สอนลูกให้เป็นผู้ใหญ่
สอนลูกให้เป็นผู้ใหญ่
เวลาออกไปซื้อของที่ห้างกับลูก พ่อแม่ไม่จำเป็นจะต้องซื้อของให้ลูก
.ตามที่ลูกร้องขอ เสมอไป
บางครอบครัว พ่อแม่มักจะซื้อของให้ลูก
..ทุกครั้ง
เพราะคิดไปว่า ตนเองเคยอยากได้ของคล้ายๆกันนี้แต่ไม่มีใครเคยซื้อให้ เมื่อในวัยเด็ก ตนเองจึงไม่อยากจะให้ลูกผิดหวังอย่างตนเองในวัยเด็กอีก และเพราะบางคนคิดไปว่าตนเองทำงานหนัก ไม่ค่อยจะมีเวลาให้กับลูก ก็เลยอยากจะชดเชยโดยการซื้อของต่างๆให้กับลูก ตามที่ลูกจะพึงพอใจ หรือบางคนกลับกลัวไปว่า ถ้าไม่ซื้อของให้ เดี๋ยวลูกจะไม่รัก หรือกลัวไปว่า ถ้าไม่ซื้อของให้ เดี๋ยวคนอื่นเขาจะนินทาได้ว่า มาเที่ยวห้างแล้วไม่มีเงิน!!! 5555
การทำเช่นนี้อาจจะทำให้พ่อแม่รู้สึกดีขึ้น รู้สึกว่าตนเองทำถูก ดูแลลูก รักลูก ห่วงลูก
แต่ถ้าทำเช่นนี้บ่อยๆ ลูกจะพัฒนาความอยากได้ โดยการขอจากพ่อแม่มากครั้งยิ่งขึ้น ใหญ่โตยิ่งขึ้น เพราะรู้ว่าตนเองสามารถจะทำเช่นนั้นได้ และพ่อแม่ก็มักจะให้เสมอ
.
จากของเล่นชิ้นเล็ก ก็จะกลายเป็นของเล่นชิ้นใหญ่ ก็จะกลายเป็นของเล่นที่มีกลไกซับซ้อน แล้วจะพัฒนายิ่งขึ้นกลายเป็นของเล่นหลักหมื่นหลักแสน จะกลายเป็นของเล่นที่เสี่ยงภัยอันตรายทั้งต่อตัวผู้เล่นเอง และต่อตัวผู้อื่น
สุดท้ายนอกจากพ่อแม่จะไม่มีกำลังเงินจะซื้อให้ได้แล้ว ลูกก็ยังจะโต้เถียงกับพ่อแม่ ในเรื่องความพึงพอใจของตนเองที่อยากจะได้สิ่งใดๆ จากพ่อแม่ ยิ่งกว่านั้นยังจะมีเรื่องอุบัติเหตุความไม่ปลอดภัยของตัวลูกเอง และที่สำคัญ คือ ความเป็นผู้ใหญ่ที่นิสัยเสีย เป็น ผู้ใหญ่ช่างขอ
สังคมของลูกไม่ใช่จะมีอยู่แต่เฉพาะในบ้านกับพ่อแม่ ไม่ใช่อายุของพ่อแม่จะยืนยาวจนเท่ากับอายุของลูก แต่ยังจะมีบุคคลอื่นนอกบ้านที่ลูกจะต้องไปติดต่อ ไปพบปะ ไปทำงาน ไปร่วมกินร่วมเที่ยว ร่วมครอบครัว ตลอดจนลูกจะต้องมีลูกหลานให้อบรมเลี้ยงดูสั่งสอนไปอีกนานหลายปี
.เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ถ้าลูกช่างขอ ซะแบบนี้ ลูกก็จะติดนิสัยช่างขอกับผู้อื่น ช่างขอกับสังคมต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งจะเป็นนิสัยเห็นแก่ตัว ที่อยากจะได้อะไรอย่างง่ายๆร่ำไป เรียกร้องความต้องการโดยวิธีร้องขอจากผู้อื่นอยู่ร่ำไป ไม่คิดจะทำอะไรด้วยตนเอง สร้างความระอา สร้างความรำคาญต่อผู้รู้เห็น
