ล่วงละเมิดทางเพศเด็ก
ล่วงละเมิดทางเพศเด็ก จากกรณีที่เด็กนักเรียนเล็กๆชายหญิงในสังกัดกรุงเทพมหานครถูกล่วงละเมิดทางเพศ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า "ทางกทม.เห็นความสำคัญในเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง จึงมอบหมายให้ นายอนันต์ ศิริภัสราภรณ์ รองปลัดกทม. เป็นประธานอนุกรรมการคุ้มครองเด็กกรุงเทพมหานคร ประสานงานโดยตรงกับ ศูนย์พิทักษ์เด็กและสตรี วชิรพยาบาล เพื่อให้คำปรึกษาแนะนำและเยียวยาด้านร่างกายและจิตใจแก่เด็ก พร้อมทั้งจัดหาสถานที่เรียนแห่งใหม่ที่เหมาะสม เพื่อเปลี่ยนสภาพแวดล้อมใหม่ ไม่ให้มีผลกระทบต่อจิตใจของเด็ก" "ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับครูที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำการล่วงละเมิดนั้น กทม.ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงระดับเขต ให้สอบสวนแล้วเสร็จภายใน 3 วัน และตั้งคณะกรรมการสอบสวนจากส่วนกลางเข้าไปสอบสวนอีกทางหนึ่ง โดยมี นายสมชาย จันทนะศิริ ผู้ช่วยปลัดกทม.เป็นประธาน" ด้าน นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองผู้ว่าฯกทม.กล่าวว่า ขณะนี้กทม.มี 6 มาตรการเข้ม ในการดูแลความปลอดภัยในโรงเรียนในสังกัดกทม. 1. ห้ามมิให้ครูทั้งหญิงและชายอยู่ตามลำพังกับเด็กสองต่อสองในที่รโหฐาน หากพบเห็นให้โรงเรียนลงโทษเข้มงวด 2. ให้โรงเรียนจัดครูเวรดูแลเด็กทั้งภาคเช้า กลางวัน เย็น และในเวลากลับบ้าน หากผู้ปกครองมารับเด็กล่าช้า ให้ครูเวรรีบติดต่อผู้ปกครอง และเมื่อผู้ปกครองมารับแล้วให้ลงบันทึกหลักฐาน เวลา และสาเหตุ โดยให้ผู้ปกครองลงลายมือชื่อไว้ด้วย 3. กรณีเด็กเล็กที่ยังดูแลตนเองไม่ได้ ให้โรงเรียนกำหนดมาตรการเข้มเป็นพิเศษ ในการรับ-ส่งเด็ก โดยกำหนดให้ผู้ที่จะมารับ-ส่งเด็กได้ ต้องเป็นผู้ที่ขึ้นทะเบียนไว้กับโรง เรียน และต้องแสดงบัตรที่โรงเรียนออกให้ทุกครั้งเมื่อมารับเด็ก 4. โรงเรียนที่มีทางเข้า-ออกที่เป็นทางที่ลึก หรือเป็นที่โล่ง เปลี่ยว ให้จัดครูประ จำอยู่ตามจุดที่เห็นสมควร และจัดให้เด็กเดินกลับบ้านเป็นกลุ่ม นอกจากนี้ให้ประสานกับสำนักงานเขตในการจัดเทศกิจสายตรวจเพื่อนชุมชนดูแล 5. ให้ครูเพิ่มความสังเกต กรณีเด็กทะเลาะวิวาท พร้อมทั้งหาสาเหตุ เนื่องจากพบว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับยาเสพติด หรืออาจจะถูกรังแกเพื่อบังคับล่วงละเมิดทางเพศ 6. ให้ทุกโรงเรียนจัดให้มีครูจิตวิทยา หรือนักสังคมสงเคราะห์ เพื่อพูดคุยเป็นเพื่อนเด็ก สอดส่องปัญหา ป้องกันและแก้ไขปัญหาเด็กอย่างทันท่วงที. โดย yyswim
Create Date : 24 สิงหาคม 2549
Last Update : 24 สิงหาคม 2549 11:05:04 น.
43 comments
Counter : 6813 Pageviews.
ข้อกล่าวหาอันฉกาจฉกรรจ์ว่า มีครู 2 คน คือ นายลอน โสรกนิษฐ์ ครูประจำชั้น ป.2/3 ของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ย่านสายไหม และ นายพิมล ซุ่นศรี ครูสอนวิชาพลศึกษา โรงเรียนเดียวกัน ข่มขืน ด.ญ.ฟ้า (นามสมมติ) อายุ 8 ขวบ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของครูผู้ถูกกล่าวหา ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่า ตกลงแล้วผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองได้กระทำผิดจริงหรือไม่
ทีมข่าว "คม ชัด ลึก" ได้ประมวลความเคลื่อนไหวในคดีนี้และขอตั้งข้อสังเกต ซึ่งเป็นข้ออ้างและข้อโต้แย้งของแต่ละฝ่าย โดยจะเริ่มจากฝ่ายผู้เสียหาย...
