ไปรษณีย์
ไปรษณีย์
การเขียนจดหมาย และการส่งเอกสาร คงจะไม่มีวันหมดไปจากโลกใบนี้ง่ายๆ เพราะในจดหมายจะมีลายมือและมีลายเซ็น เป็นสิ่งสวยงามที่สื่ออีเล็กทรอนิกส์ ยังทำไม่ได้ ..ยิ่งกว่านั้นการส่งเอกสารถึงกัน จะเป็นจากคนถึงองค์กร จากองค์กรถึงคน จากองค์กรถึงองค์กร ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ นับเป็นการส่งหลักฐานทางกฎหมายถึงต่อกันวิธีหนึ่ง
ไปรษณีย์ จึงเป็นการสื่อสารที่ยังจะไม่หมดไปจากโลกนี้ง่ายๆ ตราบใดที่คนและองค์กรยังมีเอกสารที่จะส่งถึงกัน
ไปรษณีย์เกิดขึ้นในเมืองไทยเมื่อไหร่?
หลายคนอาจจะรู้คำตอบนี้แล้ว ..ว่าเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 คือประมาณเมื่อ 128 ปีที่แล้ว
แต่คงจะมีไม่มากคนนัก ที่จะรู้รายละเอียดว่า ...ไปรษณีย์เกิดขึ้นได้อย่างไร?
ลองติดตาม
ก่อนสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่มีองค์กรใดไม่ว่าจะเป็นของทางราชการหรือของเอกชน รับนำจดหมายจากบุคคลหนึ่งไปส่งบุคคลหนึ่ง ...การส่งข่าวสารของประชาชนในสมัยนั้น เป็นไปในทำนองบอกฝากกันด้วยวาจา หรือฝากจดหมายไปกับบุคคลผู้เดินหนังสือราชการหรือพ่อค้า
การรับฝากจดหมายหรือข่าวสารทำนองนี้ เป็นการรับฝากส่วนตัว ฐานคนที่รู้จักคุ้นเคยกัน ไม่มีรูปแบบเป็นระบบ หรือดำเนินการแบบเป็นการค้า รับค่าบริการตอบแทนอย่างเปิดเผย
ในปีพ.ศ.2418 ..มีพระบรมวงศานุวงศ์ประกอบด้วยเจ้านาย 11 พระองค์ ภายใต้การนำของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ฯ กรมหลวงภาณุพันธุวงศ์วรเดช (หากคลิกตรงข้อความ เชิญอ่านความคิดเห็นที่18) ทรงร่วมกันออกหนังสือรายวันฉบับหนึ่ง เพื่ออ่านกันในหมู่เจ้านาย ให้ชื่อภาษาอังกฤษว่า COURT และให้ชื่อภาษาไทยว่า ข่าวราชการ
หมายเหตุ จากจขบ.1 : หากท่านใด ต้องการจะอ่านพระนิพนธ์ ในสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ฯ กรมหลวงภาณุพันธุวงศ์วรเดช ..หนังสือชื่อ ชีวิวัฒน์ ตอน เมืองตานี เชิญอ่านที่นี่
เมื่อหนังสือ ข่าวราชการ พิมพ์ออกแจกจ่ายแก่บรรดาสมาชิกได้ไม่นานนัก ก็ปรากฏว่ามีผู้สนใจมาทูลขอรับหนังสือเป็นจำนวนมาก เป็นเหตุให้ต้องพิมพ์เพิ่มขึ้นมากกว่าที่ได้ทรงคาดหมายไว้
ในขั้นแรก สมาชิกผู้รับหนังสือ จะต้องไปรับหนังสือเอง ที่สำนักงาน ณ หอพิทยาคม ในพระบรมมหาราชวัง ..แต่เนื่องจากผู้รับไม่ไปรับหนังสือตามกำหนด จึงเป็นเหตุให้สำนักพิมพ์ต้องเก็บหนังสือไว้คอยจ่ายเป็นจำนวนมาก เกิดความไม่สะดวกและเปลืองสถานที่เก็บหนังสือ อันเป็นสาเหตุข้อหนึ่งที่ก่อให้เกิดแนวคิดการไปรษณีย์ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5
เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่บรรดาสมาชิกผู้รับหนังสือ และไม่เปลืองสถานที่เก็บ สมเด็จเจ้าฟ้าภาณุรังสีสว่างวงศ์ฯ จึงทรงโปรดให้มีบุรุษเดินหนังสือสำหรับการส่งหนังสือ ข่าวราชการ ขึ้น.. เรียกว่า โปสต์แมน และทรงโปรดให้มีตั๋ว แสตมป์ สำหรับใช้เพื่อแสดงว่าได้เสียค่าเดินหนังสือแล้ว
แสตมป์ที่ใช้ในครั้งนั้น.. อาจนับเป็นตราไปรษณียากรที่ประเทศไทยมีขึ้นเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ (แต่สุดท้าย ไม่นับ) เพราะนอกจากจะใช้สำหรับส่งหนังสือข่าวราชการ แล้ว ..สมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์นี้ ยังได้ทรงอนุญาตให้สมาชิกผู้รับหนังสือ ซื้อตั๋ว แสตมป์ สำหรับปิดลงบนจดหมายอื่นๆของตน เมื่อต้องการจะให้บุรุษเดินหนังสือ ช่วยเดินจดหมายให้ โดยคิดราคาค่าแสตมป์ดวงละ 1 อัฐ
หลักเกณฑ์การคิดค่าส่งจดหมายมีดังนี้ ..จดหมายถึงผู้รับ อยู่ในเขตกำแพงเมือง ให้ปิดแสตมป์หนึ่งดวง เท่ากับ 1 อัฐ ..จดหมายถึงผู้รับที่อยู่นอกกำแพงเมือง ให้ปิดแสตมป์สองดวง เท่ากับ 2 อัฐ
แสตมป์นี้ พิมพ์มาจากต่างประเทศ มีขนาด18 x 21ม.ม.ภายในมีลวดลายและมีภาพหลายแบบ เช่น ภาพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, ภาพพระบรมฉายาลักษณ์พระบรมราชินีนาถ และภาพพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง ..แต่แสตมป์นี้ ยังไม่มีข้อความและไม่มีตัวเลขราคาปรากฏอยู่บนแสตมป์แบบแสตมป์ทั่วไป
ภาพแสตมป์ในราชสำนัก ในสมัยนั้น
หนังสือ ข่าวราชการ ซึ่งถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2418 แต่ต้องล้มเลิกไป เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2419 คืออยู่ได้ประมาณ 1 ปี....การหยุดทำหนังสือ ข่าวราชการ นี้ ทำให้บริการไปรษณีย์แบบชนิดไม่เป็นทางการ พลอยหยุดชะงักไปด้วย
ปีพ.ศ.2423 การไปรษณีย์ถือกำเนิด
4ปี หลังจากที่หนังสือ ข่าวราชการ หยุดทำ.. ที่สุด การไปรษณีย์แบบชนิดเป็นทางการ ก็ถือกำเนิดขึ้นในปีพ.ศ.2423 ..โดย จมื่นเสมอใจราชหัวหมื่นมหาดเล็กเวรสิทธิ์ ผู้เคยเห็นกิจการไปรษณีย์ในต่างประเทศ ตระหนักถึงคุณประโยชน์ของการไปรษณีย์ที่จะมีต่อประเทศ จึงทำหนังสือกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถวายคำแนะนำให้เปิดบริการไปรษณีย์ขึ้นเมื่อวันที่ 23 กันยายน พ.ศ.2423 โดยได้เสนอโครงการให้ทรงทราบถึงผลดีและค่าใช้จ่ายโดยประมาณ ตลอดจนวิธีดำเนินการตามแบบแผนที่ได้เคยเห็นและศึกษาจากต่างประเทศ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริเห็นชอบ จึงทรงแต่งตั้งให้ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ฯ กรมหลวงภาณุพันธุวงศ์วรเดช ผู้ทรงมีประสบการณ์การจัดส่งหนังสือ ข่าวราชการ ดำรงตำแหน่ง ผู้สำเร็จราชการกรมไปรษณีย์
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ฯ กรมหลวงภาณุพันธุวงศ์วรเดช
