No. 1169 เด็กบ้านนอก เชียงใหม่ |
|
|
ย้อนหลังหลายสิบปี เราอยู่บ้านไม้ทรงโบราณในตัวเชียงใหม่ ด้านหน้ามีถนนคู่ขนานไป |
กับคูน้ำรอบเมือง ไหล่ทางก่อนลงสู่คูเมือง เป็นป่าหญ้ารกบ้าง เตียนบ้างหน้าบ้านมีต้นฉำฉาใหญ่โน้มเอียงไปในคูน้ำ |
พวกเรานำเชือกมะลิลาเส้นโต เกี่ยวต่อกับยางนอกจักรยานคล้องคาคบฉำฉาจนแน่น |
ใช้สองมือจับเชือกแน่นปล่อยตัวไปข้างหน้าลอยลง ดำผุดดำว่าย ผลัดกันโหนเชือก บางคนลงน้ำแล้วขึ้นไม่ได้กางเกงในหลุด |
พวกเราจะใส่จนยางรอบเอวมันยืดเป็นของหายากเพราะไม่มีเงินซื้อเลยหลุดจากร่างง่าย 555 |
|
คูน้ำรอบเมืองด้านนอก เทศบาลตัดหญ้าให้เตียน อีกฝั่งที่บ้านเราอยู่ จะเป็นกำแพงอิฐโบราณหักพังไปตามกาลเวลา |
อิฐโตกว่าอิฐงสมัยนี้หลายเท่า แถวบ้านเรากลับมีต้นหญ้าปกคลุมค่อนข้างรก ตอนแดดร่มลมตก เราจะใช้เป็นที่เล่นเป็นสนามรบ |
พวกเริ่มเริ่มโต นมเริ่มแตกพานมั้ง |
เราจะแบ่งเป็น 2 ฝ่าย ๆ ถอดเสื้อ 6 คนกับไม่ถอดเสื้อตอนนั้นไม่มีเสื้อแดงเสื้อเหลืองหรอก ค่อย ๆ คืบคลาน |
เลียนแบบ เดวิด คร๊อกเก็ตนักผจญภัยรุ่นบุกเบิกอเมริกา |
ฝ่ายผมวางแผนให้เพื่อน 3 คนคลานไปด้านหน้าแล้ว สงบนิ่งคอยมอง ไม่ต้องรุกคืบมากนัก |
ส่วนผมจะค่อย ๆ ยืนโผล่ต้นหญ้าไม่ต้องกลัวอีกฝ่ายเห็น คาดว่าพวกมันจะไม่โผล่ขึ้นดู คงจะนอบราบฟังเสียงตามองมา |
ผมเห็นยอดหญ้าด้านโน้นไหวจะส่งสัญญาณมือ ให้เพื่อนอีกสองคนย่องอ้อมไปด้านหลังอีกฝ่าย |
ทุกสิ่งยังคงเงียบทุกคนก็ทั้งสองฝ่าย เราจะคลาน บนใบไม้แห้งมิให้เกิดเสียง คนทำได้เจ๋งจะได้เป็นเดวิด คร๊อกเก็ตต์ |
ครู่ใหญ่ข้าศึกใส่เสื้อ 3 คนยืนชูมือยอมแพ้ มีพวกเราถอดเสื้อใช้มือจี้ด้านหลังไว้ว่าจับได้แล้ว |
แต่ฝ่ายเราก็เสร็จพวกมัน 1 คนดันไปปวดฉี่นั่งคู้เข่าฉี่ดันไม่ค่อยออกฉี่ช้า เลยถูกพวกมันใช้มือจี้ |
พวกผมเลียนแบบเดวิด คร๊อกเก็ตต์ ที่เป็นแมวมอง ที่เคยอ่านหนังสือมาบ้าง |
สองทุ่ม ค่อยแยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมัน อาบน้ำที่เย็นเจี๊ยบแต่งตัวกินอาหารเย็นมีความสุขเรามิได้เล่นอย่างเดียว |
แต่ก็ช่วยบ้านทำงาน |
ปลูกผักใช้จอบขุดดินที่ว่างหลังบ้าน ยกร่องให้สูงขึ้นยาวให้ดินร่วนเอาขี้หมูแห้งโปรยเป็นปุ๋ยต้นหอมแดง |
กระเทียมคะน้าผักกาดกวางตุ้งปลูกเป็นแปลงยาว |
เช้าตรู่จะตักน้ำบ่อหน้าบ้านเทใส่ลำรางไม้ไผ่ที่ วางทอดยาวไปหลังบ้านตกใส่ตุ่มน้ำใช้กระป๋องฝักบัว |
ตักน้ำรดผักตอนเช้ากลางอากาศหนาว ยามน้ำจากฝักบัวตกใส่ใบผักกาดกวางตุ้ง ใบจะลู่ตามน้ำหนักจากฝีกบัวแล้วดีดคืน |
