All the girls standing in the line for the bathroom !!!

*** หมายเหตุ : สงวนลิขสิทธิ์ บทความและผลงาน ใน Blog นี้ครับ ***
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2565
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
18 ธันวาคม 2565
 
All Blogs
 
*** Bullet Train *** 'โชคชะตา' หรือ 'ชะตากรรม'

*** Bullet Train ***






ผู้กำกับ David Leitch อาจสร้างชื่อจากหนัง action ที่ตัวเองร่วมกำกับ (แต่ไม่ได้เครดิต) อย่าง John Wick ภาคแรก

แต่เมื่อเขาแยกตัวเองมากำกับเดี่ยวอย่าง Atomic Blonde และ Dead Pool 2 สิ่งที่โดดเด่นกลับไม่ใช่ฉาก action อันเป็นงานถนัด

หนังของ Leitch มี action ที่ดี แต่มันไม่ได้ถูกตะบี้ตะบันยัดเข้ามา ฉาก action เหล่านี้ถูกใส่มาในจังหวะที่พอเหมาะพอดีเพื่อรับใช้การเล่าเรื่อง โดยไม่กลบเนื้อเรื่องหลัก จนหนังเหล่านี้กลายเป็นงานบันเทิงที่กลมกล่อม



ดังนั้นความโดดเด่นที่แท้จริงของ Leitch ก็คือการผสมสานฉาก action เข้ากับการดำเนินเรื่องได้อย่างลงตัว





ในผลงานล่าสุดอย่าง Bullet Train ที่ดัดแปลงจากนวนิยายของ Kotaro Isaka ก็ให้ผลลัพธ์เช่นเดียวกัน

Leitch ยังคงผสมผสานฉาก action เข้ากับเนื้อหาโดยไม่กลบ 'การขายเสน่ห์ของตัวละคร' อันเป็นจุดเด่นสำคัญของหนังเรื่องนี้ได้อย่างดีเยี่ยม





ไม่ต่างกับงานภาพที่สีสันฉูดฉาด นักแสดงนำแต่ละคนก็เป็นสีสันที่สำคัญอย่างหนึ่งของหนังเรื่องนี้ โดยทุกตัวละครต่างก็มีฉากที่น่าจดจำของตัวเอง

ซึ่งจะว่าไปแล้วเสน่ห์ของตัวละครหลักในหนังคือหัวใจสำคัญให้ผู้ชมเฝ้าติดตามเนื้อเรื่อง
และการที่พวกเขาไม่โดนพลังดาราของ Brad Pitt กลบรัศมี พวกเขาก็สมควรได้รับคำชมกันทั้งทีม





ถ้าถามว่ามันเป็นหนังที่ดีหรือไม่ ?

อาจตอบคำถามนี้ยากซักหน่อย เพราะหนังก็มีร่องรอยของความไม่สมบูรณ์อยู่บ้าง



แต่ถ้าถามว่าหนังสนุกไหม ?

อันนี้ตอบได้ไม่ยาก ในฐานะที่เป็นคนชอบดูหนังแบบ ‘หลายคนอลเวง’ ของผู้กำกับ Guy Ritchie และในฐานะคนชอบดูหนัง action/comedy

ขอตอบว่า Bullet Train เป็นหนังที่สนุกและน่าประทับใจ


นอกจากนี้หนังยังมีประเด็นปรัชญาที่น่าสนุกไม่แพ้กัน





*** จากนี้ไปเปิดเผยเนื้อหาสำคัญ เหมาะสำหรับคนที่ดูแล้ว ***

ใครยังไม่ได้ดูนอกจากจะอ่านไม่รู้เรื่องแล้ว ยังทำลายอรรถรสของหนังอีกด้วย






Bullet Train เล่าเรื่องของ Ladybug (Brad Pitt) ที่รับงานฉกกระเป๋าแทนเพื่อนร่วมวงการอีกคนหนึ่งที่ป่วยขึ้นมากะทันหัน

โดยเขาต้องขึ้นรถไฟ Shinkansen ที่มุ่งหน้าจาก Tokyo ไป Kyoto ก่อนจะพบว่า ‘ชะตา’ ได้พาเขาไปวุ่นวายกับเหล่ามือสังหารบนรถไฟ





คำถามสำคัญที่หนังเปิดประเด็นให้ผู้ชมหาคำตอบก็คือ

สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตที่ไม่อาจเลี่ยงได้ หรือที่เรียกว่า ชะตา (fate) นั้น เกิดขึ้นเพราะ โชค/ดวง (Luck) หรือ กรรม (Karma) กันแน่ ?



พูดง่ายๆก็คือ เหตุการณ์ในชีวิตมันเกิดขึ้นเพราะอะไรกันแน่ระหว่าง



‘โชคชะตา’ (โชค + ชะตา = เกิดขึ้นเพราะดวง)

หรือ

‘ชะตากรรม’ (ชะตา + กรรม = เกิดขึ้นเพราะผลจากการกระทำ)





กว่าครึ่งเรื่องที่หนังตั้งใจให้ผู้ชมเชื่อในเรื่องดวงว่าเป็นตัวกำหนดเรื่องราวต่างๆ การที่เหล่านักฆ่ามารวมตัวกันในรถไฟ ฟังดูเป็นเรื่องบังเอิญ [โชคชะตา]

แต่สุดท้ายหนังเฉลยว่า การที่เหล่านักฆ่ามารวมตัวกัน เป็นเพราะ The White Dead (ฉายา 'มัจจุราชขาว') หัวหน้าแก๊งยากูซ่าชาวรัสเซีย จัดฉากให้ทุกคนที่มีส่วนร่วมกับการตายของภรรยาของเขา มารวมตัวกันบนรถไฟเพื่อที่เขาจะได้แก้แค้นทีเดียว [ชะตากรรม]


