แม้จะเป็นหนึ่งในผลงานที่นักวิจารณ์ และสถาบันเกี่ยวกับภาพยนตร์ทั้งไทยและต่างชาติ ให้การยอมรับว่า เป็นหนังยอดเยี่ยมแห่งปี 2007 แต่ด้วยหลายสาเหตุที่ทำให้ผมไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ในช่วงนั้น จนเวลาผ่านมานานชื่อของ There Will Be Blood ก็หายไปจากความคิด
There Will Be Blood ดัดแปลงมาจากหนังสือนิยาย ที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1926 เรื่อง Oil! ของ Upton Sinclair โดยเล่าเรื่องราวของ Daniel Plainview (Daniel Day-Lewis) นักขุดน้ำมันผู้ทะเยอทะยาน
Daniel ต้องไปขุดน้ำมันที่ Little Boston หมู่บ้านเล็กๆใน California ที่ซึ่งผืนดินแห้งแล้งทำการเกษตรไม่ได้
Daniel เป็นพ่อของ H.W. (Dillon Freasier) เด็กชายที่แท้จริงแล้วเป็นลูกของคนงานขุดเจาะน้ำมันคนหนึ่ง ที่ Daniel รับมาเลี้ยง หลังจากที่คนงานผู้นั้นเสียชีวิตในอุบัติเหตุจากการขุดเจาะ
และตัวละครที่พยายามจะเป็นตัวแทนของพระเจ้าก็คือ Eli เด็กหนุ่มชาวเมือง Little Boston ผู้ตั้งตนเป็นนักเทศน์ใน นิกายโปรเตสแตนต์ (Protestant, คล้ายกับบาทหลวงในนิกายคาทอลิกนั่นเอง)
แม้ว่าในกรณีของ Daniel ผู้ชมจะยังมองเห็น ความรักความผูกพันที่เขามีต่อ H.W. ที่แม้จะไม่ได้มาจากเจตนาดั้งเดิม แถมในท้ายที่สุด Daniel เลือกที่จะจบความสัมพันธ์นี้ลงก็ตาม
แต่ในกรณีของ Eli นั้นเห็นได้ชัดจากฉากระเบิดอารมณ์กลางโต๊ะอาหารว่า เขาเองไม่ได้เคารพและศรัทธากระทั่งพ่อแท้ๆของตนเองด้วยซ้ำ
โดยเฉพาะในฉากสุดท้าย เป็นการตอกย้ำว่า ที่ Eli ทำเป็นศรัทธาในพระเจ้าก็เพียงเพื่อผลประโยชน์เท่านั้น ซึ่งไม่ต่างจากการสารภาพบาปของ Daniel เพื่อให้ได้วางท่อน้ำมันในตอนกลางเรื่องเลยแม้แต่น้อย
ด้วยความคล้ายคลึงกันของสองตัวละครนี้ อาจเป็นไปได้ว่า วัยเด็กของ Daniel นั้น อาจไม่ต่างกับ Eli เท่าใดนัก (จากบทสนทนาในตอนกลางเรื่องทำให้รู้ว่า Daniel เองก็มีปัญหากับพ่อ)
จากประเด็นเรื่อง การพยายามสร้างอาณาจักรของเพศชาย ทำให้ There Will Be Blood มีประเด็นที่ว่าด้วย การสร้างอาณาจักร หรือการล่าอาณานิคม และในยุคที่น้ำมันมีค่ามากกว่าทองคำนั้น หนังสามารถโยงไปถึงการเมืองในโลกปัจจุบันได้
(ซึ่งตอนที่เขียนบทความนี้ก็มีข่าวการประท้วงการสร้างศูนย์อิสลามที่ New York ด้วยการวางแผนเผาทำลายคัมภีร์อัลกุรอานพอดี)
และด้วยความที่คิดว่าชื่อ H.W. น่าจะมีความหมายอะไรบ้าง (สารภาพว่า ครั้งแรกไม่ได้คิดถึงการเมืองเลย) ผมเลยลอง Search ใน Wikipedia และพบว่า
นี่คือ "คำย่อชื่อกลาง" ของอดีตประธานาธิบดี George H.W. Bush (George Herbert Walker Bush) หรือ Bush คนพ่อ ที่เคยก่อสงครามกับอิรัก ก่อนจะส่งต่อให้ Bush คนลูก จัดการ
ที่สำคัญนี่เป็นชื่อที่ไม่เหมือนในนิยายต้นฉบับ
ดังนั้นยืนยันได้เลยว่า ผู้กำกับ Paul Thomas Anderson จงใจเล่นกับแง่มุมทางการเมืองเต็มที่ และต้องมีสัญลักษณ์ต่างๆ แฝงอยู่ในเนื้อเรื่องมากกว่านี้
แต่ใน There Will Be Blood นั้น เป็นนิกายโปรเตสแตนต์ ผมจึงต้องค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของบทความ แต่ข้อมูลอาจยังไม่ถูกต้อง 100% นะครับ หากผิดพลาดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย )
รู้สึกได้ว่า There Will Be Blood กำลังเสียดสี และโจมตีระบบทุนนิยมในปัจจุบัน ด้วยการแสดงให้เห็นสภาพที่โดดเดี่ยวไร้ความสุข และหลุดพ้นจากกรอบศีลธรรมและความเป็นมนุษย์ของ Daniel ในตอนสุดท้าย
เหมือนในตอนจบของหนังที่ Daniel กระหน่ำตี Eli จนตายคามือนั่นเอง
การที่หนังโจมตีข้อเสียของ นิกายโปรเตสแตนต์ แบบอ้อมๆนั้น ทำให้ผมสงสัยว่า ผู้กำกับ Anderson นับถือศาสนาอะไร นิกายไหน
แล้วก็ไม่ผิดคาด Anderson เป็น คาทอลิก [อ้างอิง 3]
มาสู่การวิจารณ์กันบ้าง
There Will Be Blood เล่าเรื่องราวอย่างเรียบง่าย ค่อยเป็นค่อยไป แต่ด้วยการแสดงอันยอดเยี่ยมที่ดึงดูดสายตาผู้ชม และความที่เรื่องราวค่อยๆเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เวลากว่า 2 ชั่วโมงครึ่งของหนังไม่น่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย แถมยังทรงพลังขึ้นทุกนาที
และที่ถือว่าเป็นความยอดเยี่ยมที่สุดเห็นจะเป็นการแสดงของ Daniel Day-Lewis ในบท Daniel Plainview ที่สร้างมิติความลึกทางอารมณ์ และค่อยๆเปิดเผยตัวตนให้ผู้ชมได้รับรู้ ผ่านการแสดงที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นการแสดงออกแต่น้อยทางสีหน้าและแววตา
ก็ถ้าจะเน้นไปที่การพบกันระหว่างสองขั้วความคิด หนังก็พลาดที่ในช่วงครึ่งหลังไปเสียเวลากับการให้รายละเอียด และเพิ่มมิติให้กับตัวละคร Daniel ผ่านตัวละคร Henry น้องชายจอมปลอมมากเกินไป จนตัวละคร Eli ถูกลืมทิ้งไว้ กว่าจะโผล่มาอีกทีก็ตอนท้ายเรื่อง
หรือถ้าจะนำเสนอเรื่องราวชีวิตของ Daniel ก็ควรจะให้เรื่องของ Eli คอยส่งเสริมประเด็นนี้ เพื่อแสดงตัวตนของ Daniel ออกมา ในลักษณะเดียวกับเรื่องราวของ H.W. หรือ เรื่องราวในส่วนของ Henry มากกว่าจะให้ตัวละคร Eli กลายมาเป็นตัวละครหลักของหนัง
ตรงจุดด้อยของหนังที่คุณ navagan ว่ามานั้น ส่วนตัวแล้วผมไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่นะครับ เพราะหนังทั้งเรื่องมันก็เป็นการปลอกเปลือกคาแรคเตอร์ของ Daniel มาตั้งแรกแล้ว เรื่องราวการห่ำหั่นกันระหว่าง Daniel กับ Eli ผมว่ามันเป็นแค่ส่วนเสริมที่ทำให้การ"ปลอกเปลือก"ตัวละครของ Daniel มัน"เมามัน"(และมีหลากหลายแง่มุม)ยิ่งขึ้นก็เท่านั้น
ผมจึงไม่เห็นว่าการที่ตัวหนังทิ้งตัวละครของ Eli ไปพักใหญ่ๆตอนครึ่งหลังจะทำให้ตัวหนังเสียสมดุล กลับกัน ผมว่าบทบาทเท่าที่ Eli ได้มีในหนังก็ถือว่ามากเพียงพอแล้วสำหรับการเป็นหนึ่งใน"มีด"ที่ใช้ปลอกเปลือก Daniel (ในฉากสารภาพบาปในโบสถ์)
ส่วนตัวแล้วผมยกให้หนังเรื่องนี้เป็น Citizen Kane แห่งยุคเราครับ เพราะเป็นหนังที่ขึ้นชื่อเรื่ององค์ประกอบหนังที่"แน่นปึ้ก"เหมือนกัน(ถึงขานั้นจะเขาขั้นตำนานเพราะเป็นแม่แบบ) เป็นหนังแนว Character study เหมือนกัน มีการแสดงชั้นยอดของนักแสดงนำเหมือนกัน(แต่ถ้าเทียบกันแล้ว...ผมให้การแสดงของลุง Day-Lewis เหมือนกว่าการแสดงของ Welles นะ เอาน่า...คลื่นลูกใหญ่ย่อมใหญ่กว่าคลื่นเก่าได้เป็นธรรมดา)