และถ้าหากลูกไม่ได้ในสิ่งที่ตนร้องขอ ลูกก็จะคิดไปว่าผู้อื่นไม่รักตน เหมือนกับที่เคยคิดว่าพ่อแม่ก็ไม่รักตนเช่นเดียวกัน
ลูก
.ก็จะอยู่ในสังคม แบบคนมีความเครียด แบบคนที่มีความอัดอั้นใจที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามความพึงพอใจของตนเอง
ฉะนั้น เมื่อลูกร้องขอสิ่งใดเมื่อไปซื้อของที่ห้าง พ่อแม่จึงไม่ควรจะให้ โดยง่าย ทุกครั้ง ควรจะพิจารณาด้วยเหตุผลและความจำเป็นเสียก่อน ไม่ใช่จะตัดสินให้เพียงเพราะรัก หรือตัดสินให้เพียงเพราะ ลูกร้องขอเสียงดัง ...แล้วน่าอับอาย
แต่ควรพิจารณาความจำเป็นที่ลูกจะต้องมีสิ่งนั้นหรือไม่ สิ่งนั้นจะมีอันตรายต่อลูกหรือไม่ สิ่งนั้นจะสอดคล้องกับพัฒนาการของลูกหรือไม่ หรือสิ่งนั้นมีราคาแพงเกินไปหรือไม่ เป็นต้น
ถ้าลูกอยู่ในวัยโตพอที่จะฟังและรู้ภาษาไทยธรรมดาได้
.ก็อาจจะบอกเหตุผลความจำเป็นว่าที่ไม่ซื้อให้เพราะอะไร แน่นอนลูกส่วนใหญ่จะหน้างอ งอนไม่พูดไม่จา บางครั้งถึงกับไม่ยอมกินด้วย แต่เมื่อใช้เหตุผลและความจำเป็นมาอ้างทุกครั้งที่ไม่ซื้อให้ ลูกก็จะเริ่มเรียนรู้ว่าพ่อแม่ไม่ซื้อให้จริงๆ ถ้าของสิ่งนั้นซื้อไปแล้วไม่มีเหตุผลและความจำเป็นที่จะต้องมี ซึ่งลูกก็จะเริ่มซึมซับนิสัยเช่นนี้ของพ่อแม่ จนกลายเป็นนิสัยของตนเอง เมื่อกลายเป็นผู้ใหญ่
แต่ถ้าลูกยังอายุน้อย ดื้อจนเกินกว่าจะพูดจารู้เรื่องในห้าง
ก็ตัดสินใจอุ้มลูกกลับบ้านจะดีกว่า เมื่อถึงบ้านแล้ว ลูกซึ่งอายุยังน้อย มักจะลืมเรื่องที่ผ่านมาได้รวดเร็วเพียงแค่คืนเดียว และครั้งต่อไปก็พิจารณาให้ดีว่า ควรจะชวนลูกที่อายุยังน้อย ยังดื้ออยู่ ไปเที่ยวห้างด้วยกันกับพ่อแม่หรือไม่ เพราะในห้าง มีฝุ่นละอองมีเชื้อโรคมาก ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าในโรงพยาบาลหรอก ในห้างมีมิจฉาชีพเยอะที่อาจจะลักพาตัวเด็กที่พลัดหลงได้ และการซื้อของหรือการซื้ออาหารจากในห้างกลับมาฝากลูกน้อย กินภายในบ้านก็อร่อยพอๆกับได้กินภายในห้างเช่นเดียวกัน
ยิ่งกว่านั้น พ่อแม่ควรจะอบรมสั่งสอนลูก ว่า การมีของเล่น เสื้อผ้า เครื่องใช้จำนวนมาก ไม่ใช่ว่าจะเป็นสาระสำคัญของการจะมีความสุขในชีวิตเสมอไป แต่สิ่งสำคัญของการเป็นผู้ใหญ่ที่ดี มีบุคลิกของการจะเป็นผู้นำผู้อื่นต่อไป คือ การรู้จักเลือกซื้อของที่ดีมีประโยชน์ คุ้มค่าต่อความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ และการพัฒนาความชำนาญ การรู้จักดัดแปลงของที่มีอยู่ให้เป็นของใหม่ใช้งานได้หลายรูปแบบ การไม่ซื้อของตามเพื่อนๆหากไม่มีความจำเป็น เพราะคนแต่ละคนจะชอบและจะถนัดไม่เหมือนกัน ตลอดจนการรู้จักแบ่งปันสิ่งของเสื้อผ้าที่ตนมีอยู่ แต่ไม่ใช้แล้ว ให้กับผู้อื่นที่ขาดแคลนแต่ต้องการใช้