หมายเหตุ จากจขบ.2 : เชิญอ่านพระประวัติ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ฯ กรมหลวงภาณุพันธุวงศ์วรเดช หรือที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันดีในชื่อ สมเด็จวังบูรพา เพราะพระองค์ได้รับพระราชทาน วังบูรพาภิรมย์ ให้เป็นที่ประทับ ...สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอฯ พระองค์นี้ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เป็นที่ปรึกษาของผู้สำเร็จราชการแผ่นดินต่างพระองค์ ในระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินประพาส ทั้งในและต่างประเทศ หรือเมื่อทรงพระประชวร
เมื่อสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภาณุรังสีสว่างวงศ์ฯ กรมหลวงภาณุพันธุวงศ์วรเดช ได้ทรงวางโครงการและเตรียมการให้บริการไปรษณีย์ไว้พร้อมแล้ว ก็ได้ประกาศเปิดรับฝากส่งจดหมายและหนังสือในเขตพระนครและธนบุรี เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ.2426 โดยมีที่ทำการตั้งอยู่ ณ อาคารใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตอนปากคลองโอ่งอ่าง ด้านทิศเหนือ ..อาคารนี้ เดิมทีเป็นของพระปรีชากลการ (สำอางค์ อมาตยกุล) เจ้าเมืองปราจีนบุรี ซึ่งได้โอนมาเป็นของหลวง ..แต่ปัจจุบันน่าเสียดาย อาคารนี้ถูกรื้อไปแล้ว เพื่อใช้สถานที่สร้างสะพานคู่ขนานกับสะพานพุทธ ..และที่ทำการไปรษณีย์แห่งแรกนี้ ได้ใช้เป็นที่ทำการไปรษณีย์จังหวัดพระนครด้วย เรียกชื่ออาคารว่า ไปรษณียาคาร
ไปรษณียาคาร
เขตจ่ายไปรษณีย์ เมื่อปีพ.ศ.2426 มีตึก ไปรษณียาคาร เป็นศูนย์กลางจ่ายทั้ง 4 ด้าน ทิศเหนือ ถึงสามเสน / ทิศตะวันออก ถึงสระปทุม / ทิศใต้ ถึงบางคอแหลม / ทิศตะวันตก ถึงตลาดพลู
แสตมป์ชุดแรก ชื่อชุด โสฬศ
วันแรกจำหน่าย 4 สิงหาคม 2426
เป็นภาพพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผินพระพักตร์เบื้องซ้าย ภายในกรอบรูปไข่
มีชนิดราคา 1 โสฬส (สีคราม), 1 อัฐ (สีชมพูแก่), และ 1 เสี้ยว (สีแสด) สามชนิดนี้ มีขนาด 28 x 23 ม.ม. มีตัวเลขและมีข้อความบนแสตมป์
ส่วนชนิดราคา 1 ซีก (สีเหลืองอ่อน), 1 สลึง (สีเหลืองแก่), และ1 เฟื้อง (สีแดงชาด แต่ไม่ได้นำออกใช้ เพราะจัดส่งมาไม่ทัน) มีขนาด 25 x 22 ม.ม. จะมีเพียงข้อความ ไม่มีตัวเลข
ผู้ออกแบบ กรมไปรษณีย์โทรเลข จัดพิมพ์ที่ บริษัท Waterlow and sons ltd ประเทศอังกฤษ
แสตมป์ชุดที่ 2 ชื่อชุด พระบรมฉายาลัษณ์ ร.5
วันแรกจำหน่าย 1 เมษายน พ.ศ. 2430
ภาพพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์พระพักตร์ตรง ภายในกรอบวงกลม มีชนิดราคา 1 อัฐ (สีเขียว), 2 อัฐ (สีเขียวกับชมพู), 3 อัฐ (สีเขียวกับน้ำเงิน), 4 อัฐ (สีเขียวกับสีแสด), 8 อัฐ (สีเขียวกับสีเหลือง), 12 อัฐ (สีม่วงกับชมพู), 24 อัฐ (สีม่วงกับน้ำเงิน), และ 64 อัฐ (สีม่วงกับน้ำตาล) ทุกดวงมีขนาด 24 x 20 ½ มม.
