All the girls standing in the line for the bathroom !!!

*** หมายเหตุ : สงวนลิขสิทธิ์ บทความและผลงาน ใน Blog นี้ครับ ***
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2553
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
7 กรกฏาคม 2553
 
All Blogs
 
*** The Twilight Saga: Eclipse *** ทาสรัก

*** The Twilight Saga: Eclipse ***






มาพบผู้ชมเป็นครั้งที่สามแล้วสำหรับ Series The Twilight Saga ที่ดัดแปลงมาจากนิยายขายดีชื่อเดียวกันของ Stephenie Meyer ที่เล่าเรื่องราวความรักข้ามสายพันธ์ระหว่างหญิงสาววัยรุ่นกับแวมไพร์หนุ่มรูปหล่อ เสริมด้วยความวุ่นวายของมือที่สามอย่าง มนุษย์หมาป่า


ซึ่งในภาคที่ 3 นี้มีชื่อภาคว่า Eclipse



ในภาคนี้เรื่องราวความสัมพันธ์ของทั้งสาม ยังถูกเล่าผ่านมุมมองของ Bella Swan (Kristen Stewart) เช่นเคย

ซึ่งคงไม่ต้องสาธยายอะไรมากนัก เพราะถึงแม้จะไม่ใช่แฟนหนังหรือแฟนหนังสือ ก็คงจะรู้เรื่องราวคร่าวๆกันดีอยู่แล้ว


ฉะนั้นขอวิจารณ์เลยแล้วกัน






ขอพูดถึงข้อดีของหนังก่อน



Eclipse เดินเรื่องไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และเป็นความบันเทิงมากขึ้น ขณะที่ปมปัญหา และการคลี่คลายปัญหาของตัวหนังนั้นมีความชัดเจนขึ้น และมีที่มาที่ไปมากกว่าสองภาคก่อนหน้า

อาจเป็นเพราะภาคนี้ไม่ต้องปูพื้น หรือแนะนำตัวละครหลักตัวใหม่ เหมือนสองภาคที่ผ่านมา จึงมีเวลาเต็มที่สำหรับการดำเนินเรื่อง



ส่วนเงื่อนปมต่างๆ ที่หนังได้วางเอาไว้นั้น ก็ถูกหยิบยกมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเรื่องราวตำนานของเผ่าหมาป่า ที่ถูกนำมาใช้คลี่คลายปัญหาในฉาก Climax ของหนังได้อย่างเข้าท่า แม้เรื่องราวในตำนานจะดูขัดๆไปนิดหนึ่งก็ตาม



ขณะที่ Theme ของเรื่อง ที่เคยดูบางเบา (จนไม่แน่ใจว่ามีหรือไม่) ในสองภาคก่อนหน้า กลับดูชัดเจนมากขึ้น ซึ่งใน Eclipse นั้น Theme ของหนังถูกเน้นย้ำอย่างหนักแน่น


อย่างเรื่องของการ “กล้าเลือก กล้าลอง เพื่อจะรู้ตัวเอง” ที่ถูกกล่าวผ่านสุนทรพจน์ตอนเรียนจบนั้น ก็สอดคล้องกับการ “เลือก” ทางเดินชีวิตของ Bella และเป็นการสรุปเรื่องราวของภาคนี้ไปในตัว







แต่หนังยังมีอีก Theme หนึ่ง นั่นคือ “ผลของการเป็นทาสของความรักโดยขาดสติ” ที่ถูกเน้นกันชัดๆ (จนออกจะเยอะไปด้วยซ้ำ) โดยอาศัยการขยายเรื่องราวปูมหลังของตัวละครต่างๆให้เป็นประโยชน์

ไม่ว่าจะเป็น



เรื่องราวของ Jasper Hale (Jackson Rathbone) นายทหารยุคสงครามกลางเมืองที่ถูกหลอกใช้โดยคนรัก


เรื่องราวของ Rosalie Hale (Nikki Reed) ที่ถูกทำร้ายโดยคู่หมั้นของเธอเอง เพราะความหลงในรัก โดยไม่ไตร่ตรองให้ดี


หรือเรื่องราวของ Riley (Xavier Samuel) ที่ถูกหลอกใช้ด้วย “ความรัก” จาก Victoria (Bryce Dallas Howard) เพื่อแก้แค้นให้อดีตคนรักอีกทีหนึ่ง
(จะว่าไปแล้ว Victoria ก็ตกเป็นทาสของความรักเช่นกัน)







และกับเรื่องราวรักสามเศร้าของ Bella นั้น เราจะพบว่า Jacob เองก็ตกเป็น “ทาสรัก” ของ Bella เช่นกัน เขายอมได้ทุกอย่างเพื่อเธอ โดยไม่สนใจผลลัพธ์ หรือความเสียหายที่จะเกิดขึ้น


