ได้ดูซักทีครับ (แม้จะช้าไป สามอาทิตย์) กับหนังเปิดซัมเมอร์ 2008 ที่ตอนเขียนบทวิจารณ์อยู่นี้ก็ยังแรงไม่เลิกทั้งใน Box Office และบทวิจารณ์ ในยุคหลังปี 2000 ที่หนัง Super Hero ถูกสร้างออกมามากมาย Iron Man คือหนึ่งในความโดดเด่น ที่ประสบความสำเร็จ
จุดเด่นที่ทำให้ Iron Man ประสบความสำเร็จได้คงต้องยกความดีความชอบให้การแสดงที่เปี่ยมเสน่ห์ของ Robert Downey Jr. ในบท Tony Stark อัจฉริยะนักประดิษฐ์ ผู้ร่ำรวย ที่เอาคนดูอยู่หมัดในฐานะศูนย์กลางของเรื่อง ด้วยท่าทางกวนโอ๊ย และอารมณ์ขัน (Downey Jr. คงจะถนัด เพราะเขาเล่นบทลักษณะนี้ ทั้งใน Kiss, Kiss, Bang, Bang และใน Scanner Darkly)
อีกจุดคือความที่เรื่องนี้แตกต่างจากหนัง Super Hero ยุคนี้ที่ส่วนใหญ่ เน้นดราม่าจริงจัง ซึ่งก็เหมาะกับคนที่ชอบ แอ๊คชั่นและความสนุกแบบหนังซัมเมอร์เรื่องหนึ่ง ที่ไม่เน้นความจริงจังในตัวมากนัก แต่หนังก็ใช่ว่าจะขาดความลึกในตัวไปเสียทีเดียว อย่างน้อย Tony Stark ก็มีเหตุจูงใจในการเป็น iron man ที่น่าเชื่อถือ แถมยังวิพากษ์วิจารณ์อเมริกาและกลุ่มผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากการทำสงคราม(ซึ่งในหนังก็ไม่อ้อมค้อม นั่นก็คือเหล่าผู้ค้าอาวุธ ซึ่งมีเส้นสายกับรัฐบาลอเมริกานั่นเอง)
จากที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในคราบ Playboy หนุ่มเจ้าสำราญ ใช้ชีวิตหรูหราฟู่ฟ่า โดยไม่เคยคำนึงหรือสนใจว่าอาวุธสงครามทั้งหลายที่ตนเองสร้างขึ้นจะคร่าชีวิตผู้คน และทำลายบ้านเมืองไปมากเท่าไหร่ Stark ในตอนนี้ ไม่ต่างอะไรจากตัวร้ายผู้ละโมบในหนังหลายๆเรื่อง จนกระทั่งถูกจับตัวไปโดยผู้กลุ่มผู้ก่อการร้าย ได้เห็นความโหดร้ายจากสงคราม และ อาวุธสงคราม แถมเกือบตายเพราะอาวุธของตัวเองอีก เมื่อรอดชีวิตมาได้ Stark จึงเริ่มมีสำนึก และเห็นคุณค่าของการมีชีวิต และการได้ทำประโยชน์แก่โลกมนุษย์บ้าง มากกว่าจะใช้ชีวิตเป็น Playboy ไปวันๆ Stark จึงเริ่มพัฒนาชุดเกราะ และกลายเป็น Iron man ผู้ร้ายกลับใจ ในที่สุด
เรื่องราวจากนี้ไปก็เป็นสูตรสำเร็จที่ไม่ยากต่อการคาดเดานัก นอกจาก Downey Jr. แล้วเหล่านักแสดงสมทบทั้งหลายก็ระดับฝีมือทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น Terrence Howard , Jeff Bridges และ Gwyneth Paltrow ที่พักหลังๆ ไม่ค่อยเห็นเธอนัก ซึ่งบทบาทที่เหล่านักแสดงสมทบได้รับจะไม่ได้เรียกร้องความสามารถของพวกเขามากนัก (กับบทสมทบที่เอาใครมาเล่นก็น่าจะได้) แต่การแสดงของพวกเขาก็ยกระดับหนังขึ้นมาได้อีกระดับหนึ่ง
ผู้กำกับ Jon Favreau เลือกที่จะค่อยๆเพิ่มระดับความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แม้ตอนจบจะไม่ตื่นเต้นหรือเข้มข้นเท่าที่ควรก็ตาม มุกต่างๆก็ถูกแทรกมาเป็นระยะ อย่างได้ผล งานเบื้องหลังได้มาตรฐานหนังแอ๊คชั่นยุคใหม่
แม้จะไม่เข้มข้นมากนัก ไม่ได้เน้นดราม่า หรือลงลึกในตัวละคร (แต่ก็ไม่ได้แบนราบ และจืดชืดแบบ Fantastic 4) แต่ก็ถือได้ว่า Iron Man เป็นหนังเปิดซัมเมอร์ที่ดูสนุก เพลิดเพลิน และมีความแตกต่างเล็กๆน้อยจากหนัง Super Hero ยุคใหม่ ซึ่งตอนนี้คงมีหลายคนตั้งหน้าตั้งตารอภาค 2 อยู่ไม่น้อยทีเดียวครับ
สงสัยออกจากโรงแล้ว