บางครั้ง พ่อแม่ควรจะอบรมสั่งสอนให้ลูกรู้คุณค่าของเงินว่า กว่าจะได้มาจะต้องใช้ความสามารถ กำลังแรง และความอดทน เช่น สิ่งของบางอย่างหากมีเหตุผลและความจำเป็นที่ลูกจะต้องมี แต่ควรบอกลูกว่า เนื่องจากพ่อแม่ไม่ได้มีส่วนร่วมที่จะใช้สิ่งของนั้น พ่อแม่จึงจะขอร่วมออกเงินให้ลูกครึ่งหนึ่ง เงินอีกครึ่งหนึ่งลูกจะต้องออกแรงทำงานหรือประหยัดอดออมเอาเอง เพื่อจะหาเงินมาสมทบจึงจะซื้อสิ่งของนั้นได้ อย่างซื้อจักรยาน ซื้อไม้เทนนิส ซื้อกีตาร์ เป็นต้น
นอกจากจะทำให้ลูกรู้คุณค่าของเงินที่ตนเองสู้อุตส่าห์หา หรือประหยัดอดออมแล้ว ลูกยังจะรู้คุณค่าของสิ่งของที่ตนมีอยู่ ว่ากว่าจะซื้อหามาได้ มีความเหนื่อย มีความยาก และต้องใช้เวลา นานมากเพียงใด ลูกก็จะรัก จะหวง จะถนอม จะเก็บเข้าที่ และจะภาคภูมิใจในสิ่งที่ตนหาซื้อมาเองด้วยตนเอง
อีกอย่างหนึ่ง ถ้าหวังจะให้ลูกเป็นคนดี พ่อแม่ควรจะร่วมอบรมสั่งสอนลูกให้เหมือนๆกัน ไม่ใช่แม่บอกว่าให้ซื้อได้ แต่พ่อบอกว่าจะไม่ให้ซื้อ ทำให้พ่อกับแม่โต้เถียงกันให้ลูกเห็น
หรือไม่ใช่พ่อบอกว่าพ่อจะออกเงินให้ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งลูกจะต้องหาเงินหรือประหยัดอดออมเอาเอง แต่แม่(หรือย่า ยาย)กลับสงสารลูก ให้เงินอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือกับลูกโดยที่พ่อไม่รู้
แบบนี้ลูกก็จะมีนิสัยไม่สามัคคีกับผู้อื่น ไม่ซื่อสัตย์กับผู้อื่น
ตามอย่างพ่อแม่
ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น พ่อแม่มีนิสัยอย่างไร ลูกก็มักจะซึมซับนิสัย
ตามอย่างพ่อแม่
ถ้ารักลูก ควรสอนสิ่งที่ดีงามให้กับลูก
. ดีกว่ารักลูก แล้วคิดแต่จะให้เงินกับลูก
เพราะ ลูกยังจะต้องเป็นผู้ใหญ่อยู่ในโลกนี้อีกนาน
Create Date : 24 กันยายน 2548 |
Last Update : 24 กันยายน 2548 0:27:30 น. |
|
24 comments
|
Counter : 2237 Pageviews. |
|
|
|
เรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้บางทีพ่อแม่มักจะตามใจเพะราสงสารลูก หรือตัดรำคาญมั้งครับ แต่หารู้ไม่ว่า จะเป็นการฝึกนิสัยแย่ๆทีละนิดให้กับลูกโดยไม่รู้ตัวเลย