมที่ออกแบบนั้น สำหรับลูกค้าที่ยังพอมีเส้นผมเหลืออยู่บ้าง ก็อาจจะสามารถหวีดึงเส้นผมจริงออกมาปกคลุม"
หากจะเปรียบเทียบความนิยม ระหว่างวิกผมชายที่ใช้ผมจริง กับวิกผมชายที่ใช้วิกไซเบอร์ ส่วนใหญ่ลูกค้าจะนิยมใช้วิกไซเบอร์ เนื่องจากดูแลง่าย สระอยู่ทรงไหนก็ทรงนั้นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่หากเป็นวิกผมจริง เมื่อสระทำความสะอาดแล้ว จะต้องไดร์ให้เข้ารูป ทำให้ไม่สะดวกและไม่สวย นอกจากนี้วิกไซเบอร์ยังทนต่อความร้อนได้ดีกว่า นานกว่า จึงได้รับความนิยมมากกว่า
คากามิ กล่าวถึงตลาดวิกผมว่า "ตลาดวิกผม ขายให้กับคนดำมีตลาดใหญ่สุด เป็นตลาดแถบอเมริกาและแอฟริกา เน้นวิกผมราคาถูกหน่อย ส่วนตลาดคนขาวในยุโรปและอเมริกาจะมีความต้องการใช้เพื่อพัฒนาบุคลิก ไม่ใช่เพื่อแฟชั่น เน้นคุณภาพวิกผมที่ดี มีความสวยงามละเอียดถี่ถ้วน พลิกดูเนื้องานตลบดูหนังศีรษะเทียม ดูการติดเส้นผมต้องประณีต ยิ่งคนญี่ปุ่นเวลาจะซื้อวิกผม จะดูหนังศีรษะก่อนเลยว่าต้องสวยประณีต ไม่สวยไม่ซื้อ"
"สำหรับในเมืองไทย วิกผมผู้หญิงตอนนี้สั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากเดิมมาก โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยโรคมะเร็ง ผมร่วง และบรรดาไฮโซที่ต้องออกงานสังคมบ่อยๆ"
อนึ่ง โรงงานของบริษัทสามารถจะผลิตขนปลอมได้ทุกแห่งที่ร่างกายมนุษย์ต้องการ แต่จะส่วนไหนของร่างกาย ที่นอกเหนือจากวิกผมบ้าง ขอไม่สาธยาย ในที่นี้.....โฮะโฮะ
Create Date : 26 พฤศจิกายน 2549 |
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2549 12:04:16 น. |
|
57 comments
|
Counter : 22744 Pageviews. |
|
|
|