กิจกรรมหลังความตาย
กิจกรรมหลังความตาย
กรณีที่มีผู้เสียชีวิตในบ้าน : หากเสียชีวิตด้วยโรคปัจจุบันทันด่วน อาทิ โรคลม โรคชรา เจ้าบ้านซึ่งมีทะเบียนบ้านอยู่ในเขตเทศบาล จะต้องเข้าแจ้งแก่นายทะเบียนเทศบาล และหากอาศัยอยู่นอกเขตเทศบาล ให้แจ้งแก่ที่ว่าการอำเภอหรือผู้ใหญ่บ้านประจำตำบล ภายใน 24 ชั่วโมง
สำหรับในกรณีเสียชีวิตด้วยสาเหตุ 5 ประการ ได้แก่ การฆ่าตัวตาย, การถูกคนทำให้ตาย, อุบัติเหตุ, สัตว์ทำให้ตาย, และ การตายโดยไม่ทราบสาเหตุ
การเสียชีวิตในลักษณะดังกล่าว จะต้องแจ้งตำรวจท้องที่ให้รับทราบ เพื่อส่งศพไปผ่าพิสูจน์ ณ สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ หรือโรงพยาบาลของรัฐ
เมื่อสถาบันนิติเวชออกหนังสือรับรองสาเหตุของการตายแล้ว เจ้าบ้านซึ่งมีทะเบียนบ้านอยู่ในเขตเทศบาล จะต้องเข้าแจ้งแก่นายทะเบียนเทศบาล และหากอาศัยอยู่นอกเขตเทศบาล ให้แจ้งแก่ที่ว่าการอำเภอหรือผู้ใหญ่บ้านประจำตำบล ภายใน 24 ชั่วโมง
กรณีที่เสียชีวิตที่โรงพยาบาล : เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลหรือญาติผู้ตาย จะแจ้งต่อนายทะเบียนเทศบาลหากโรงพยาบาลตั้งอยู่ในเขตเทศบาล สำหรับกรณีอยู่นอกเขตเทศบาลให้แจ้งแก่ที่ว่าการอำเภอ ภายใน 24 ชั่วโมง
สวดศพวัดไหน?
การตัดสินใจเคลื่อนย้ายศพไปตั้งสวดพระอภิธรรมที่วัดใด จึงจะเหมาะสม ประเด็นหลักสำคัญ ที่ญาติผู้เสียชีวิตมักพิจารณา ได้แก่
1. วัดหลวง สำหรับผู้ที่ประกอบคุณงามความดี เมื่อสิ้นชีวิตลงและหากได้รับ "พระราชทานเพลิงศพ" ญาติมิตรของผู้เสียชีวิตมักจะเคลื่อนย้ายศพผู้ตายไปประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพ ณ วัดหลวงเป็นส่วนใหญ่
2. วัดใกล้บ้าน เป็นวัดทั่วๆ ไป การเลือกวัดที่ไม่ไกลจากที่พักอาศัย จะช่วยร่นระยะเวลาการเดินทางของเจ้าภาพได้ ทำให้ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยมาก
3. วัดในสังกัด ผู้เสียชีวิตบางราย รับราชการเป็นตำรวจหรือทหาร เมื่อสิ้นชีวิตลง ญาติๆก็จะนำศพไปตั้งสวดอภิธรรมที่วัดในสังกัด เช่น ฌาปนกิจสถานของตำรวจอยู่ที่วัดตรีทศเทพฯ ย่านวิสุทธิกษัตริย์
ค่าใช้จ่ายเท่าไร ?
จากการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ประจำวัดขนาดใหญ่และขนาดกลางในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด สรุปค่าใช้จ่ายในการจัดพิธีศพในวัด ซึ่งประกอบด้วยค่าใช้จ่ายสำคัญ 2 ส่วน ได้แก่ ค่าบำรุงในการสวดพระอภิธรรม และค่าบำรุงในการเผาศพ มีรายละเอียดดังนี้ ...
