จากไปอย่างไม่มีวันกลับ สำหรับคนทีวีคุณภาพ ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร (ดร. วรฑา วัฒนะชยังกูร) หนึ่งในผู้บริหารค่ายเจเอสแอลฯ และพิธีกรรายการ "คนค้นฅน" ในเช้าของวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2549 ณ โรงพยาบาลศิริราช หลังจากนอนต่อสู้กับอาการป่วยด้วยโรคมะเร็งเป็นเวลาประมาณ 2 เดือน
คู่ชีวิตของ ดร.อภิวัฒน์
คุณอทิตา วัฒนะชยังกูร ได้เปิดแถลงข่าวกับสื่อมวลชนอย่างเป็นทางการ พร้อมกับลูกชาย (เพชร ภาคิน) และลูกสาว (แพรว กวิตา) เธอเล่าถึงเหตุการณ์ก่อนที่สามีจะสิ้นใจด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า แม้จะทำใจไว้บ้างแล้วแต่ก็รู้สึกใจหาย เพราะเพิ่งจะฉลองวันเกิดให้สามีไปเมื่อวันที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา เผยสามีเข้มแข็งมากๆ
ตอนหัวค่ำ คืนก่อนที่พี่เต้ยจะเสีย พี่เต้ยเริ่มหายใจแย่ลง พี่เต้ยเหนื่อย แต่ตอนกลางวันยังทานอาหารได้เหมือนคนปกติ ทานข้าวกับปลาเป็นเรื่องเป็นราว ตอนบ่ายก็ทานอาหารเสริม ซึ่งก็คือนม พี่เต้ยก็ยังทานได้อยู่ แต่พอตอนเย็นเริ่มมีอาการหายใจไม่ทัน หมอเลยให้ดมออกซิเจนเป็นท่อครอบจมูกเอาไว้ แต่ดมได้นิดเดียว
พี่เต้ยบอกว่าไม่เอาแล้ว ไม่ชอบ ก็เอาออก"
"แล้วตอน 3 ทุ่ม พี่สะใภ้ของพี่เต้ยก็มาเยี่ยม เขาก็ยังคุยเล่นกันอยู่เลย พี่เต้ยยังบอกว่าให้กลับบ้านเถอะ ผมรักพี่นะ คุยธรรมดามากๆ แต่ตอนนั้นดูพี่เต้ยเหนื่อยมาก พอตอนเที่ยงคืน พยาบาลก็เข้ามาขยายหลอดลมให้ เพราะดูพี่เต้ยเนี่ย ไม่ค่อยไหวแล้ว พอรุ่งเช้าตอน 6 โมงเช้า คุณพ่อคุณแม่พี่เต้ยก็มา ซึ่งก็มาเป็นปกติทุกวันอยู่แล้ว"
"คุณหมอก็เข้ามาวัดความดัน ปรากฏว่าความดันตก ซึ่งก็หมายถึงใกล้แล้ว พี่ก็เลยโทรตามทุกๆ คน ที่พี่เต้ยสนิท ตามลูกๆ เพื่อแจ้งให้ทุกคนทราบ พี่เต้ยจากไปตอน 7 โมง 46 นาที จากไปอย่างสงบ พี่เต้ยอดทนมาก พี่เต้ยเข้มแข็งเสมอ เราสองคนจะคุยกันตลอด และมีการเตรียมใจกันไว้แล้ว
จริงๆ อาการแบบนี้ความดันต้องตก แต่ที่ผ่านมาพี่เต้ยไม่ตกเลย คือ 110 - 70 ตลอด ความดันปกติมาก แค่นี้หมอเขาก็งงแล้ว อย่างเวลาคุยกับหมอ พี่เต้ยยังคุยกับหมอรู้เรื่อง เวลาหมอมา เขายังเป็นคนยกเก้าอี้ให้หมอนั่ง เขาเป็นสุภาพบุรุษ มันคือตัวพี่เต้ยเลย เขาจะเป็นคนชอบดูแลเทกแคร์เสมอ...(เสียงสั่นเครือ)
วินาทีก่อนที่จะไป
ได้พูดอะไรกันบ้างมั้ย?