คำกล่าวหาจากฝ่ายผู้เสียหาย(ฝ่ายผู้ปกครองเด็ก)
คดีนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2549 เมื่อ นางฝน (นามสมมติ) อายุ 39 ปี ได้พาลูกสาววัย 8 ขวบ คือ ด.ญ.ฟ้า เข้าพบ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี พร้อมกับ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดต่อเด็กเยาวชนและสตรี (ผบก.ปดส.) โดยนางฝน ร้องเรียนว่า ลูกสาวถูกครูทั้งสองคนข่มขืน
ครั้งแรก (หลังทราบจากปากของลูก) คือ เมื่อเวลาประมาณเที่ยง ของวันที่ 26 มิถุนายน 2549 ขณะที่ ด.ญ.ฟ้า กำลังรับประทานอาหารอยู่ที่โรงอาหารของโรงเรียน ก็พบกับครูลอน โดยครูลอนได้หลอกว่าจะพาไปห้องน้ำที่บ้านพัก เพราะห้องน้ำที่โรงเรียนไม่สะอาด เด็กน้อยจึงตามครูไปยังบ้านพักครูหลังโรงเรียน
จากนั้นครูก็ให้ ด.ญ.ฟ้า เข้าห้องน้ำแล้วถอดกางเกง ถูสบู่ทำความสะอาด ก่อนจะบอกให้ไปนอนบนเตียงของครู จากนั้นครูก็ถอดกางเกงและข่มขืนด.ญ.ฟ้า จนมีเลือดออกจากอวัยวะเพศ พอ ด.ญ.ฟ้า ร้องด้วยความเจ็บปวด ครูก็เอาไม้เรียวมาขู่ว่า ถ้าร้องจะตี พอเสร็จแล้วก็มาส่งด.ญ.ฟ้าที่โรงเรียน
ครั้งที่สอง เกิดขึ้น เมื่อช่วงเที่ยงวันที่ 6 กรกฎาคม 2549 ครูมล ได้เดินตามลูกสาวไปที่ห้องน้ำ จากนั้นก็พาขึ้นไปที่ห้องเรียนห้องหนึ่ง โดยครูบังคับให้ลูกนอนบนพื้นแล้วก็ถอดกางเกงในข่มขืน และบังคับไม่ให้ร้อง หลังข่มขืนเสร็จก็ให้เงินมา 100 บาท แล้วปล่อยให้ลูกสาวไปเรียนหนังสือตามปกติ
ครั้งที่สาม เมื่อ วันที่ 21 กรกฎาคม 2549 นางฝนสังเกตลูกสาวมีอาการ "ผิดปกติ" คือ เดินขาถ่าง ไม่มีแรง อ่อนเพลียมาก คอแห้ง เสียงแหบ ปากแดงบวม เมื่อกลับมาถึงบ้านได้ถอดเสื้อเพื่ออาบน้ำให้ลูกสาว ก็ตะลึงเพราะพบ "ขนเพชร" อยู่ในกางเกงในของลูกสาว ส่วนอวัยวะเพศก็มีอาการบวม มีผื่นแดง ส่วนกางเกงในของลูกสาวก็เปียกแฉะ คล้ายมีของเหลวเปรอะเปื้อน
นางฝน ได้คาดคั้นถามลูกสาวจนลูกสาวยอมบอกว่า ถูกครูมล ลวนลามและข่มขืน เมื่อเวลาประมาณ 13.00 น. วันที่ 21 กรกฎาคม 2549 โดยครูพานั่งรถแท็กซี่ออกไปยังโรงแรมใกล้ๆ โรงเรียน ซึ่งระหว่างที่นั่งอยู่ในรถ ครูได้บังคับให้ก้มศีรษะเพื่อไม่ให้คนอื่นเห็น เมื่อเข้าไปในโรงแรม ครูใช้ผ้าผูกตาลูกสาวแล้วบังคับให้อมอวัยวะเพศ และมีเพื่อนที่ถูกกระทำแบบเดียวกันอีก 4 คน แต่ถูกครูอีกคนพาแยกไปข่มขืนอีกห้องหนึ่ง โดยครูได้ลงมือข่มขืนทางอวัยวะเพศและทวารหนัก จากนั้นก็พามาส่งที่โรงเรียน
ความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจเกิดขึ้นหลังจากนั้นเพียง 1 วัน คือ วันที่ 11 สิงหาคม 2549 เมื่อมีผู้ปกครองของเด็กหญิงอีก 3 ราย เข้าร้องเรียนเพิ่มเติมว่า ลูกสาวของตนถูกข่มขืนด้วยในโรงแรมแห่งเดียวกัน และยังมีเด็กผู้เสียหายอีก 1 คน ที่ผู้ปกครองยังไม่พามาแจ้งความ
สรุปแล้ว มีเด็กหญิงถูกกระทำถึง 5 คน จากการลงมือของครูทั้งสองคน
ขณะที่ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ผู้ต้องรอบคอบกับคดีนี้ไว้สูงมาก เพราะถ้าพลาดย่อมจะเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงขององค์กร และเสี่ยงต่อการถูกอีกฝ่ายฟ้องกลับ ได้แสดงความมั่นใจต่อหลักฐานที่มีอยู่ ดังนี้