1. ค่าบำรุงในการสวดพระอภิธรรม : วัดขนาดเล็กทั่วไปมักจะกำหนด อัตราค่าศาลา 500 บาท/คืน ส่วนวัดขนาดใหญ่มักจะเรียกเก็บค่าบำรุงเพิ่มขึ้นเท่าตัวคือ 1,000 บาท/คืน และค่าบำรุงจะสูงถึง 2,500 บาท/คืน สำหรับศาลาที่ติดเครื่องปรับอากาศ
2. ค่าบำรุงในการเผาศพ ในขั้นตอนการเผาศพ มีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ดังนี้
ค่าเมรุ : ส่วนใหญ่จะเก็บค่าบำรุงประมาณ 500 - 1,000 บาท
ค่าเผาศพ : การเผาแบบเตาถ่านทางวัดจะเรียกค่าบำรุงจากเจ้าภาพประมาณ 250 - 300 บาท ส่วนการเผาด้วยน้ำมันจะมีราคาแพงกว่า คือ 500 - 1,000 บาท
ค่าบริการ : สัปเหร่อวัดมักจะได้รับจากเจ้าภาพ คิดเฉลี่ยวันละ 50 บาท ส่วนในวันเผา ผู้ที่ทำหน้าที่ในการเผาศพ จะมีรายได้ประมาณ 300 บาท
ค่าธรณีสงฆ์ : วัดส่วนใหญ่จะมีบริการ "โกดังเก็บศพ" ภายในบริเวณวัด โดยเสียค่าบำรุงวัด 500 - 1,000 บาท
นอกจากค่าใช้จ่ายในส่วนที่เกี่ยวกับวัดแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ แยกพิจารณาออกเป็น 4 รายการ หลัก ๆ คือ
1. ค่าโลงศพ : ราคาค่าโลงศพจะแตกต่างกันออกไป โดยมีราคาต่ำสุดประมาณ 3,000 บาท และสูงสุดถึง 200,000 บาท
2. ค่าดอกไม้ประดับหีบศพและเมรุ : ค่าใช้จ่ายจะแตกต่างกันตามประเภทของดอกไม้ ซึ่งมีราคาประมาณ 1,500 - 5,000 บาท
3. ค่าอาหาร : ค่าใช้จ่ายมักจะตกอยู่ในวงเงินประมาณ 1,000 - 3,000บาทต่อคืน
4. ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด : ได้แก่ ค่าสายสิญจน์ ผ้าขาว ค่าปัจจัยถวายพระในแต่ละคืนที่สวดอภิธรรม ค่าดอกไม้จันทน์ รวมทั้งค่าของระลึกในงานเผาศพ รวมเบ็ดเสร็จเฉลี่ยประมาณ 1,000 - 5,000 บาท
โดยสรุป ค่าใช้จ่ายในการประกอบพิธีศพ 1 ราย ในวัดไทย (สวดพระอภิธรรมและเผาศพ) มีประมาณค่าใช้จ่ายในอัตรา ดังนี้
* การตั้งสวดพระอภิธรรม 3 วัน... ค่าใช้จ่ายอย่างต่ำประมาณ 12,000 - 15,000 บาท
* การตั้งสวดพระอภิธรรม 5 วัน ... ค่าใช้จ่ายอย่างต่ำประมาณ 16,000 - 20,000 บาท
* การตั้งสวดพระอภิธรรม 7 วัน ... ค่าใช้จ่ายอย่างต่ำประมาณ 20,000 บาทขึ้นไป
สัปเหร่อ
สัปเหร่อในอดีต มักจะตั้งมั่นอยู่ในศีล ยึดถือธรรมะเป็นหลักในการดำเนินชีวิต โดยเชื่อกันว่าสัปเหร่อมักมี "คาถา" พิเศษสำหรับป้องกันตัว หรือสยบวิญญาณร้าย
สำหรับด้านรายได้ของสัปเหร่อนั้น สัปเหร่อวัดเล็กๆ จะมีรายได้ประมาณ 1,500 -3,000 บาทต่อเดือน แตกต่างจากสัปเหร่อวัดกลางกรุงที่มีรายได้ค่อนข้างดี เช่น วัดขนาดใหญ่ในเขตกรุงเทพฯ ย่านหัวลำโพง หากมีญาติผู้ตายตั้งสวดพระอภิธรรมเป็นระยะเวลา 2 วัน สัปเหร่อจะมีรายได้ถึง 1,200 บาท/งาน และถ้าตั้งสวดพระอภิธรรม 3 วัน สัปเหร่อจะมีรายได้ 1,500 บาท/งาน ถ้าเดือนไหนงานชุก สัปเหร่อตามวัดขนาดใหญ่ในกรุง อาจมีรายได้ประมาณ 10,000 บาทต่อเดือน
หน้าที่ของสัปเหร่อนั้น เริ่มต้นตั้งแต่การเคลื่อนย้ายศพเข้าไปในบริเวณวัด จนกระทั่งส่งศพขึ้นบนเตาเผา เผา และเก็บกระดูกและเถ้า ซึ่งเป็นงานบริการที่ค่อนข้างหนักและเหนื่อย.