ไม่ได้พูดอะไร แต่พี่เขาก็ไม่ได้ทุรนทุราย พี่เต้ยไปด้วยอาการสงบจริงๆ มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน ไม่ได้คิดว่าพี่เต้ยจะไป อาการตอนนั้นคิดแค่ว่าพี่เต้ยคงเหนื่อยมากเท่านั้นเอง
"ก่อนหน้านี้ คือ พี่เต้ยเกิดวันที่ 13 มิถุนายน ก็เพิ่งจะจัดงานเป่าเค้กวันเกิดกันที่นี่(ห้อง1603 ศิริราชพยาบาล) และเราได้นิมนต์พระ มาถวายสังฆทานที่นี่ด้วย ลูกๆ ก็นำกีต้าร์ตัวโปรดของพี่เต้ยมาเล่น มีลูกๆ ของเพื่อนนำเอากีต้าร์เอากลองมาตีมาร้องเพลงให้ฟัง ซึ่งพี่เต้ยก็มีความสุข และแฮปปี้มาก
พี่เต้ยพูดตลอดว่า พี่พร้อมจะจากไปได้นะ เพราะพี่ได้ทำคุณงามความดีมาในชีวิตมาโดยตลอดแล้ว และถ้าพี่เต้ยหาย พี่เต้ยเขาอยากจะบวช เพื่อทำนุบำรุงศาสนา"
ในส่วนของพิธีศพ ในวันที่ 28 มิถุนายน 2549 จะมีพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ในเวลา 17.00 น. ณ ศาลากลางน้ำ วัดเทพศิรินทราวาส และจะมีพิธีสวดพระอภิธรรมศพเป็นเวลา 7 วัน หลังจากนั้นจะเก็บศพไว้ 100 วัน
โดยคุณอทิตาบอกว่า อยากจะขอให้แขกที่มาร่วมงานศพ งดพวงหรีด แต่อยากขอให้บริจาคเงินร่วมทำบุญกับมูลนิธิของศิริราชมากกว่า เพราะเชื่อว่าพี่เขาจะได้บุญเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมทั้งเปิดใจว่า ดร.อภิวัฒน์ เป็นสามีที่ประเสริฐที่สุด ยืนยันจะไม่ร้องไห้ เพราะลากันมานานแล้ว
พี่เต้ยเป็นสามีที่ดีมาก เป็นสามีที่ประเสริฐมาก ยอมรับว่าพี่ เป็นคนทำอะไรไม่เป็นเลย แล้วพี่เต้ยจะเป็นคนทำให้ทุกอย่าง พี่เต้ยจะซักผ้าให้ กับข้าวกับปลาก็ทำให้ ดูแลหมด ลากันมานานแล้วเพราะฉะนั้นจะไม่ร้องไห้ เราเตรียมใจกันไว้แล้ว พี่นั่งบนโซฟา แล้วพี่เต้ยแกนอนหนุนตัก (โซฟาในโรงพยาบาล) แล้วเขาก็พูดขึ้นว่า พี่รักน้องนะ ถ้าเรามีโอกาสที่จะใช้ชีวิตร่วมกันอีก ก็จะตั้งมั่นทำความดี
อยากจะทำบุญครั้งสุดท้ายให้พี่เต้ย ด้วยการที่ว่าขอ งดพวงหรีด จะขอเป็นเงินมาทำบุญเพื่อจะมอบให้ศิริราชมูลนิธิ อยากจะตั้งเป็นกองทุนขึ้นมา ในนามพี่เต้ย และมอบให้ศิริราชมูลนิธิ
เพราะ 2 เดือนที่เรามาอยู่ที่นี่ เราได้รู้ว่าเวลาที่พี่เขาได้เลือด หรือได้รับเครื่องมือดีๆ หรือการรักษาดีๆ ก็จะได้จากคนที่เขามาบริจาค ก็เลยอยากทำตรงนี้ตอบแทนคืนบ้าง
อยากให้พี่เต้ยได้ทำบุญครั้งสุดท้ายอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งตอนที่พี่เต้ยไม่สบายนั่งรถเข็น พี่เต้ยก็ได้ไปบริจาคให้ศิริราชมูลนิธิเหมือนกัน โดยให้ลูกๆเข็นรถพาไป คิดว่าพี่เต้ยจะได้รับบุญครั้งสุดท้ายนี้ด้วย
ด้าน น้องแพรว กวิตา ลูกสาวอายุ 19 ปี ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ที่ออสเตรเลีย เผยสั้นๆว่า
อยากให้พ่ออยู่นานๆ เคยบอกพ่อว่า ไม่ต้องเป็นห่วงนะ เพราะแพรวโตแล้ว ดูแลตัวเองได้แล้ว พ่อไม่ต้องห่วง
