All the girls standing in the line for the bathroom !!!

*** หมายเหตุ : สงวนลิขสิทธิ์ บทความและผลงาน ใน Blog นี้ครับ ***
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2557
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
10 มิถุนายน 2557
 
All Blogs
 
*** Edge of Tomorrow *** Live. Die. Rethink.

*** Edge of Tomorrow ***






Edge of Tomorrow ดัดแปลงไอเดียมาจาก All You Need Is Kill นิยายภาพของ Hiroshi Sakurazaka ที่เหมือนเป็นการรวมไอเดียระหว่าง Groundhog Day กับหนังสงครามอย่าง Saving Private Ryan


หนังเล่าเรื่องของ William Cage (Tom Cruise) นายทหารระดับสูงของฝ่ายประชาสัมพันธ์กองทัพ ที่ไปงัดข้อกับนายพล Brigham (Brendan Gleeson) จนถูกส่งตัวไปรบในฐานะ “ทหารหนีทัพ” เพื่อร่วมรบในศึกครั้งใหญ่ที่ฝ่ายมนุษย์จะยกทัพบุก Alien ที่ยึดครองทวีปยุโรปอยู่


แค่ลงเหยียบพื้นไม่กี่นาที Cage ก็ถูกฆ่า แต่โชคยังดีที่เลือดของ Alpha ได้ไหลเข้าไปในตัวของ Cage นั่นทำให้เขาย้อนเวลากลับมาได้ 1 วันก่อนที่เขาจะถูกฆ่าตาย



เพื่อความเข้าใจ ขออธิบายโดยคร่าวๆก่อนดังนี้ครับ


Alien ที่มาบุกโลกครั้งนี้เปรียบเสมือนสัตว์เซล์เดียว โดยมี 3 องค์ประกอบสำคัญคือ

1.) Omega คือสมองส่วนกลางที่ทำหน้าที่ควบคุม

2.) Alpha คือระบบประสาทที่ควบคุมกองทัพ

3.) Mimic คือแขนขา ที่ทำหน้าที่เหมือนทหารเลวในสมรภูมิ







ความสามารถของ Alien ก็คือ มันจะ reset เวลาย้อนกลับไปเริ่มใหม่ 1 วันก่อนที่ Alpha จะถูกฆ่าโดยอัตโนมัติ เนื่องจากการที่ Alpha ตาย เปรียบเสมือนโอกาสในการแพ้สงครามจะมากขึ้น



เมื่อ Cage ได้รับเลือดของ Alpha ระบบส่วนกลางของ Omega จะย้อนเวลากลับไป 1 วันทุกครั้งเมื่อ Cage ตายเช่นกัน

เพราะจากการตรวจจับของ Omega มันจะคิดว่า Cage เป็น Alpha ตัวหนึ่ง เมื่อตายไปจึงต้อง reset เวลาอีกครั้ง

ซึ่งเมื่อเริ่มรอบใหม่อีกครั้ง Alpha และ Cage จะจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนการ reset เวลาได้ เพื่อหาทางแก้ไขข้อผิดพลาดที่นำไปสู่การแพ้สงครามนั่นเอง



Rita Vrataski (Emily Blunt) คือทหารหญิงที่เคยผ่านประสบการณ์เดียวกับ Cage แต่ต้องสูญเสียความสามารถไปเนื่องจากเธอบาดเจ็บและโดนถ่ายเลือดเพื่อรักษาชีวิต

ตามทฤษฎีแล้ว Vrataski ไม่สามารถย้อนเวลาได้อีก แต่เธอก็ยังจำเรื่องราวในทุกรอบที่เคยถูก reset ได้อยู่







ทั้ง Cage และ Vrataski คือ 2 ตัวละครที่ตรงข้ามกัน


Cage คือตัวละครที่ดูเหมือนจะเป็นคนขี้ขลาด หลักการง่ายๆของเขาคือ การเอาชีวิตตัวเองให้รอด

ช่วงแรกของหนังจะพบว่า เขาไม่อยากไปรบ เขาไม่สนใจว่าสงครามจะยุติอย่างไร แต่ที่แน่ๆคือตัวเขาต้องไม่ตาย



Vrataski คือ Hero จากสงครามในภารกิจการรบที่ Verdun เมืองที่มนุษย์เอาชนะ Mimic ได้

หลักการของเธอก็คือฆ่าเพื่อชัยชนะ ทั้งฆ่าศัตรู และฆ่า Cage เพื่อวน loop กลับมาแก้ไขใหม่

สำหรับเธอ ไม่ว่าจะต้องตายกี่ครั้ง ตายกี่คน หรือยอมให้ตัวเองตาย แต่เพื่อชนะสงครามเธอยอมได้ทุกอย่าง