- คำให้การของเด็กทั้ง 4 คน สอดคล้องกันทุกประการ
- พ่อแม่เด็กเป็นพยานยืนยันได้ เพราะเป็นผู้พบร่องรอยการถูกข่มขืน และปรากฏร่องรอยชัดเจน
- ผลตรวจของแพทย์ระบุชัดว่า เป็นร่องรอยจากการ "ถูกข่มขืน" จริง
- ร่องรอยทั้งหมดถูกถ่ายไว้เป็นหลักฐานเพื่อประกอบสำนวนคดี
กระนั้น สิ่งที่ยังไม่อาจวางใจได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ก็คือ "ผลพิสูจน์ดีเอ็นเอ" ของขนเพชรเส้นที่ตรวจพบ
รวมทั้งไม่สามารถตรวจพบ "อสุจิ" ที่คาดว่าจะตกค้างในช่องคลอดของเด็กผู้เสียหาย
ประเด็นนี้ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ยอมรับว่า ยังมี "จุดอ่อน" อยู่ แต่จะทำการ "อุดช่องโหว่" ด้วยการสอบปากคำเพื่อนนักเรียนร่วมชั้น และจะลงพื้นที่ควานหา "โรงแรมที่เกิดเหตุ" เพื่อหาพยานบุคคลและพยานวัตถุ เช่น กล้องวิดีโอวงจรปิดมา "มัดตัว" ผู้ต้องหาทั้งสองคนชนิด "ดิ้นไม่หลุด"
สำหรับกระแสสนับสนุนครูทั้งสองจากครูร่วมโรงเรียนและชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียงนั้น ผบก.ปดส. ระบุว่า จะไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินคดี เพราะจะทำคดีอย่างตรงไปตรงมา
"ผมก็เห็นใจเขาเหมือนกัน แต่ก็จำเป็นต้องทำ เพราะเห็นร่องรอยการถูกข่มขืนแล้วมันเกินไป มันรับไม่ได้จริงๆ" ผบก.ปดส. กล่าวแสดงจุดยืนของตน
คำโต้แย้งจากฝ่ายผู้ถูกกล่าวหา
หลังจากถูกกล่าวหาอย่างรุนแรง ครูทั้งสองก็ถูกตำรวจ ปดส.บุกเข้าจับกุมถึงในโรงเรียน ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับครูทั้งสองเป็นอย่างมาก เพราะตัวเองไม่ได้มีพฤติกรรมหลบหนี และพร้อมจะสู้คดีทุกเมื่อ
ในชั้นสอบสวน ทางญาติของครูทั้งสองได้ยื่นขอประกันตัวต่อศาล ศาลก็อนุญาตให้ประกันตัวออกมา และทางผู้ต้องหาก็ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา พร้อมเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของตนเอง
โดยทนายของฝ่ายผู้ต้องหาได้รับมอบอำนาจให้รวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งที่เป็นเอกสารและพยานบุคคลเพื่อแก้ข้อกล่าวหาอย่างเต็มที่
หลักฐานชิ้นเด็ดที่ฝ่ายผู้ต้องหาจะนำมายืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง คือ "พยานบุคคล" ที่สามารถยืนยันได้ว่า วันเวลาตามที่เด็กกล่าวหานั้น ผู้ต้องหาอยู่กับบุคคลอื่นตลอดเวลา ซึ่งหมายความว่า ไม่ได้มีการข่มขืนเกิดขึ้นในวันนั้น และถ้าจะมีก็ไม่ใช่ฝีมือครูแน่นอน
ช่วงเวลาที่ผู้ถูกกล่าวหามั่นอกมั่นใจที่สุด คือ การไปร่วมงานแข่งขันกีฬาเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2549 โดยทางโรงเรียนได้จัดการแข่งขันฟุตซอล และมีนายทหารระดับ "นาวาเอก" นายหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ปกครองของเด็กในโรงเรียน เดินทางมาเป็นประธานการแข่งขัน
ผู้ถูกกล่าวหายืนยันว่า ได้นั่งอยู่กับนายทหารผู้นั้นตลอดเวลาจนจบการแข่งขันในช่วงเย็น ส่วนในวันที่ 21 กรกฎาคม 2549 ก็มีพยานที่อยู่ด้วยกันตลอดเวลาด้วย