ซึ่งปัญหาที่บรรดา “ทาสรัก” เหล่านี้ต้องเผชิญ อาจเป็นปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับตัว Bella เองในอนาคตก็เป็นได้ หากเธอด่วนตัดสินใจอะไรลงไปเพราะ “ความรัก” โดยไม่คิดไตร่ตรองให้ดี (แน่นอนว่าเธอเองก็เป็น “ทาสรัก” ของ Edward)



ผิดกับตัวละคร Edward ที่เห็นได้ชัดว่ารอบคอบ และสุขุมในเรื่องราวของความรักขนาดไหน โดยที่ปรารถนาลึกๆในใจของเขาก็คือ การ “เลิกทาส” ให้ Bella

แต่เขาก็ให้ “อิสระ” แก่เธอในการเลือก และเคารพต่อการตัดสินใจของเธอ ที่ยอมเป็น “ทาส” ของเขาต่อไป







ประเด็นเรื่อง “ทาสรัก” นั้นแทรกกระจายและอบอวลใน Eclipse

ซึ่งนี่อาจเป็นสารจาก Stephenie Meyer ผู้เขียน ที่ใส่เข้ามาเพื่อเตือนสติผู้อ่าน (หรือผู้ชม) ไปในตัว



แต่ถึงแม้จะมีเรื่องราวเป็นตัวอย่างและมีคนคอยเตือนมากมาย แต่ Bella ก็แทบจะไม่ได้สำนึกสักนิด
เธอยังทำตัวเหมือนสุนทรพจน์วันเรียนจบที่มีใจความว่า “จงกล้าที่จะลอง ถ้าไม่ลอง ก็ไม่รู้”



ซึ่งด้วยสอง Theme หลักที่คอย “คัดคาน” กันเองนั้น ช่วยเพิ่มความน่าสนใจ และความหนักแน่นให้กับเรื่องราวได้อย่างดี



น่าเสียดายที่ความเป็นอุดมคติของเรื่องราวความรักใน Series นี้ ทำให้ประเด็นหลักที่น่าสนใจทั้งสอง ไม่โดดเด่นเท่าที่ควร

เพราะว่าในสายตาของผู้ชมนั้น Bella ย่อมไม่ผิดหวังแน่นอน ในการเป็นทาสรักของ Edward
แถมโทนหนังที่เป็นเรื่องราวชวนฝันนั้น ก็ชวนให้เคลิบเคลิ้ม มากกว่ามานั่งซึมทราบกับบทเรียนสอนใจ





สำหรับข้อดีอีกข้อก็คือ หนังมีมุขตลกที่คอยเรียกเสียงหัวเราะที่ค่อนข้างได้ผลกว่าภาคก่อนๆ
โดยเฉพาะมุขกัดตัวเอง อย่างมุข “ไม่ชอบใส่เสื้อ” นี่ เรียกเสียงฮาจากคนที่เอียนกับ Six Pack จากภาคที่แล้วได้เลย







ต่อไปคือข้อด้อยของหนัง



สำหรับปัญหาเดิมๆ ที่หนังยังแก้ไม่หายก็คือ การยัดเยียดตัวละคร หรือเรื่องราวต่างๆเข้ามา เพียงเพื่อให้ครบถ้วนตามต้นฉบับ
(แม้จะไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อน แต่ด้วยร่องรอยที่ชัดเจนจึงคิดว่าใช่แน่ๆ ใครอ่านนิยายช่วยให้ข้อมูลด้วยก็ดีครับ )


ไม่ว่าจะเป็น ตัวละครเด็กสาวในกองทัพแวมไพร์ของ Riley

หรือเรื่องราวความสัมพันธ์สามเศร้าของพวกหมาป่า ที่ใส่เข้ามาเฉยๆ แล้วก็ถูกลืมเลือนไป ไม่แน่ว่าอาจมีความสำคัญในภาคต่อไป แต่ถ้าใส่เข้ามาแบบนี้ อย่าใส่เข้ามาจะดีกว่า เก็บไว้เปิดประเด็นในภาคหน้าเลยก็ได้



รวมถึงบางช่วงบางตอนที่ไม่จำเป็นนัก อย่างฉากฝึกต่อสู้ ที่ดูแล้วก็ไม่ได้ช่วยให้เข้าใจมากขึ้นว่า “จุดอ่อน” หรือ “วิธีเอาชนะ” แวมไพร์หน้าใหม่นั้นคืออะไร