- สำหรับ Cage แม้จะกำจัด Omega ไม่ได้ แต่เขายอมหยุดและหาหนทางใหม่เมื่อ Vrataski ตาย

- สำหรับ Vrataski เพื่อการวน loop รอบใหม่ เธอลั่นไกฆ่า Cage ได้อย่างไม่ลังเล



พูดให้ชัดเจนคือ Cage ใช้การมีชีวิตรอดเป็นหลักสำคัญ ส่วน Vrataski ใช้การฆ่าศัตรูเป็นหลักสำคัญ



Cage = Live

Vrataski = Die






เมื่อ Cage วน loop อยู่หลายครั้ง เขาเก่งขึ้นและกลายเป็นหัวใจสำคัญในการเอาชนะสงครามครั้งนี้ แต่ถึง Cage และ Vrataski จะพยายามเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถเข้าถึงและกำจัด Omega ได้


ครั้งหนึ่ง Cage บุกตะลุยไปจนเกือบถึงที่ซ่อนของ Omega แต่ว่าพอถึงจุดที่ Vrataski จะต้องตาย เขาก็ไม่อยากผ่านมันไป เพราะถ้าเกิดเขาฆ่า Omega ได้สำเร็จ Vrataski ต้องตายไปจริงๆ



สุดท้ายเขายอมทำตามวิธีของ Vrataski นั่นคือยอมให้ Vrataski ตาย เพื่อไปฆ่า Omega โดยลำพัง แต่แล้วก็ต้องพบว่านี่เป็นแผนลวงของ Omega เพื่อกำจัดการวน loop ของเขา


คล้ายกับที่พวก Alien แกล้งยอมให้มนุษย์ชนะที่ Verdun เพื่อให้มนุษย์มั่นใจจนเทหมดหน้าตักกับปฏิบัติการ Downfall เพื่อที่พวกมันจะได้เผด็จศึกในคราวเดียว







หลังจากพบว่านี่เป็นแผนลวง Cage และ Vrataski ต้องเปลี่ยนแผนเพื่อจะหาที่ซ่อนที่แท้จริงของ Omega และครั้งนี้ Cage พลาดท่าจนโดนถ่ายเลือด นั่นทำให้ความสามารถในการ reset เวลาถูกทำลายไป

และครั้งนี้ Cage ไม่สามารถตายได้อีกแล้ว เพราะเมื่อตายเขาจะวน loop ครั้งใหม่ไม่ได้ ดังนั้น ความตาย (Die) เพื่อเริ่มใหม่จึงไม่มีความหมายอีกต่อไป หนทางแห่งการเอาชนะมีทางเดียวคือการมีชีวิตรอดต่อไป (Live)

แถมในภารกิจสุดท้าย พวกเขาต้องห้ามฆ่า Alpha อีกด้วย เพราะนั่นจะทำให้เวลาถูก reset และพวกเขาจะจำอะไรในรอบนี้ไม่ได้เหมือนกัน



เมื่อพิจารณาวิธีการของ Omega ก็จะพบว่าไม่ต่างกันนัก หนทางเอาชนะไม่ใช่การฆ่าให้ตาย (Die) แต่เป็นการปล่อยให้รอด (Live)

ไม่ว่าจะเป็น การปล่อยให้ Vrataski รอด (Live) เพื่อสร้างแผนลวง และ การทำให้ Cage ไม่ตาย (Live) เพื่อป้องกันการวน loop ครั้งใหม่



ดังนั้น


หนทางในการเอาชนะคือพลังในการเอาชีวิตรอด (Live) มิใช่ตายเพื่อเริ่มใหม่ (Die)

และการ Repeat ซ้ำก็ไม่ช่วยอะไร ถ้าไม่มีการ Rethink






Edge of Tomorrow เลือกที่จะเปิดตัววันที่ 6 มิถุนายน ซึ่งก็คือวัน D-Day หรือวันยกพลขึ้นบกของฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเป็นการยกพลขึ้นบกที่ชายหาดฝรั่งเศษที่ถูกเยอรมันยึดครองไว้หมดแล้ว (รวมถึงยุโรป) ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ครบรอบ 70 ปีพอดี

ในหนังเราจะเห็นการยกพลขึ้นบกที่ฝรั่งเศษเพื่อปราบ Alien ซึ่งยึดครองยุโรปไว้หมดแล้วเช่นกัน



นอกจากนี้เมือง Verdun อันเป็นเมืองที่ Vrataski รบชนะพวก Mimic คือเมืองที่เป็นสมรภูมิจริงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งสมรภูมิที่ Verdun ถูกเล่าขานว่าเป็นสมรภูมิที่สูญเปล่า เพราะมีผู้เสียชีวิตอย่างมากมาย แต่ไม่ได้มีผลอะไรกับทั้ง 2 ฝ่ายเลย