ไอน้ำที่อุ่นลอยเรี่ยกับ แปลงผักต้องกับแสงอาทิตย์ส่องลอดต้นไผ่ซางเป็นลำ สวย... |
|
เสร็จแล้วรีบล้างเท้าหนาวเกินไปที่จะอาบน้ำรีบแต่งตัว กินอาหารเช้าที่แม่หรือไม่ก็พี่สาวคนโตทำไว้ให้พวกเรา |
อิ่มแล้วก็คว้าจักรยานปั่นไปเรียน |
ครอบครัวเราฐานะไม่ค่อยดีเท่าใดบ้านก็เช่าเขาอยู่ ผมเลี้ยงไก่เก็บไข่ให้แม่ทำอาหาร บางครั้งแม่จะซื้อเนื้อ |
เนื้อเค็มวัวตากแดดสีแดง จากตลาดมาทอด กินกับน้ำพริกแดงที่แม่ตำ อร่อยเป็นมื้อพิเศษสุด ๆ |
ผักที่ปลูกก็เก็บมาทำอาหาร ใส่ไก่ ที่เลี้ยงไว้ ผมแหะ ๆ จัดการเองแหละตอนนั้นไม่คิดอะไรเท่าใด |
|
บางทีแม่ก็ให้เงินไปซื้อปลาดุกปลาช่อนที่อาเจ็กคนจีนใกล้บ้านขายผมกำเงินไปซื้อให้แม่ทำกับข้าว |
บอกตรง ๆ มันคาวคงเป็นปลาจากหลายที่ บางตัวก็ตายแม่จะผ่าปลา เคล้าเกลือตากแดด...เลือกไม่ได้ก็กลั้นใจหยิบปลา |
แดดเดียวทอดจิ้มกับน้ำพริกแดง น้ำพริกหนุ่มใส่ปากตามด้วยข้าวเหนียว |
ไม่ชอบเลย..คาวจัด |
|
เคยกินข้าวบ้านน้าเพื่อนบ้าน ได้กินปลาดุกนาผ่าแบะ เคล้าเกลือตากแดดเดียว ทอดสุกกินกับน้ำพริกแดง |
อร่อยด้วยน้าเล่าว่าไปทอดแหที่ทุ่งนาโน่นมาชักติดใจ |
ขอเงินแม่ไปซื้อ ตัวเบ็ดที่เป็นเหล็กมีเงี่ยง ตัวโตใช้เป็นเบ็ดก่อง(เบ็ดปักทิ้งไว้) |
ตัดไผ่ซางมาผ่าเป็นซีกเล็กยาว 80 เซนติเมตรเหลาตรงโคนกลม แล้วใช้มีดคมปาดกึ่งกลางให้แบนลงส่วนปลาย |
ให้บางที่สุดบากหยักไว้ผูกเชือกกับเบ็ดทำไว้กว่า 20 อันตากแดดจนแห้ง |
ใช้ด้ายตราสมอใช้ใบตำลึงมารูดให้เขียวตากแดดให้ปลาไม่เห็นสายเบ็ด ผูกตัวเบ็ดเหล็ก คล้องข้างบนจนแน่น แล้วดึง |
สายเบ็ดกับด้ายที่ผูกติดกึ่งกลางเบ็ดก่อง ให้ไม้เบ็ดโก่งตากแดดจนมีแรงดีด.. |
ที่บ้านเลยได้ปลา ดุก ปลาช่อนนาที่ผมหามาทำอาหาร แม้ไม่มากแต่คงช่วยได้บ้าง |
พอเริ่มแก่กล้า (ยังหนุ่มนะเออ) ขอเงินแม่ไปซื้อแหที่ขนาดยาว 7 ศอกก็สามเมตรครึ่ง ไปทอดแหหาปลา ในทุ่งนา |
หลังวัดป่าเป้า เป็นวัดชาวไทยใหญ่ |
ผมกับเพื่อนจะเดินเรียบกำแพงวัดด้านนอก เดินผ่านดงต้นกระเจี๊ยบแดง เจอดอกกระเจี๊ยบสวยก็เด็ดใส่ย่าม |
|
พ้นกำแพงวัดป่าเป้าไปนิดเดียวมีกองขี้เถ้ากองโตอยู่รีบเดินจากไปโดยเร็วที่สุด 555 ก็เป็นที่เผาศพนาน ๆ จะเผาสักครั้ง |
ภาคเหนือในวัดมักจะไม่เผาศพในวัด |
|
วันหนึ่ง เดินไปดูทำเลหาปลาคนเดียวกะจะมีปลาดุกที่ชอบหากินใกล้โคลนตมข้างล่าง เป็นหนองน้ำขนาดกลาง |
มีต้นไม้ใหญ่ กับต้นทองหลางคลุม ริมหนองน้ำมีหญ้าใบเหลืองเขียว คลุมอยู่รอบ |