สำหรับผลงานชิ้นสุดท้ายในรายการ คนค้นฅน ของดร.อภิวัฒน์ นั้น ออกอากาศไปเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549 ชื่อตอน "บทเรียน" ส่วนผลงานชิ้นล่าสุดเป็นงานเขียนหนังสือชื่อ มองชีวิตผ่านมะเร็ง ซึ่งพิมพ์เป็นครั้งที่ 5 แล้ว ทั้งนี้ได้มีการพิมพ์เพิ่มเติม บันทึกคำส่งท้ายที่ดร.อภิวัฒน์เขียนไว้ว่า ผมไม่ได้ยินดีที่จะตาย แต่พร้อมจะตาย
ดร.อภิวัฒน์ ได้เคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการถูกโรคร้ายคุกคามว่า
ผมเริ่มเข้าตรวจรักษาตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2547 หลังจากทราบแน่ชัดว่า เป็นมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่ หมอให้การรักษาแบบฉับพลันทันที คือ วันที่ 11 สิงหาคม ผ่าตัดเนื้อร้าย และลำไส้ใหญ่ส่วนหนึ่งออก แต่หลังจากนั้นอีก 1 เดือน ก็พบก้อนเนื้ออีก 2-3 ก้อนที่ตับ หมอจึงวางแผนรักษาด้วยการใช้เคมีบำบัด โดยใช้ทั้งยาฉีด และยารับประทานสมัยใหม่ ที่ไม่มีผลข้างเคียงมากนัก มีเพียงผิวคล้ำลง และอ่อนเพลีย
รับเคมีอยู่นานราว 5 เดือน ก้อนเนื้อเหล่านั้นก็เล็กลง หมอจึงใช้วิธีการผ่าตัดย่อย โดยอัลตร้าซาวนด์ดูว่า ก้อนเนื้ออยู่ตรงไหน แล้วใช้เข็มแทงเข้าไป และปล่อยคลื่นวิทยุทำลายก้อนเนื้อนั้นให้หมดหายไป ซึ่งทุกอย่างจบสิ้นลงแล้วเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2549
ถึงตอนนี้ เมื่อการรักษาเสร็จสิ้นลงแล้ว ผมได้มองย้อนดูชีวิตของผมก่อนจะมาเจ็บป่วย จึงรู้ว่าเราใช้ร่างกายใช้ชีวิตอย่างหนัก สมบุกสมบันมากเกินไป แม้จะบอกตัวเองว่า เราไม่ได้เครียดนะ แต่ในความเป็นจริง เราจัดการกับความเครียดทุกวันจนกลายเป็นกิจวัตร ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคร้ายนี้
เมื่อมองอย่างนั้นแล้วจึงรู้ว่า เราจะกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมไม่ได้แล้ว ครั้งนี้จึงเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ แล้วบังเอิญได้รู้จักกับผู้ที่มีความรู้ด้านมงคลนามกับเลขศาสตร์ จึงเป็นโอกาสดีที่จะผสมตัวเลขในชื่อใหม่ เพื่อสร้างความเป็นมงคลให้กับตัวเอง จึงได้ชื่อใหม่ ว่า วรฑา
อาจจะไม่ได้มีความหมายยิ่งใหญ่เท่ากับชื่อเดิม อภิวัฒน์ ที่แปลว่า ความมั่นคงอันยิ่งใหญ่
แต่ วรฑา เป็นการผสมตัวอักษรที่เป็นมงคล เป็นเหมือนกับการให้พร ให้มีสุขภาพดี มีสติปัญญาเฉียบคม ส่วนนามสกุลก็เปลี่ยนแล้ว โดยขอจดตั้งเป็นนามสกุลใหม่เลย เปลี่ยนเป็น วัฒนะชยังกูร หมายถึง หน่อเนื้อแห่งความเจริญรุ่งเรือง
Profile ดร.อภิวัฒน์(ดร.วรฑา วัฒนะชยังกูร)
ดร.วรฑา วัฒนะชยังกูร
อายุ 49 ปี
เกิด 13 มิ.ย.2500
ถึงแก่กรรม 27 มิ.ย. 2549 เวลา 07.46 น.