Create Date : 15 กรกฎาคม 2549 |
Last Update : 15 กรกฎาคม 2549 22:33:21 น. |
|
51 comments
|
Counter : 4866 Pageviews. |
|
|
|
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของ "ธุรกิจหีบศพ" จึงได้สำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบธุรกิจในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล สรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้
ธุรกิจมีมูลค่ากว่า 1,400 ล้านบาท
จากจำนวนคนตายของคนไทย ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เมื่อพิจารณาราคาขายโลงศพโดยเฉลี่ยประมาณ 4,500 บาทต่อโลง ธุรกิจขายโลงศพแต่ละปี จึงก่อให้เกิดรายได้ที่มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1,400 ล้านบาท ธุรกิจขายโลงศพจึงเป็นธุรกิจที่ทำได้ทุกจังหวัดทุกอำเภอ
หีบศพจีนไล่กวดหีบศพไทย
ร้านขายหีบศพร้อยละ 93 มักนิยมขายหีบศพมากกว่า 2 ประเภทขึ้นไป (รูปแบบหีบศพในปัจจุบัน ได้แก่ หีบศพไทย หีบศพจีน และหีบศพคริสต์ ) ส่วนที่เหลืออีกเพียงร้อยละ 7 สนใจที่จะขายเฉพาะหีบศพไทยเพียงอย่างเดียว
และเป็นไปตามความคาดหมาย หีบศพไทยยังคงครองแชมป์ขวัญใจ "ญาติผู้ตาย" โดยเหล่าบรรดาญาติๆจะหาซื้อไปบรรจุผู้เสียชีวิตถึงร้อยละ 38.9 แต่อย่างไรก็ตาม หีบศพจีน ตอนนี้ก็ไล่กวดตามมาติดๆด้วยสัดส่วนร้อยละ 36.1 ที่เหลือเป็นหีบศพแบบอื่นๆ
เป็นธุรกิจในครัวเรือนทั้งขายและผลิต
ร้านขายหีบศพในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเกินกว่าครึ่ง (ร้อยละ 66.7) จะเป็นร้านที่ผลิตและขายเอง โดยนอกจากจะมีโลงวางขายไว้หน้าร้านแล้ว ยังมีการผลิตโดยมีลูกจ้างอยู่ภายในร้านเองด้วย ส่วนที่เหลืออีกราวร้อยละ 33.3 จัดเป็นร้านค้าปลีก ซึ่งไม่มีการผลิตแต่จะรับสินค้าจากผู้ผลิตรายใหญ่มาขาย ส่วนเงินลงทุนจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้ง และขนาดของหน้าร้านเป็นหลัก
วัสดุที่ใช้ในการผลิต
วัสดุยอดฮิตได้แก่ "ไม้" โดยจะมีผู้นำไม้ยาง มาใช้ในการผลิตโลงศพถึงร้อยละ 35 และท่ามกลางกระแสต่อต้านการทำลายสิ่งแวดล้อมและการรณรงค์อนุรักษ์ป่าไม้ ทำให้วัสดุไม้แปรรูป เช่น ไม้อัด เข้ามาแทรกตลาดได้ โดยมีการใช้ไม้อัดผลิตโลงศพถึงร้อยละ 20
แต่กระนั้นก็ตาม ถ้าญาติผู้ตายต้องการจะได้โลงศพที่ทำจากเนื้อไม้ชั้นดีที่มีความสวยงามและมีความทนทาน อาทิเช่น ไม้สัก ผู้ผลิตก็จะเอาใจลูกค้าโดยนำมาประกอบเป็นโลงศพถึงร้อยละ 17.5 และสำหรับโลงศพของชาวจีน จะนิยมผลิตด้วย ไม้จำปา ก็มีอยู่ถึงร้อยละ 12.5 ส่วนที่เหลืออีกราวร้อยละ 15 ผู้ผลิตนิยมทำโลงศพจาก ไม้ทุเรียน ไม้งิ้ว และไม้ขนุน