นั่งดูกว่าครึ่ง ชม. มีปลาช่อน ปลาขาวหางแดงโผล่มาฮุบแมลงปอแมงมุมน้ำบ้าง ลมสงบ อากาศค่อนข้างร้อน |
ดูหนองน้ำแล้ว คงมีปลาดุกมากถ้าจะทอดแหต้องลงควานเอาเศษกิ่งไม้ ทำน้ำให้ขุ่น |
แล้วนั่งรอนานหน่อย กะให้ปลาดุกปลาช่อนเจอ กลิ่นดินใหม่ จะรวมกันหาอาหารที่หลุดมากิน แต่เพื่อนไม่ได้ไปด้วย |
เลยไม่มีคนคุ้ยดินกับเศษไม้ทิ้ง ส่วนผม |
ใครจะว่าหรือจะเรียกไงก็ได้ มะอาว 555 น่าจะมีปลิงควาย |
ไม่กล้าลงปลิงมันเยอะกลัวมันเกาะเข้า ต รูด...(เพื่อน ๆ บอกว่า ขี้แขะ(ขี้กลัว)นักหาปลากลัวปลิงได้ไง หุ หุ ) |
|
เมืองเชียงใหม่ มีร่องน้ำเล็ก ๆ ไหลผ่านถนนหลายสายอากาศบริสุทธิ์ตอนเช้าในฤดูหนาวชาวบ้านจะก่อกองไฟ |
เล็ก ๆ นั่งผิงไฟควันไฟจากกองไฟลอยขึ้นช้า ๆ ป่ออุ้ยแม่อุ้ย ยืนรอใส่บาตรตุ๊เจ้า(ภิกษุ) |
อากาศหนาวเย็นหมอกจากไอน้ำยามเช้าปกคลุมไปทั่วมีความสุขที่สุด |
วันเสาร์อาทิตย์พวกเราจะปั่นจักรยานไปเที่ยว ตามสวนผักรอบตัวเมือง บางวันจอดรถพิงไว้บ้านคนรู้จัก ไปเที่ยวที่ทุ่งนา |
ไปเล่นบนกองฟางที่เขามัดไว้เป็นฟ่อน กลิ่นหอมอ่อน ๆ |
ชาวนาเก็บฟางข้าวให้ วัว กินแทนหญ้าสดในฤดูหนาว แทบจะมิได้เผาทิ้ง บนดอยสุเทพมีป่าไม้เต็งรังไม่รกทึบ |
มีคนบุกรุกบ้างแต่น้อย ทำให้ป่าที่เรียงราย เว้าแหว่งเป็นฟันหลอแบบปัจจุบันที่ผ่านมาก็หลายเดือน |
|
ยังจำตอนเด็ก มีเจ้าของโรงพิมพ์หนังสือรายหวยออก ฐานะค่อนข้างดีและหันเข้าเล่นการเมืองท้องถิ่น เริ่มบุกรุกดอย |
ใกล้น้ำตกห้วยแก้วปลูกบ้านพัก..โชคดีมีคนคัดค้าน รุนแรง (มัน)เลย..ปล่อยร้างและรื้อถอนออกไป |
แต่เดี๋ยวนี้ซิ มีคนบุกรุกป่า ใช้วิธีลอบเผาป่าในจุดต่าง ๆ |
ทางการก็มิได้สนใจจริงจัง งบประมาณมีให้น้อยมาก |
แต่ชีวิตไม่สิ้นหวัง รอคอยให้คนรักบ้านเมือง ไม่บุกรุกป่า เผาป่า ไม่สร้างกฏพิเศษเพื่อได้สิทธิ์เหนือคนอื่น |
รอคอยวันที่จะให้คนมีจิตสำนึก ถึงส่วนรวมมากกว่าส่วนตน |
เราไม่หวังที่จะให้เชียงใหม่เหมือนเมื่อหลายสิบปีก่อนโน้น.. ขอเพียงจับคนเผาป่า |
มาให้คนเห็นตัวคลุมหน้าในสื่อสาธารณะระบุชื่อ บ้านที่อยู่ บ้างน่าจะดีน่าจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่พวกที่เห็นแก่ตัวได้นะครับ |
ป่าในเชียงใหม่ จะถูกเผาน้อยลง ควันไฟลดลง เพื่อให้การท่องเที่ยวได้รับการสนใจที่จะมีคนไปเที่ยวมากเหมือนเดิม |
ขอบคุณเพื่อนผู้เอื้อเฟื้อภาพ (re 775/1380) |
st ผู้เข้าชม 2,472,794. |
ขอบคุณเพื่อนผู้แวะมาเยือน กรุณาเม้นท์/ทิ้งร่องรอยนิด ผมจะได้กลับไปเยี่ยมตอบแทนถูกครับ |
|
Diarist |
เพราะโลกของเด็กไม่ค่อยมีอะไรต้องคิดมาก