ผู้ออกแบบ บริษัท เดอ ลารู จำกัด, ลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ในปีพ.ศ.2441 เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ กราบบังคมทูลเสนอความเห็นว่า ราชการของกรมไปรษณีย์และราชการของกรมโทรเลข ซึ่งตั้งขึ้นมาก่อนกรมไปรษณีย์นั้น เป็นงานในด้านการสื่อสารด้วยกัน ควรจะรวมเป็นหน่วยราชการเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการดำเนินงาน
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นเป็นการสมควร จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้รวมกรมทั้งสองเข้าด้วยกัน เรียกว่า กรมไปรษณีย์โทรเลข
กรมไปรษณีย์โทรเลข ตั้งอยู่ ณ ไปรษณียาคาร จนกระทั่งถึงปีพ.ศ.2470 จึงได้ย้ายไปใช้อาคารและที่ดินริมถนนเจริญกรุงเป็นที่ทำการ(บริเวณนี้เดิมเป็นที่ตั้งสถานทูตอังกฤษ) ..ณ ที่ทำการแห่งใหม่นี้ใช้งานอยู่ 12 ปี พอถึงปีพ.ศ.2482 ก็ได้ปรับปรุงอาคารโดยรื้ออาคารออก แล้วสร้างอาคารหลังใหม่เป็นที่ทำการกรมไปรษณีย์โทรเลข เรียกกันโดยทั่วไปว่า ที่ทำการไปรษณีย์กลาง
ในบรรดาอาคารเก่าที่รื้อลงนั้น มีอาคารเล็กแฝดสองหลัง ซึ่งทำเป็นซุ้มประตูของสถานทูตอังกฤษ ด้านติดแม่น้ำเจ้าพระยา รวมอยู่ด้วย ..อาคารเล็กแฝดที่กล่าวถึงนี้ สถานทูตอังกฤษเคยใช้เป็นที่รับฝากจดหมายและหนังสือ ซึ่งทางราชการและประชาชนนำไปฝากเพื่อส่งไปยังต่างประเทศ
มีใครเคยเห็นแบบฟอร์มส่งโทรเลขบ้าง?
เดี๋ยวนี้ เกือบจะไม่มีใครส่งโทรเลขกันแล้ว เพราะ..โทรศัพท์มือถือเอย ..SMSเอย ...อีเมล์เอย ประชาชนชาวไทยทุกเพศทุกวัยทุกอาชีพและทุกตำบล ใช้กันจนถือเป็นเรื่องธรรมดา.. เดี๋ยวนี้จะมีส่งโทรเลขกันบ้างก็เพื่อการทวงหนี้เท่านั้น เพราะผู้รับไม่ยอมรับโทรศัพท์หรือSMS
หมายเหตุ จากจขบ.3 : เพราะจำนวนผู้ใช้บริการโทรเลขมีน้อยมาก ประมาณปีละ 100 ครั้ง ..ในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2551 ที่จะถึงนี้ ...การสื่อสารแห่งประเทศไทยจะถือเป็นวันดีเดย์ ยกเลิกการใช้โทรเลข ในประทศไทย ปิดฉากการให้บริการโทรเลขที่เคยมีให้บริการมาตั้งแต่ปีพ.ศ.2418 (มีมาก่อนไปรษณีย์ ซึ่งไปรษณีย์เริ่มให้บริการในปีพ.ศ.2423) ..สิริรวมอายุโทรเลข 133 ปี
ใครอยากจะสร้างประวัติศาสตร์ ลองไปส่งโทรเลขถึงตัวเองดูซิ ..เอาไว้ให้ลูกหลานดู ..แต่ต้องก่อนวันที่ 1 พฤษภาคม นะครับ.. เพราะวันที่ 1 พฤษภาคมนั้น เขาหยุดวันแรงงาน