แถมตอนสู้กันจริงก็ไม่เห็นรายละเอียดอะไรอย่างที่ฝึกกันมาเลยสักนิด







ซึ่งตัวละครหรือเรื่องราวเหล่านั้น นอกจากจะถูกใช้ประโยชน์ได้อย่างไม่คุ้มค่าแล้ว ยังส่งผลเสียต่อหนังโดยรวมอีกด้วย

นั่นก็คือ การทำให้หนังเยิ่นเย้ออย่างไม่จำเป็น อีกทั้งยังทำให้เสียจังหวะ และความต่อเนื่องของอารมณ์อีกด้วย


ไม่น่าแปลกใจเลยที่ข้อผิดพลาดเหล่านี้ยังคงมีอยู่ เพราะถึงแม้จะเปลี่ยนผู้กำกับทุกภาค แต่คนดัดแปลงบทยังคงเป็น Melissa Rosenberg เจ้าเดิม


ซึ่งถ้า Rosenberg กล้าที่จะ ตัด ปรับ เปลี่ยน เหตุการณ์หรือตัวละคร โดยไม่ยึดติดต้นฉบับมากนัก อาจให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่านี้
(หรือไม่ ทางผู้สร้างก็ควรกล้าที่จะเปลี่ยนคนดัดแปลงบทซะเลย )







ในส่วนของนักแสดง Kristen Stewart ยังคงรับหน้าที่ได้ดีในบท Bella ในฐานะตัวเดินเรื่องหลัก แม้การแสดงของเธออาจไม่ถึงกับน่าประทับใจนัก


Robert Pattinson มีอะไรให้เล่นมากขึ้นในบท Edward แต่บทหนังก็ยังไม่เปิดโอกาสให้เขาแสดงฝีมืออะไรมากมายอยู่ดี


ส่วน Taylor Lautner ในบท Jacob ที่ภาคที่แล้วออกมาขโมยใจสาวๆด้วย รอยยิ้มอันอบอุ่น และหุ่นล่ำๆ กันไปแล้ว มาในภาคนี้ แม้จะถูกลดบทบาทลงไป แต่ทุกฉากที่เขาปรากฏตัว ก็ยังคงดึงดูดสายตา (สังเกตจากปฏิกิริยาของแฟน ) แถมยังกลายเป็น "ตัวเรียกเสียงฮา" จากผู้ชมได้อีกด้วย



ขณะที่ตัวละครอื่นๆ แม้จะได้นักแสดงที่มีชื่อเสียงและมากฝีมือมาเล่นหลายคน แต่ก็ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันให้พวกเขาได้แสดงนัก ซึ่งบางคนขึ้นจอรวมๆแล้วไม่ถึง 10 นาทีด้วยซ้ำ







สำหรับภาคนี้ หนังได้ David Slade มาเป็นผู้กำกับ (ซึ่งผลงานที่ผ่านมาอย่าง 30 Days of Night เป็นผลงานที่ผมไม่ค่อยชอบเอาเสียเลย) ส่งผลให้ Eclipse มีอารมณ์ที่แรงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฉาก Action ที่ดูโหดขึ้น ความตึงเครียดและความรุนแรงที่มากขึ้น


อย่างไรก็ตามแม้ฉาก Action จะมีมากขึ้น และดูรุนแรงมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ดีมากขึ้นเท่าไรนักเมื่อเทียบกับสองภาคแรก



ส่วนงานสร้างและงานเทคนิคทั้งหลายก็ยังอยู่ในระดับมาตรฐานของหนังในยุคสมัยนี้ ซึ่งก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากนัก

แต่ที่น่าเสียดาย (เป็นการส่วนตัว) ก็คือ การที่งานถ่ายภาพใน Eclipse นั้น ไม่สามารถดึงเอาเสน่ห์และความน่าตื่นตาของป่าเขตหนาวซึ่งถือเป็นอีก Character หนึ่งของ Series นี้ ในแบบที่ Twilight ภาคแรกเคยทำเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม

ทั้งๆที่ภาคนี้มีฉากในป่าอยู่ไม่น้อยเลย







แม้จะไม่ถึงขั้นยอดเยี่ยม และยังมีข้อบกพร่องเดิมๆเหมือนสองภาคก่อนหน้านี้

แต่ก็ถือว่า Eclipse เป็นภาคที่ดีกว่าสองภาคแรก ทั้งในแง่ของความบันเทิงที่เข้าถึงผู้ชมวงกว้างมากขึ้น (กลุ่มที่ไม่ได้ติดตามหรือชื่นชอบ โดยเฉพาะผู้ชาย ) และการเล่าเรื่องราวที่ลงตัวขึ้น