(การเอาคนที่เกี่ยวข้องกันมาขึ้นรถไฟ ชวนให้นึกไปถึง Orient Express ได้เหมือนกันนะ)





กระทั่งฉากที่ดูเหมือนความบังเอิญแบบเหลือเชื่อกับการตายของ The Prince ที่ถูกรถบรรทุกส้มเขียวหวานชนตายขณะที่กำลังจะฆ่าพวกของ Ladybug ในตอนจบ [โชคชะตา]

สุดท้ายหนังเฉลยในช่วงกลางเครดิตท้ายเรื่องว่า รถบรรทุกที่ชน The Prince นั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการตั้งใจขับชนของ Lemon (มะนาว) เพื่อแก้แค้นให้ Tangerine (ส้มเขียวหวาน) [ชะตากรรม]





น่าสนใจว่าตอนที่เห็น The Prince โดนชน Ladybug ถึงกับถามว่า มันคือ ‘กรรม’ ใช่ไหม ?

และตอนสุดท้ายที่ Ladybug พูดกับ Maria ว่า “บางทีมันไม่ใช่เรื่องของดวงหรอก บางทีก็แค่ทุกคนเป็นทาสของชะตา”

ซึ่งก็สอดคล้องกับแนวคิดของตัวละครนี้ที่พยายามปรับวิธีคิดของตัวเอง



หากพิจารณาที่ตัวละคร Ladybug เราจะพบว่า

Ladybug คือคนที่คิดว่าตัวเองดวงซวย จึงพยายามบำบัดตัวเองด้วยคำแนะนำของนักบำบัด เพื่อเปลี่ยนมุมมองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต

เขาพูดกับ Maria ว่า “ให้สันติสุขแก่โลก ก็จะสันติสุขกลับมา”
แนวคิดนี้คือแนวคิดที่สนับสนุนเรื่องกรรม ที่มีความหมายว่าทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น





แต่เดี๋ยวก่อน

เหตุดารณ์บนโลกเราเป็นผลของกรรมอย่างเดียวหรือไม่ ? บางครั้งมันอาจเป็นเพราะความบังเอิญก็ได้



The White Dead หัวหน้ายากูซ่า ที่กลัวในชะตาที่คาดเดาไม่ได้ เขาจึงพยายามควบคุมชะตาชีวิตของเขาเอง แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถควบคุมได้ทุกอย่างอยู่ดี (น่าตลกที่คนที่พยายามกำหนดชะตากรรมของตัวเอง กลับเล่นรัสเซียนรูลเล็ต ที่จะตายหรือไม่อยู่ที่ดวงล้วนๆ)


หรือตัว Ladybug เอง ที่เป็นคนที่มาทำงานแทน Carver นักฆ่าที่ถูกหมายหัวโดย The White Dead จนเขาต้องมารับกรรมที่ตัวเองไม่ได้ก่อ

อันนี้ก็น่าจะเรียกว่า ‘โชคชะตา’ มากกว่า ‘ชะตากรรม’





ดังนั้นตัวหนังเองก็ไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนกับคำถามที่ว่า

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเพราะ ‘โชคชะตา’ หรือ ‘ชะตากรรม’ กันแน่ ?

เพราะนี่คือคำถามอภิปรัชญา ที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ง่ายๆ






อันที่จริง ‘รถไฟ’ เองก็เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของประเด็นนี้



รถไฟ = ชีวิตของมนุษย์

รางรถไฟ = ชะตาชีวิตที่ถูกกำหนดไว้แล้ว



ลักษณะของรถไฟคือการวิ่งไปตามรางที่ถูกสร้างไว้ตายตัวไม่สามารถวิ่งนอกรางได้

[เหตุการณ์ในชีวิตถูกชะตากำหนดไว้แล้วไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้]



แต่ตอนสุดท้ายด้วยความพยายามอย่างหนักหน่วง รถไฟก็ตกราง และเคลื่อนที่ออกนอกเส้นทางได้ในที่สุด

[หากพยายามอย่างหนัก ก็ฝืนชะตาชีวิตที่ถูกกำหนดไว้ได้]





แม้ Bullet Train จะเป็นหนัง Action/Comedy ขายความบันเทิงที่ไม่จริงจังกับตัวเองมากนัก

แต่มันก็โยนคำถามอภิปรัชญาให้ได้ถกเถียงกันอย่างสนุกสนานไม่แพ้กัน








8 / 10






Create Date : 18 ธันวาคม 2565
Last Update : 18 ธันวาคม 2565 12:14:04 น. 0 comments
Counter : 2688 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

navagan
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 73 คน [?]




นวกานต์ ราชานาค
Navagan Rachanark


สนใจใน ภาพยนตร์, การวิเคราะห์-วิจารณ์ ภาพยนตร์,ดนตรี, งานเขียน และ ศิลปะอื่นๆ

สร้างสรรค์ผลงานภาพยนตร์ทดลอง และ งานดนตรีทดลอง และ งานเขียน


ปัจจุบันทำงานด้านการตลาด การวิจัยและพัฒนายางสังเคราะห์และยางธรรมชาติ

เริ่มจัดเก็บข้อมูลสถิติการเข้าชม

Time 09:00 Date 31/01/2010

by Histats.com

blogger web statistics

ถูกใจบทความ หรืออยากสนับสนุนเจ้าของ Blog

ก็ช่วย click ที่ Link โฆษณาครับ

ขอบคุณครับ

Friends' blogs
[Add navagan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.