เมื่อแรกที่ตั้งกรมไปรษณีย์โทรเลขขึ้นนั้น.. ทางราชการได้จ้างชาวยุโรปเข้ามาปฏิบัติงานและอบรมวิชาการ ให้แก่ข้าราชการไทยด้วย ..รวมทั้งได้เปิดโรงเรียนสอนวิชาการไปรษณีย์โทรเลขขึ้นเมื่อปีพ.ศ.2472 ...ในระยะต่อมา เมื่อโรงเรียนไปรษณีย์โทรเลข ผลิตผู้ชำนาญปฏิบัติงานได้แล้ว การจ้างชาวยุโรปมาเป็นเจ้าหน้าที่ จึงค่อยๆน้อยลงเป็นลำดับจนหมดไป
ปีพ.ศ.2426 มีบ้านเลขที่บ้าน
กรมไปรษณีย์โทรเลข ได้รับวิวัฒนาการตามแนวทางที่ เจ้าหมื่นเสมอใจราช กราบบังคมทูลไว้ คือเปิดกิจการไปรษณีย์ขึ้นในบางท้องที่ของจังหวัดพระนครก่อน แล้วค่อยๆขยายออกไปยังหัวเมือง ...จัดให้เคหสถานบ้านเรือนมีเลขหมายประจำ เพื่อการนำส่งไปรษณียภัณฑ์ได้ถูกต้อง ..จัดทำระเบียบข้อบังคับไปรษณีย์ ..พิมพ์ตราไปรษณียากรขึ้นสำหรับใช้แทนค่าธรรมเนียม ..และสร้างเครื่องมือ เครื่องใช้ เช่น เครื่องชั่งน้ำหนัก และตู้ไปรษณีย์ เป็นต้น
บุรุษไปรษณีย์ ปีพ.ศ.2426
เมื่อบริการไปรษณีย์ได้รับการจัดตั้งขึ้นในจังหวัดพระนคร(ปีพ.ศ.2426) ..ในปีพ.ศ.2428 ทางราชการจึงได้เปิดที่ทำการไปรษณีย์ในต่างจังหวัดขึ้นที่ จังหวัดสมุทรปราการ และ จังหวัดนครเขื่อนขัณฑ์(พระประแดง)..และในจังหวัดอื่นๆในระยะต่อมา เมื่อพิจารณาเห็นสมควร
และในปีพ.ศ.2448 กรมไปรษณีย์โทรเลข จึงได้ทำสัญญาตกลงกับกรมรถไฟหลวง(การรถไฟแห่งประเทศไทย) เปิดการไปรษณีย์โทรเลขขึ้นตามสถานีรถไฟ โดยเริ่มด้วยทางสายกรุงเทพฯ-นครราชสีมาในปีพ.ศ.2449 ก่อน ..แล้วเปิดตามสถานีในทางรถไฟสายอื่นๆต่อไปทุกสาย
ที่ทำการไปรษณีย์สถานีรถไฟ มีส่วนช่วยให้การไปรษณีย์ได้แพร่หลายกว้างขวางออกไปตามชนบทต่างๆที่มีการเดินรถไฟ ..และในปีพ.ศ.2478 ได้เปิดที่ทำการไปรษณีย์ประจำรถด่วนขึ้น ในทางรถไฟสายใต้เป็นขบวนแรก ..ปัจจุบันนี้ มีที่ทำการไปรษณีย์รถด่วนประจำขบวนรถด่วนทุกสาย
บุรุษไปรษณีย์ ปีพ.ศ.2478
แสตมป์ชุดที่ 6 ชื่อชุด ครุธพาหนะ (แปลกดี ครุธ แต่ก่อนสะกดไม่เหมือนปัจจุบัน)
วันแรกจำหน่าย 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2453
ภาพรูปครุธพาหนะเชิญกรอบพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ รัชกาลที่ 5 ผินพระพักตร์เบื้องซ้าย
ชนิดราคา 2 สตางค์ (พื้นสีเหลืองแก่ วงในสีเขียว), 3 สตางค์ (พื้นและวงในสีเขียว), 6 สตางค์ (พื้นและวงในสีแดง), 12 สตางค์ (พื้นสีดำวงในสีเหลืองอ่อน), 14 สตางค์ (พื้นและวงในสีน้ำเงิน), และ 28 สตางค์ (พื้นและวงในสีน้ำตาลแก่) ทุกดวง มีขนาด 30 x 23 มม.