ความเหมือนที่แตกต่าง
จากการสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบธุรกิจขายหีบศพ พบว่าร้อยละ 85.7 มีหีบศพที่มีรูปแบบไม่แตกต่างจากร้านอื่น ๆ ทั้งนี้โดยพื้นฐานของการทำหีบศพนั้น ร้านแต่ละร้านมักจะผลิตรูปทรงสี่เหลี่ยมคล้ายคลึงกัน จะแตกต่างกันเพียงลวดลายไทยที่วิจิตรงดงามประดับข้างหีบศพ
ผู้ประกอบธุรกิจขายหีบศพร้อยละ 14.3 ต่างตอบว่าร้านของตนมีรูปแบบหีบศพ ที่แตกต่างจากร้านอื่นๆ โดยจะรับทำหีบศพตามที่ลูกค้าสั่งให้ทำ และมักจะเป็นหีบศพที่มีราคาค่อนข้างแพง อาทิเช่น หีบมุก ที่มีราคาอยู่ในช่วง 120,000 - 200,000 บาท
และด้วยวิวัฒนาการที่ก้าวหน้า ผู้ผลิตบางรายได้ค้นคิด "โลงศพติดแอร์" ขึ้นมาขายด้วย ซึ่งตัวโลงจะทำด้วยเหล็กสแตนเลส ภายในโลงจะมีเครื่องควบคุมอุณหภูมิ ซึ่งสามารถทำให้ต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียสได้ ราคาอยู่ในระหว่าง 30,000 - 60,000 บาท มักจะนิยมใช้ในแถบภาคกลาง เช่นแถบจังหวัดอยุธยา และพิจิตร เป็นต้น
ขนาดของร่างกาย
หีบศพไทยโดยทั่วไป จะมีความยาวมาตรฐาน 1.80 เมตร และมีความกว้างตั้งแต่ 18 นิ้ว 20 นิ้ว และ 22 นิ้ว แต่ถ้าต้องการความกว้างมากกว่า 22 นิ้ว ญาติผู้ตายจะต้องสั่งทำเป็นพิเศษ โดยราคาก็จะเพิ่มสูงขึ้นกว่าโลงศพทั่วไป ทั้งนี้ราคาของโลงศพจะสูงขึ้น ขึ้นอยู่กับชนิดของไม้และลวดลายที่ปรากฏอยู่ข้างโลงศพด้วย
จากการสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบธุรกิจ พบว่าโลงศพประเภทไม้ยางธรรมดาไม่มีลวดลาย ราคาเฉลี่ยถูกสุด 2,500 บาท ส่วนโลงศพที่มีราคาแพง ได้แก่ โลงศพประดับมุกและโลงศพติดแอร์ ซึ่งมีราคาสูงถึง 200,000 บาทก็มี
แต่โดยส่วนใหญ่ญาติมิตรของผู้ตายจะนิยมซื้อโลงศพที่มีราคาเฉลี่ย 4,500 บาท ซึ่งเป็นหีบศพประเภทมีลวดลายไทย
การบริจาคโลงศพ
คราวใดที่คนไทยเจ็บป่วยหนัก มีเคราะห์ร้าย หรือมีความฝันไม่สู้ดี คนไทยมักจะนิยม "บริจาคโลงศพ" โดยร้านในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลกว่าร้อยละ 86.7 จะมีบริการรับบริจาคโลงศพ สำหรับศพที่ไม่มีญาติหรือศพที่ญาติพี่น้องไม่มีเงินเพียงพอ ทั้งนี้ทางร้านจะโทร.แจ้งให้ทราบและถ่ายเอกสารของผู้ตายมามอบให้ผู้บริจาค เพื่อแสดงถึงความจริงใจ
บริการอื่นๆที่เพิ่มยอดเงิน
นอกจากการขายโลงศพแล้ว บางร้านยังมีบริการอื่นๆ เช่น ขายอุปกรณ์เครื่องใช้ที่ใช้ในงานศพ ขายพวงหรีด รับจัดดอกไม้หน้างานศพ มีบริการรถตู้ให้เช่า รับทำหน้าที่ในการเชิญศพ การเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ศพ บริการทำพิธีกงเต็ก เป็นต้น.