บิดา เรืออากาศตรี อาชีพ วัฒนางกูร
มารดา นาวาอากาศเอกหญิง พูนศรี ทองปรีชา
มีน้องชาย1 คน นาวาอากาศตรี อัษฎาวุธ วัฒนางกูร (กัปตันสายการบินไทย)
สมรสกับนางอทิตา วัฒนะชยังกูร (ชื่อเดิม กมลนาท สุมาวงศ์)
มีบุตร 2 คน นางสาวกวิตา (แพรว) วัฒนะชยังกูร อายุ 19 ปี และนายภาคิน (เพ็ชร) วัฒนะชยังกูร อายุ 17 ปี
ประวัติการศึกษา
พ.ศ.2521 ครุศาสตรบัณฑิต (การสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
พ.ศ.2523 Master of Education (Edducational Management and Supervision) Loyola Collage ,Baltimore,Maryland,USA
พ.ศ.2527 Doctor of Education (Higher Education Administration) Oklahoma State University,Stillwater,Oklahoma,USA
ประวัติการทำงาน
พ.ศ.2527 อาจารย์ภาควิชาภาษาอังกฤษ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
พ.ศ.2528 หัวหน้าภาควิชาภาษาอังกฤษ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
พ.ศ.2528 คณบดีคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
พ.ศ.2532 ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการต่างประเทศ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
พ.ศ.2537-2549 รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอสแอล จำกัด
งานพิธีกรรายการวิทยุโทรทัศน์
พ.ศ.2546-2549 พิธีกรรายการ คน ค้น ฅน ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ ( ช่อง 9 อ.ส.ม.ท.)
พ.ศ.2542-2543 พิธีกรรายการ ถูกใจใช่เลย ทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7
พ.ศ.2532-2542 พิธีกรรายการ จันทร์กะพริบ ทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7
พ.ศ.2543 พิธีกรรายการ Gent Request ทางสถานีโทรทัศน์ไอทีวี
พ.ศ. 2540 ผู้จัดรายการวิทยุ ( Air personality) ทางสถานีวิทยุ Star Radio FM 102.5 MHz.
พ.ศ.2540 พิธีกรรายการ Business Variety ทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5
พ.ศ. 2538-39 ผู้กำกับรายการสารคดีภาษาอังกฤษชุด Thai Cuisine แพร่ภาพทางสถานีเคเบิล NBC Asia และแพร่ภาพบนเครื่องบินสายการบินไทย (เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2539)
พ.ศ. 2538 ผู้ดำเนินรายการสารคดีสั้นชุด Tourist Tips แพร่ภาพบนเครื่องบินของสายการบิน ประเทศออสเตรเลีย และ เนเธอร์แลนด์
พ.ศ.2536-2548 พิธีกรรายการสารคดีสั้นทางโทรทัศน์ อาทิ รายการไฟฟ้าน่ารู้คู่บ้าน รายการคนรักหนัง รายการเพื่อนหนังสือ รายการคู่มือสื่อสาร รายการร้อยพันปัญหาโรคผิวหนัง รายการเปิดโลกเอกสาร ฯลฯ
พ.ศ. 2536-ปัจจุบัน ผู้ประกาศข่าวภาคภาษาอังกฤษ ทางสถานีวิทยุแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ FM 95.5 MHz. และ FM 105 MHz.
การทำงานด้านอื่นๆ
พ.ศ. 2537-ปัจจุบัน ที่ปรึกษาด้านการศึกษาและประชาสัมพันธ์ บริษัทโปรเกรสซีฟ อินเตอร์เนชั่นแนล มาร์เก็ตติ้ง จำกัด
พ.ศ. 2541 นายก สโมสรโรตารี พระโขนง
พ.ศ. 2542 ที่ปรึกษาด้านการประชาสัมพันธ์และกิจกรรมพิเศษ ของสายการบินแองเจิล ( Angel Air)
ในวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2549 เวลา 07.46 น.
มะเร็งได้คร่าชีวิตพิธีกรเหล็ก "คนค้นฅน" ดร.อภิวัฒน์.
บทสัมภาษณ์ ดร. อภิวัฒน์ เมื่อปี 2547
พี่เต้ยทำงานกับบริษัท JSL มากี่ปีแล้ว?
ทำงานที่ JSL เป็นปีที่ 10 แล้วจ้า เริ่มงานตั้งแต่ปี 2537
งานที่รับผิดชอบตั้งแต่เริ่มต้นจนปัจจุบัน คือด้านไหนบ้าง?