แสตมป์ชุดที่ 22 ชื่อชุด พระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลปัจจุบัน (ร.9) (สยาม) (ชุด 1)
วันแรกจำหน่าย 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490
ภาพพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลปัจจุบัน( พระบรมฉายาลักษณ์ ร.9 บนแสตมป์ไทย เป็นครั้งแรก) ชนิดราคา 5 สตางค์ (สีม่วง), 10 สตางค์ (สีแดง), 20 สตางค์ (สีน้ำตาลและสีม่วง), 50 สตางค์ (สีสมออ่อน), 1 บาท (สีม่วงและสีน้ำเงิน), 2 บาท (สีน้ำเงินและสีเขียว), 3 บาท (สีแสดและสีดำ), 5 บาท (สีเขียวแก่และสีแสด), 10 บาท (สีน้ำตาลและสีม่วง), และ 20 บาท (สีดำและสีชมพู)
ราคาเป็นสตางค์ มีขนาด 28 x 23 มม., ราคาเป็นบาท มีขนาด 30 x 25 มม. ผู้ออกแบบ กรมไปรษณีย์โทรเลข
เพื่อขยายกิจการไปรษณีย์โทรเลขในท้องถิ่นชนบทให้แพร่หลายยิ่งขึ้น ในปีพ.ศ.2470 กรมไปรษณีย์โทรเลข จึงได้เริ่มให้เอกชนรับอนุญาตตั้งที่ทำการไปรษณีย์โทรเลฃขึ้น เรียกว่า ที่ทำการไปรษณีย์อนุญาตเอกชน
ที่ทำการไปรษณีย์ประเภทนี้ ได้รับอนุญาตให้ตั้งขึ้น ทั้งในจังหวัดพระนครและต่างจังหวัด แต่โดยมากมักจะตั้งอยู่ตามชุมชนใหญ่ในตัวจังหวัด ไม่แพร่หลายออกไปในชนบท ..เพราะผู้รับอนุญาตตั้ง ต้องการจะหารายได้เอากำไร จึงทำให้ประชาชนในท้องถิ่นห่างไกลจากจังหวัดและสถานีรถไฟ ไม่ได้รับบริการไปรษณีย์โทรเลข ได้ดีเท่าที่ควร
ในปีพ.ศ.2479 กรมไปรษณีย์โทรเลข ได้พิจารณาเห็นสมควรจัดตั้งที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขตามอำเภอบางแห่ง ที่พอจะดำเนินการได้ โดยทำความตกลงกับกระทรวงมหาดไทย เรียกว่า ที่ทำการไปรษณีย์อนุญาตอำเภอ
การเปิดที่ทำการไปรษณีย์อนุญาตอำเภอนี้ ช่วยให้กรมไปรษณีย์โทรเลขให้บริการแก่ประชาชนในประเทศได้มากขึ้น และช่วยแบ่งเบาภาระด้านงบประมาณแผ่นดินอีกทางหนึ่งด้วย ..เนื่องจากใช้สถานที่และอุปกรณ์ของที่ว่าการอำเภอ เป็นที่ทำการไปรษณีย์โทรเลข ..เพียงแต่จ่ายค่าตอบแทนจำนวนเล็กน้อย ให้แก่นายอำเภอ ในฐานะนายไปรษณีย์อนุญาตอำเภอ
บุรุษไปรษณีย์ ปีพ.ศ.2493
แสตมป์ชุดที่ 33 ชื่อชุด ที่ระลึกฉลอง 25 พุทธศตวรรษ วันแรกจำหน่าย 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2500