รวมถึงการเน้น Theme สำคัญให้มีความเด่นชัดขึ้น แม้จะยังไม่กลมกล่อมเท่าที่ควรก็ตาม



ขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งจุดขายสำคัญของ Series นี้ นั่นก็คือ เรื่องราวความรักที่ชวนฝันของหญิงสาว โดยเฉพาะการที่มีทั้งหนุ่ม Hot และหนุ่ม Cold มาให้เลือกกรี๊ดกันตามใจชอบเหมือนเคย



เอาเป็นว่า The Twilight Saga ภาคนี้ สนุก และดูดีขึ้นกว่าเดิม “เล็กน้อย”





6 / 10 ครับ









ทาส หมายถึง ผู้ที่อุทิศตนแก่สิ่งที่เลื่อมใสศรัทธา (พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน)


Create Date : 07 กรกฎาคม 2553
Last Update : 7 กรกฎาคม 2553 5:22:12 น. 8 comments
Counter : 3239 Pageviews.

 
เรื่องรักสามเศร้า การผูกวิญญาณ
จะมีความสำคัญมากๆ ถึงมากที่สุดในตอนจบค่ะ
คิดว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นเลยต้องใส่ไว้ค่ะ เพราะไม่งั้นตอนจบคงจะงงน่าดู


โดย: masaki IP: 203.155.176.100 วันที่: 7 กรกฎาคม 2553 เวลา:9:11:37 น.  

 
แวะมาชม


โดย: คะน้าหน้าใส วันที่: 7 กรกฎาคม 2553 เวลา:14:53:22 น.  

 
เห็นด้วยกับคุณ masaki ค่ะ


โดย: The Best of Me วันที่: 8 กรกฎาคม 2553 เวลา:0:09:01 น.  

 
ขอบคุณคุณ masaki สำหรับข้อมูลครับ


ตอนจบที่ว่ามาคงหมายถึงเล่มสุดท้ายใช่ไหมครับ


ถึงจะมีความสำคัญแต่ให้รายละเอียดมาแค่นี้ ผมคิดว่าไม่ต่างอะไรกับไม่ได้ใส่มาน่ะครับ

เชื่อว่า สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านก็คงไม่ทราบรายละเอียดลึกๆ และภาคต่อไปก็คงลืม





แต่ถ้าหมายถึง "ตอนจบของภาคนี้" สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านมาก่อนอย่างผม ไม่สามารถเชื่อโยงระหว่างนั่งดูได้เลยครับว่าเกี่ยวอะไรกับการผูกวิญญาณ

หรือพอดูจบแล้วจะมาเชื่อมโยงก็ลืม เพราะหนังแทบไม่เน้นย้ำเลย





ถ้ามัน "สำคัญ" ต่อเรื่องราวขนาดนั้น น่าจะให้น้ำหนัก หรืออธิบายให้เข้าใจมากกว่านี้ ผมว่าน่าจะดีกว่าเดิมนะ



ขอบคุณอีกครั้งสำหรับความคิดเห็นครับ


โดย: navagan วันที่: 8 กรกฎาคม 2553 เวลา:1:04:24 น.  

 
เนื่องจากเป็นคนที่อ่านหนังสือ

ขอค้านท่านเจ้าของกระทู้นิดหน่อยนะ
คนเขียนบท เป็นคนที่กล้าตัดเนื้อเรื่อง มั๊กมากคะ โดยเฉพาะเล่มหนึ่ง ไม่มีความเป็นมาของ อลิส และ คุณหมอคัลเลนเลย ซึ่งเราก็ไม่ว่าอะไร เพราะเราต้องการดูแค่พระเอก กับ นางเอก แหะ แหะ แหะ

ส่วนภาคสาม จากประโยคต่อไปนี้
"ตัวละครเด็กสาวในกองทัพแวมไพร์ของ Riley " เป็นเด็กสาวที่แตกต่างจากแวมไฟร์ทั่วไป คือ รู้จักคิด รู้จักถาม ไม่กระหายเลือดจนเกินไป ก่อให้เกิดหนังสือเล่มใหม่ ที่ทางซัมมิทน่าจะทำเป็นหนังได้ในอนาคต

"เรื่องราวความสัมพันธ์สามเศร้าของพวกหมาป่า ที่ใส่เข้ามาเฉยๆ แล้วก็ถูกลืมเลือนไป ไม่แน่ว่าอาจมีความสำคัญในภาคต่อไป" ความคิดถูกต้องแล้วคะ เรื่องผูกจิต จะมีความสำคัญอย่างมากในอนาคตเจคอบ


