BlogGang.com : : navagan : *** The Invisible Man *** เทคโนโลยีในฐานะอำนาจใหม่ และ ภัยคุกคามที่มองไม่เห็น

*** The Invisible Man *** เทคโนโลยีในฐานะอำนาจใหม่ และ ภัยคุกคามที่มองไม่เห็น

*** The Invisible Man ***

ผลงานดัดแปลงแบบหลวมๆจากนิยายปี 1897 ของ H.G. Wells โดยผู้กำกับ/เขียนบท Leigh Whannell ถือเป็นหนัง thriller ทุนต่ำที่ดูสนุกพอใช้ได้

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ดีงามของหนังคือ “สาร” ที่ซ่อนอยู่ในหนังที่ทั้งร่วมสมัยและเป็นสากล จนอดที่จะเอามาพูดถึงไม่ได้

(จากนี้ไปเปิดเผยเนื้อหาสำคัญ)

หนังเล่าเรื่องของ Cecilia (Elisabeth Moss) ที่พยายามหนีจากความสัมพันธ์อันเลวร้ายกับแฟนหนุ่ม Adrian (Oliver Jackson-Cohen) มหาเศรษฐีนักวิทยาศาสตร์ ผู้ที่คอยครอบงำและบงการชีวิตเธอ

เมื่อหนีออกมาได้ Cecilia ได้อาศัยอยู่กับ James (Aldis Hodge) และลูกสาวของเขา Sydney (Storm Reid)

หลังจากนั้นไม่นาน Cecilia ก็พบว่า Adrian ได้ฆ่าตัวตายไปแล้ว แต่เธอกลับรู้สึกว่า Adrian ยังไม่ตายและตามมาคุกคามชีวิตของเธอ

Adrian ที่ “ล่องหน” มาคุกคามและคอยควบคุมชีวิตของ Cecilia คือ คืออุปมาอุปไมยถึง

“อำนาจที่มองไม่เห็น” ที่คุกคามการใช้ชีวิตของผู้อื่น

หากเรายังมองว่าโลกนี้ยังมีความไม่เท่าเทียมทางเพศ และมีความเหลื่อมล้ำทางเชื้อชาติ

จากเนื้อเรื่องเราจะพบว่า Adrian (ชายผิวขาว) กำลังคุกคาม Cecilia (ผู้หญิง) และครอบครัวของ James (คนผิวสี)

เราก็สามารถตีความได้ว่า นี่คือหนังที่ว่าด้วย

“อำนาจที่มองไม่เห็นของเพศชาย ที่คุกคามเพศหญิง”

และ

“อำนาจที่มองไม่เห็นของคนผิวขาว ที่คุกคามคนผิวสี”

แต่หากตัดเรื่องความไม่เท่าเทียมทางเพศ และความเหลื่อมล้ำทางเชื้อชาติออกไป นี่คือหนังที่ว่าด้วย

“การคุกคามของผู้มีอำนาจที่มีต่อผู้ด้อยอำนาจ”

การที่หนังวางเรื่องราวให้เกิดขึ้นในปี 2020 นั้น ย่อมเป็นการตั้งใจสะท้อนถึงเรื่องราวในยุคสมัยนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เราจะพบว่า “ที่มาของอำนาจ” ที่ทำให้ Adrian คุกคามผู้อื่นได้โดยอย่างไร้ร่องรอยในฐานะ Invisible Man นั้น มาจาก

“อำนาจของเทคโนโลยี”

ฉากช่วงกลางเรื่องที่ Invisible Man ต่อกรกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 10 นาย ได้อย่างง่ายดาย คืออุปมาอุปไมยแสดงให้เห็นว่า การครอบครองเทคโนโลยีที่เหนือกว่าคือความสามารถในการมีอภิสิทธิ์เหนือกฎหมาย

ดังนั้นนี่คือการสะท้อนให้เห็นว่า

“ที่มาของอำนาจในยุคศตวรรษที่ 21 นั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถในการครอบครองเทคโนโลยี”

บทสรุปของหนังในตอนสุดท้ายเมื่อ Cecilia จัดการกับ Adrian ได้สำเร็จ คือการตอกย้ำประเด็นเรื่องที่มาที่ไปของอำนาจในยุคศตวรรษที่ 21 ได้อย่างดี

Cecilia ที่เป็นเหยื่อ สามารถเอาชนะผู้กดขี่ข่มเหงอย่าง Adrian ได้ก็ต่อเมื่อเธอได้ครองครองชุดล่องหนของ Adrian

นั่นหมายความว่า

ไม่ว่าจะเป็นเพศไหนหรือชนชั้นใดก็ตาม
หากได้ครอบครองเทคโนโลยีที่เหนือกว่า ก็สามารถเป็นผู้มีอำนาจที่มากกว่าได้

มาที่การวิจารณ์ตัวหนังกันบ้าง

แม้บทหนังของ Whannell จะคาดเดาได้ไม่ยาก และหลายครั้งดูจะเล่นง่ายกับการคลี่คลายปมของตัวละคร

แต่การกำกับของ Whannell ที่ค่อยๆไล่ระดับความน่าติดตาม และสร้างความไม่น่าไว้วางใจตลอดเวลาก็ทำให้หนังเป็นความระทึกขวัญในแบบหนัง Thriller ที่ดีได้

ต้องชมไปที่ Elisabeth Moss ในบท Cecilia ด้วย ที่มอบการแสดงที่น่าอึกอัด และน่าเอาใจช่วยไปพร้อมกัน ซึ่งการแสดงของเธอนี่เองที่ทำให้ผู้ร้ายที่ผู้ชมมองไม่เห็น เป็นความน่ากลัวขึ้นมาได้

ดังนั้นโดยภาพรวม นี่คือหนังที่ดูได้สนุกในฐานะหนัง Thriller เรื่องหนึ่ง แม้บทหนังอาจไม่น่าประทับใจเท่าไรนัก แต่ประเด็นของมันก็ทำให้ตัวหนังเป็นที่น่าจดจำ

The Invisible Man นอกจากจะว่าด้วยเรื่องของ "อำนาจที่มองไม่เห็น" แล้ว

หนังยังสะท้อนภาพในยุคปัจจุบันที่ “เทคโนโลยี” คืออีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่ทำให้ความเหลื่อล้ำทางเพศและเชื้อชาติลดลงไป

เพราะไม่ว่าจะเพศอะไร ผิวสีไหน หากได้ครอบครองเทคโนโลยีที่เหนือกว่า ก็เหมือนกับการได้ครอบครองอำนาจที่เหนือกว่านั่นเอง

7 / 10

Create Date : 16 มีนาคม 2563

Last Update : 16 มีนาคม 2563 1:48:19 น.

1 comments

Counter : 1457 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...

คุณnewyorknurse, คุณThe Kop Civil

กระทู้ที่ตั้งใน Pantip

https://pantip.com/topic/39718009

โดย: navagan

วันที่: 1 เมษายน 2563 เวลา:0:18:17 น.