ภาพธรรมจักรกับกวาง, ภาพธรรมจักรกับนิ้วพระหัตถ์ และภาพธรรมจักรกับพระปฐมเจดีย์ ชนิดราคา 5 สตางค์ (สีน้ำตาลแก่), 10 สตางค์ (สีม่วงแดงอ่อน), 15 สตางค์ (สีเขียว), 20 สตางค์ (สีส้ม), 25 สตางค์ (สีน้ำตาลอ่อน), 50 สตางค์ (สีชมพู), 2 บาท (สีน้ำตาลอ่อน), 1.25 บาท (สีสมอ), และ 2 บาท (สีม่วงแดงแก่) มีขนาด 32 x 22 มม. ผู้ออกแบบ กรมศิลปากร
ยิ่งกว่านั้น ในปีพ.ศ.2505 ทางการไปรษณีย์ได้พิจารณาขยายบริการออกไปอีก เพื่อให้ประชาชนตามตำบลและหมู่บ้าน มีได้โอกาสใช้บริการไปรษณีย์กันอย่างทั่วถึงและสะดวกรวดเร็ว โดยการจัดตั้ง ที่รับส่งไปรษณีย์ตำบล และที่รับส่งไปรษณีย์สุขาภิบาล ขึ้น ..โดยทำความตกลงร่วมกันระหว่างกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงคมนาคม ..กำหนดให้นายอำเภอหรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ เป็นผู้พิจารณาแต่งตั้งกำนันเป็นผู้รับส่งไปรษณีย์ตำบลโดยตำแหน่ง ..และให้ประธานกรรมการสุขาภิบาลแต่งตั้งพนักงานสุขาภิบาลชาย เป็นผู้รับส่งไปรษณีย์สุขาภิบาล ..ใช้บ้านกำนันและสำนักงานสุขาภิบาลเป็นสถานที่ทำการ ..และจ่ายค่าตอบแทนให้แก่กำนันและพนักงานสุขาภิบาลนั้น
การไปรษณีย์เป็นบริการสาธารณะ จำเป็นต้องมีระเบียบข้อบังคับ เพื่อให้ประชาชนผู้ใช้บริการและเจ้าหน้าที่ทราบและถือปฏิบัติ ...เมื่อเปิดการไปรษณีย์โทรเลขได้ประมาณ 2 ปี รัฐบาลจึงได้ตรากฏหมายขึ้นในปีพ.ศ.2428 เรียกว่า พระราชบัญญัติการไปรษณีย์ไทย จุลศักราช 1248
ต่อมาในปีพ.ศ.2440 ได้ออกพระราชกำหนดไปรษณีย์ ร.ศ.116 (ยกเลิกพระราชบัญญัติฉบับปีพ.ศ.2428) และใช้พระราชกำหนดไปรษณีย์ ร.ศ.116 นี้ตลอดมา จนกระทั่งปรับปรุงใหม่ ออกเป็น พระราชบัญญัติไปรษณีย์ พุทธศักราช 2477 ..มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการ เป็นผู้รักษาตามพระราชบัญญัติ(ปัจจุบันรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติ) และพระราชบัญญัติฉบับนี้ ปัจจุบันก็ยังมีผลใช้บังคับอยู่
ด้านการไปรษณีย์ระหว่างประเทศ ประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นภาคีแห่งสหภาพสากลไปรษณีย์ ในปีพ.ศ.2428 ..อันเป็นปีเดียวกันกับที่ได้ตรากฎหมายเกี่ยวกับการไปรษณีย์ขึ้น ..และได้ส่งผู้แทนเข้าร่วมประชุมแก้ไขปรับปรุง อนุสัญญาสากลไปรษณีย์ตามสมัยประชุมเป็นลำดับมา