"รวมถึงบางช่วงบางตอนที่ไม่จำเป็นนัก อย่างฉากฝึกต่อสู้ ที่ดูแล้วก็ไม่ได้ช่วยให้เข้าใจมากขึ้นว่า “จุดอ่อน” หรือ “วิธีเอาชนะ” แวมไพร์หน้าใหม่นั้นคืออะไร แถมตอนสู้กันจริงก็ไม่เห็นรายละเอียดอะไรอย่างที่ฝึกกันมาเลยสักนิด"

อันนี้ไม่ถูกคะ เนื่องจากดูหนังมาหลายรอบเหมือนท่านเจ้าของกระทู้ เลยจับใจความได้ว่า แจสเปอร์ได้สั่งไว้ตั้งแต่ต้นว่า ห้ามต่อสู้เมื่อคิดว่าตนเองได้เปรียบ แต่ยัยลีอาห์ไม่เชื่อ ทำให้เจคอบเจ็บตัว


กะว่าพรุ่งนี้ จะหนีลูกไปดูอีกสักรอบ แหะ


โดย: ผึ้ง IP: 125.25.217.70 วันที่: 8 กรกฎาคม 2553 เวลา:21:20:49 น.  

 
ลืมชม

เจ้าของกระทู้วิจารณ์ได้น่ารักมากคะ โดยเฉพาะ การเป็นทาสของความรัก

เรื่องนี้ ฮอร์โมนวัยรุ่น พุ่งปิ๊ด



โดย: ผึ้ง IP: 125.25.217.70 วันที่: 8 กรกฎาคม 2553 เวลา:21:24:08 น.  

 
ขอบคุณ "คุณผึ้ง" มากครับ (ผมอ่านจากในกระทู้แล้ว ขอตามมาตอบใน Blog ด้วย )


จริงๆแล้วผมดูแค่รอบเดียวเองครับ ส่วนเรื่องที่คาดเดาเรื่อง Rosenberg นั้นคงเดาผิด



ส่วน "เด็กสาวในกองทัพแวมไพร์ของ Riley" นี่จะกลายเป็นตัวเด่นในหนังเรื่องต่อไปเหรอครับ


เพราะดูในหนังแล้วไม่รู้สึกว่า "เป็นเด็กสาวที่แตกต่างจากแวมไฟร์ทั่วไป คือ รู้จักคิด รู้จักถาม ไม่กระหายเลือดจนเกินไป" ตรงไหนเลย


สรุปว่าเป็นการโผล่หน้ามาเพื่อ "โปรโมต" หนังภาคใหม่ ใช่ไหมเนี่ย


โดย: navagan วันที่: 9 กรกฎาคม 2553 เวลา:3:33:57 น.  

 
บรี เด็กสาว แวมไพร์ในกลุ่มของไีรลีย์ เป็นตัวเอกของ ตติยคราสที่เป็นหนังสือย่อยออกมาของ Eclipse หน่ะค่ะ

เข้าใจว่าหนังทำออกโดยเอาเนื้อหาจาก ตติยคราสมาใส่ด้วยเลย มันเป็นมุมมองที่ เบลล่าไม่รู้ เพราะหนังสือจะเล่ามาจากมุมของเบลล่าค่ะ ถ้าไม่อ่าน ตติยคราส จะงงว่าเด็กคนนี้มีความสำคัญยังไง

คือหนังสือ ตติยคราสมันออกในอเมริกา นานก็หนังฉาย แต่ในบ้านเรามันเพิ่งออกหนังหนังฉาย ก็เลย งง อะค่ะ

ส่วนตัวชอบ บรี นะ เธอฉลาด รู้จักคิด รู้จักเอาตัวรอด


โดย: Rainny7 วันที่: 29 กรกฎาคม 2553 เวลา:16:40:28 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

navagan
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 73 คน [?]




นวกานต์ ราชานาค
Navagan Rachanark


สนใจใน ภาพยนตร์, การวิเคราะห์-วิจารณ์ ภาพยนตร์,ดนตรี, งานเขียน และ ศิลปะอื่นๆ

สร้างสรรค์ผลงานภาพยนตร์ทดลอง และ งานดนตรีทดลอง และ งานเขียน


ปัจจุบันทำงานด้านการตลาด การวิจัยและพัฒนายางสังเคราะห์และยางธรรมชาติ

เริ่มจัดเก็บข้อมูลสถิติการเข้าชม

Time 09:00 Date 31/01/2010

by Histats.com

blogger web statistics

ถูกใจบทความ หรืออยากสนับสนุนเจ้าของ Blog

ก็ช่วย click ที่ Link โฆษณาครับ

ขอบคุณครับ

Friends' blogs
[Add navagan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.