ประเด็นนี้จึงต้องพิสูจน์ต่อไปว่า พยานคนที่ถูกอ้างถึงจะมีตัวตนจริง และจะยอมมาการันตีความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหาหรือไม่ ถ้าพยานยอมมาให้การ และให้ข้อมูลยืนยันความบริสุทธิ์ของฝ่ายครู งานนี้ฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาคงจะ "ได้เปรียบ" ขึ้นมาก แต่นั่นก็เป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะต้องทำคดีให้กระจ่าง
นอกจากนี้ การกล่าวอ้างถึงการจัดงานแข่งขันกีฬา ย่อมหมายความว่า จะมีพยานรู้เห็นมากกว่า 1 คนขึ้นไป จึงเป็น "งานหนัก" ของตำรวจที่จะต้องตามสอบปากคำพยานจำนวนมาก
หลังจากถูก "กระหน่ำ" อยู่ฝ่ายเดียว ฝ่ายผู้ต้องหาก็ "จุดพลุ" ประเด็นความขัดแย้ง ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็น "เบื้องหลัง" ของการร้องเรียนครั้งนี้
ประเด็นแรก คือ ความขัดแย้งเรื่อง "การเมือง" เนื่องมาจากเมื่อไม่นานมานี้ มีผู้ปกครองของเด็กมาทาบทามให้ครูทั้งสองคนไปเป็น "หัวคะแนน" ให้พรรคการเมืองพรรคหนึ่งในเขตสายไหม เพราะครูทั้งสองเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้าน และมีคนให้ความเคารพนับถือ
แต่ฝ่ายครูทั้งสองปฏิเสธ มิหนำซ้ำยังไปเป็นหัวคะแนนให้กับ "พรรคคู่แข่ง" ซึ่งอาจเป็นสาเหตุทำให้ญาติของเด็กโกรธแค้น และหาทาง "ระบายความแค้น" ด้วยเรื่องดังกล่าว
กระนั้น ฝ่ายผู้ปกครองของเด็กผู้เสียหายก็ยืนยันว่า ไม่เคยเป็นหัวคะแนนให้ใครทั้งสิ้น ส่วนประเด็นที่กล่าวอ้างขึ้นมาก็เพื่อพยายาม "เบี่ยงประเด็น" เพื่อให้ตัวเองพ้นผิดเท่านั้น
ประเด็นที่สอง ฝ่ายผู้ต้องหาเชื่อว่า น่าจะเกิดความขัดแย้งกับ "นักการเมืองคนหนึ่ง" ซึ่งเคยไปทะเลาะกับครูในหน่วยเลือกตั้ง ด้วยเรื่องเพียงแค่หีบเลือกตั้งไม่ปิดให้เรียบร้อยเท่านั้น
จากนั้นทางกลุ่มผู้สนับสนุนครูทั้งสองคน ก็ได้ชี้ให้เห็นถึงความผิดปกติเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของนักการเมืองบางคนและผู้ปกครองของเด็ก ซึ่งเพิ่งเข้ามาอยู่ในพื้นที่ไม่ถึง 2 เดือน รวมทั้งมีการเผยพฤติกรรมการ "เรียกร้องค่าเสียหาย" ของผู้ปกครองรายหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นก่อนที่จะมีคดีนี้ไม่นาน
อีกประเด็นที่ฝ่ายผู้ถูกกล่าวหายัง "ติดใจ" ก็คือ การถ่ายรูปผู้ต้องหา เพื่อนำไปให้เด็กชี้ตัวโดยไม่บอกกล่าวให้ทราบ รวมทั้งยังมีการเข้าจับกุมที่ "ไม่เหมาะสม" อีกด้วย เพราะมีการส่งกำลังเข้ามาจับกุมขณะที่กำลังสอนหนังสือในห้องเรียน ตามขั้นตอนแล้วต้องมีการ "ออกหมายเรียก" ให้เข้าไปพบก่อนจึงจะถูกต้อง
ประเด็นข้อโต้แย้งเหล่านี้ ฝ่ายตำรวจต้องเก็บไปคิดเป็น "การบ้าน" เพื่อให้สำนวนคดีมีความรอบคอบ และเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ส่วนสถาบันที่ "พิพากษา" ให้ความเป็นธรรมในคดีนี้ย่อมเป็น "ศาลสถิตยุติธรรม" ซึ่งจะมีอำนาจและหน้าที่ที่จะชี้ขาดได้แต่เพียงผู้เดียวว่า สุดท้ายแล้วใครถูก-ใครผิด กันแน่????