เช่นกันความล้มตายของทั้งสองฝ่ายอย่างมหาศาลที่ Verdun เป็นเพียงแค่แผนหลอกให้มนุษย์ตายใจ ซึ่งจะว่าไปแล้วเป็นการรบที่เอาชีวิตคนจำนวนมากมาตายเหมือนๆกัน







Edge of Tomorrow มาพร้อมกับไอเดียที่น่าสนใจ และถูกนำมาใช้เล่าเรื่องราวได้อย่างมีชั้นเชิง แม้จะถูกเปรียบเปรยว่าเป็น “Groundhog D-Day” แต่ส่วนตัวแล้วนึกไปถึง JoJo ภาค 4 ตอน Another One Bites The Dust ซะมากกว่า

หนังทำได้ดีในการผสมผสานเรื่องราวแบบ Action/Sci-fi ที่มาพร้อมกับอารมณ์ขันในระดับที่ไม่ทำลายความจริงจังของเรื่อง



Tom Cruise แบกหนังทั้งเรื่องในบท Tom Cruise เอ๊ย William Cage ได้อย่างดีเยี่ยม อย่างไรก็ตามไม่ว่าตัวละครนี้จะชื่ออะไร ผู้ชมก็ยังรู้สึกว่านั่งชม Tom Cruise อยู่ดี ด้วยพลังดาราที่กลบ Character ของตัวละครตามเนื้อเรื่องซะมิด

แต่กับหนัง Action/Sci-fi แบบนี้ ไม่ถือว่าเป็นปัญหาของหนังแต่อย่างใด



Emily Blunt ในบท Rita Vrataski แม้จะบู๊และมาดแมนแค่ไหน แต่ภาพจำของเธอในหนังคงหนีไม่พ้นการเชิดส่วนหัวและตัวขึ้นขณะอยู่ในท่าวิดพื้น น่าเสียดายที่บทหนังไม่เปิดโอกาสให้ผู้ชมรู้ปูมหลังลึกๆของเธอ


นี่ถ้าความเข้าขาของตัวละคร Cage และ Vrataski ถูกนำเสนอได้ดีกว่านี้ มันจะกลายเป็นหนังโรแมนติกได้เลยทันที







Edge of Tomorrow ประสบความสำเร็จในการสร้างความบันเทิงแบบหนัง Action/Sci-fi

แต่น่าเสียดายที่หนังไม่ได้ทิ้งคำถามเชิงปรัชญาที่น่าสนใจเอาไว้ เพราะวัตถุดิบต่างๆที่หนังมีสามารถยกระดับเป็นหนังปรัชญา Action/Sci-fi ได้ไม่ยาก



อย่างไรก็ตามหนังก็ยังพอมีประเด็นให้ Repeat อยู่ในหัว จนสามารถ Rethink อะไรใหม่ๆขึ้นมาได้บ้าง





8 / 10





Create Date : 10 มิถุนายน 2557
Last Update : 10 มิถุนายน 2557 22:40:27 น. 3 comments
Counter : 5805 Pageviews.

 
กระทู้ที่ตั้งใน pantip

//pantip.com/topic/32174830


โดย: navagan วันที่: 11 มิถุนายน 2557 เวลา:0:14:15 น.  

 
ชอบครับ สนุกดี พล็อตเก๋ แม้จะซ้ำก็ตาม เป็นหนังดูเอามันส์ก็ได้หรือดูเพื่อคิดก็ดี


โดย: ปีศาจความฝัน วันที่: 11 มิถุนายน 2557 เวลา:15:32:50 น.  

 
whoah this blog is magnificent i like reading your articles. Keep up the great work! You understand, lots of people are searching around for this info, you could help them greatly.
cyber monday deals canada //www.deondecoracoes.com.br/media/mailto/shopping3/cyShsa39VF/


โดย: cyber monday deals canada IP: 192.99.14.34 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2557 เวลา:16:32:54 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

navagan
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 73 คน [?]




นวกานต์ ราชานาค
Navagan Rachanark


สนใจใน ภาพยนตร์, การวิเคราะห์-วิจารณ์ ภาพยนตร์,ดนตรี, งานเขียน และ ศิลปะอื่นๆ

สร้างสรรค์ผลงานภาพยนตร์ทดลอง และ งานดนตรีทดลอง และ งานเขียน


ปัจจุบันทำงานด้านการตลาด การวิจัยและพัฒนายางสังเคราะห์และยางธรรมชาติ

เริ่มจัดเก็บข้อมูลสถิติการเข้าชม

Time 09:00 Date 31/01/2010

by Histats.com

blogger web statistics

ถูกใจบทความ หรืออยากสนับสนุนเจ้าของ Blog

ก็ช่วย click ที่ Link โฆษณาครับ

ขอบคุณครับ

Friends' blogs
[Add navagan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.