การไปรษณีย์ระหว่างประเทศตามอนุสัญญาสากลไปรษณีย์ มิได้มีแต่เฉพาะการส่งจดหมายอย่างเดียวเท่านั้น ..ยังมีการส่ง ไปรษณียบัตร สิ่งตีพิมพ์ พัสดุไปรษณีย์ บริการธนาณัติ และอื่นๆ ซึ่งกรมไปรษณีย์โทรเลขได้เปิดบริการเหล่านี้ให้แก่ประชาชน ตามระเบียบการที่กำหนดไว้ ในอนุสัญญาสากลไปรษณีย์ และข้อตกลงกับต่างประเทศ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ทรงส่งจดหมายลงตู้ไปรษณีย์ที่อเมริกา
การไปรษณีย์ของประเทศไทย ดำเนินกิจการในรูปแบบรัฐพาณิชย์โดยระบบราชการ มาตั้งแต่ปีพ.ศ.2423 รวมเป็นเวลา 93 ปี ความไม่คล่องตัวในด้านการบริหาร ทั้งด้านงบประมาณและบุคลากร ทำให้พัฒนาการด้านสื่อสารทั้งด้านการขยายและปรับปรุง ไม่สะดวกรวดเร็วเท่าที่ควร
ในปีพ.ศ.2516 กรมไปรษณีย์โทรเลขจึงขอปรับปรุงระบบการบริหารของกรมฯ ออกเป็นสองระดับ คือ งานระดับอำนวยการ ยังคงมีฐานะเป็นกรมไปรษณีย์โทรเลข หรือเป็นรัฐบาล ส่วนงานระดับปฏิบัติการด้านการสื่อสาร ให้จัดรูปงานเป็นรัฐวิสาหกิจ
บุรุษไปรษณีย์ ปีพ.ศ.2517
ในปีพ.ศ.2519 รัฐบาลที่มี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี มีประกาศใช้พระราชบัญญัติการสื่อสารแห่งประเทศไทย
ในปีพ.ศ.2520 การสื่อสารแห่งประเทศไทย ดำเนินงานในรูปแบบรัฐวิสาหกิจ
ในปีพ.ศ.2525 การไปรษณีย์ กำหนดใช้รหัสไปรษณีย์ เป็นครั้งแรก และเปิดให้บริการการรับประกันไปรษณียภัณฑ์ในประเทศ
และในปีพ.ศ.2529 จึงเปิดให้บริการ EMS ในประเทศ และย้ายสำนักงานใหญ่ฝ่ายบริหาร ของ การสื่อสารแห่งประเทศไทย ไปที่ถนนแจ้งวัฒนะ หลักสี่
บุรุษไปรษณีย์ ปีพ.ศ.2544
บุรุษไปรษณีย์ ปีพ.ศ.2549 (ยูนิฟอร์มของบุรุษไปรษณีย์ ในทุกวันนี้)
จากข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2549 ของเว๊ปไปรษณีย์ไทย..ปัจจุบันการไปรษณีย์ของไทย ดำเนินการโดยบริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ.2546 โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น 100% ทุนจดทะเบียน หนึ่งพันสองร้อยห้าสิบล้านบาทถ้วน
ประกอบธุรกิจด้านการรับ-ส่งข่าวสาร สิ่งของ บริการการเงิน และบริการตัวแทน มีพนักงานและลูกจ้างจำนวน 21,036 คน, มีที่ทำการไปรษณีย์ 1,177 แห่ง, ศูนย์ไปรษณีย์13 แห่ง, ที่ทำการไปรษณีย์อนุญาต 3,341 แห่ง, ร้านจำหน่ายตราไปรษณียากร 2,222 แห่ง, และตู้ไปรษณีย์จำนวน 36,756 ตู้
Create Date : 06 มีนาคม 2551 |
Last Update : 6 มีนาคม 2551 0:42:03 น. |
|
32 comments
|
Counter : 10815 Pageviews. |
|
|
|