เริ่มเข้าสู่ JSL ด้วยตำแหน่ง รองกรรมการผู้จัดการ (ทุกวันนี้ก็ตำแหน่งนี้แหละ) 10 ปีก่อน ดูแลฝ่ายกิจการต่างประเทศ ฝ่ายบุคคล แล้วก็มารวมดูแลฝ่ายสารคดี และฝ่ายกิจการพิเศษ จนมาทุกวันนี้ดูแลสายงานกิจการพิเศษ
งานด้านต่างประเทศให้อะไรกับพี่เต้ยบ้าง?
งานด้านต่างประเทศ เปิดโลกทัศน์ของการทำรายการโทรทัศน์ที่ได้มาตรฐานที่ต่างชาติยอมรับ พร้อมไปกับการเจรจาติดต่อความร่วมมือกับต่างประเทศ อันนำมาซึ่งการทำให้ต่างประเทศรู้จัก JSL มากขึ้น รู้จักประเทศไทยของเรามากขึ้น
แล้วงานด้าน Event ให้อะไรบ้าง?
งาน Event ให้อะไรมากมายกับชีวิต ให้ทักษะทางความคิด ที่ต้องคิดให้ดีที่สุด นำเสนอให้ดีที่สุด และจัดงานให้ดีที่สุด และนำเสนอเพื่อให้ลูกค้าประทับใจ งาน Event ให้เราได้รู้จักตัวเองว่า ถนัดอะไร ไม่ชอบอะไร คนทำ Event เป็นเผ่าพันธุ์ที่เฉพาะทางมาก มีทั้งความอดทน อดกลั้น ทำงานภายใต้ความกดดันได้ดี ต้องมีจิตใจแข็งแกร่งมั่นคง มีร่างกายที่แข็งแกร่ง
อะไรใน JSL ที่ทำให้พี่เต้ยรู้สึกผูกพัน?
ผูกพันกับ JSL ด้วยเหตุหลายประการ เพราะงานที่เราทำ ต้องใช้ใจนำสมอง เวลาเราสื่อสารกับคน จึงเป็นการสื่อสารด้วยใจ ให้ใจ ได้ใจ ทั้งจากน้องๆ และพี่ๆ รวมทั้งผู้บริหารสูงสุด JSL เป็นบริษัทที่เปิดใจได้ทั้งหมด ไม่ว่าเรื่องดี หรือไม่ดี เหมือนคนที่รู้จักกันทั้งนอกและใน ทั้งยังเป็นที่เกิดในวงการบันเทิง หล่อหลอมให้ เต้ย เป็น เต้ย อย่างทุกวันนี้
ความแตกต่างขององค์กรนี้ กับที่อื่นๆ ที่พี่เต้ยพอจะเปรียบเทียบได้ ทั้งมุมที่น่าชื่นชม และมุมที่ต้องขยับปรับปรุง
JSL ขยายตัวมาก เป็นองค์กรที่ใหญ่ ที่ต้องระวังไม่ให้สูญเสียวัฒนธรรมของความใกล้ชิด อย่าพัฒนาจนเป็นราชการ ที่คนเข้าถึงยาก แต่ละองค์กรแตกต่างกันด้วยวัฒนธรรม วัฒนธรรมที่เราใช้ คือใจนำสมอง รักพี่-รักน้อง ยึดถือความสำเร็จของบริษัทเป็นความสำเร็จของเรา ช่วยกันสร้าง ช่วยกันชื่นชมบริษัทที่เรามีส่วนร่วมพัฒนา
อยากให้พี่เต้ยให้มุมคิดกับผู้ที่อยากทำงานในสายงานธุรกิจบันเทิงนี้
งานธุรกิจบันเทิง เป็นงานสร้างความสุขให้คน เราต้องเป็นคนที่มีความสุขก่อน ชอบที่จะเป็นผู้ให้ เป็นงานที่ใช้ความรักนำทาง ใช้หลักการบริหารทางธุรกิจเป็นหางเสือ ใช้ความเป็นเลิศของสมองเป็นเสน่ห์
พี่เต้ยมีอะไรอยากจะพูดกับน้องๆ พนักงานปัจจุบันบ้าง
หาแรงจูงใจให้เจอว่า มาทำงานที่บริษัทเพราะอะไร? หาเจอแล้วใช้ความรู้สึกนั้นเป็นนาฬิกาปลุก ให้เราอยากตื่นมาทำงานทุกเช้า.
ขอกราบอธิษฐานให้คุณงามความดีที่ดร.อภิวัฒน์ สรรค์สร้างสั่งสมให้กับผู้อื่นและให้กับสังคมตลอดมา ส่งผลให้ดร.อภิวัฒน์ ไปสู่สุคติภพด้วยเถิด.